

กรีน เยลโล่ (GreenYellow) แนวร่วมด้านความยั่งยืนผู้นำด้านการสร้างผลกระทบเชิงบวก หรือ Impact Maker ผู้เป็นเบื้องหน้าด้านพลังงานสีเขียว และพร้อมเป็นเบื้องหลังให้องค์กรก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งยังเป็นหนึ่งในพันธมิตรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค
ภายใต้วิกฤตการณ์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ทำให้ทั่วโลกต่างร่วมมือกันปรับตัวเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืน กรีน เยลโล่ เป็นผู้ให้บริการโซลาร์ PPA (Solar PPA) ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ให้การลงทุน ติดตั้ง ดูแลและบำรุงรักษาระบบโซลาร์เซลล์ แบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียวสำหรับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมและสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนที่หล่อหลอมในรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการถ่ายทอดแนวคิดและกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เพื่อโลกที่ยั่งยืนมากขึ้น
กรีน เยลโล่ นับว่ามีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียวสำหรับธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรม แม้กระทั่งห้างสรรพสินค้าที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เพื่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะเป็นผู้ลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ พร้อมช่วยดูแลระบบในระยะยาวให้ฟรีตามสัญญา ตั้งแต่การสำรวจ ลงทุน ออกแบบ ติดตั้ง รวมถึงการบำรุงรักษา
นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร ของ กรีน เยลโล่ ประเทศไทย เผยว่า “เราส่งมอบโซลูชันพลังงานสะอาด ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยทั้งการมอนิเตอร์ตั้งแต่การผลิตพลังงาน รวมถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในแบบเรียลไทม์ ที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง เรายังช่วยให้ลูกค้าของเราลดการปล่อยคาร์บอนในขอบเขตที่ 1 (Scope 1) และ ขอบเขตที่ 2 (Scope 2) ของตนเอง ที่สำคัญลูกค้ายังสามารถให้ทาง กรีน เยลโล่ ช่วยออก 'ใบรับรองการผลิตพลังงานสีเขียว' หรือ green certificates เพื่อยืนยันว่ามีส่วนช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสภาพภูมิอากาศ"
นอกจากนี้ ในส่วนของการสร้างความยั่งยืนขององค์กร เพื่อการบรรลุเป้าหมาย ด้าน ESG ตอกย้ำความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่ง กรีน เยลโล่จึงมีการกำหนดแผนไม่ต่ำกว่า 14 ข้อที่จะต้องบรรลุในปี 2030 เช่น การมีผู้หญิงทำงานในบริษัทเป็นสัดส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ การมีซัพพลายเออร์หลักจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องผ่านมาตรฐานการตรวจสอบด้านสังคม (Social Audits Standards) รวมถึง ยังมีความมุ่งมั่นด้านการลดคาร์บอน โดยมีการเปิดเผยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปที่องค์กรCarbon Disclosure Project) ตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในขอบเขตที่ 1 และ 2 ภายในปี 2040 โดยอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ที่มีการติดตั้งต้องมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำอีกด้วย
กรีน เยลโล่ ยังเป็นองค์กรที่ให้ความใส่ใจในการช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศ โดยได้เริ่มดำเนินการ CSR แบบสมัครใจ ภายใต้สโลแกน "ร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก”
นายสเตฟานได้เผยว่า “CSR เป็นความพยายามร่วมกัน เพราะทุกคนสามารถสร้างผลกระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของตนเองได้ ซึ่งทุกปีเรามอบรางวัลให้กับสาขาที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดในด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงเรื่องความหลากหลาย การยอมรับความแตกต่าง สุขภาพและความปลอดภัย หรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในชุมชนท้องถิ่น”
ในแต่ละปี กรีน เยลโล่จะมีวัน EcoDay พนักงานทุกคนจะหยุดทำงาน เพื่อไปทำประโยชน์ให้กับสังคม อาทิ เก็บขยะและทำความสะอาดบริเวณรอบวัด หรือการเก็บขยะตามป่าชายเลน บางครั้งสามารถรวบรวมขยะได้ถึง 266 กิโลกรัมต่อครั้งเลยทีเดียว
นอกจากนี้ กรีน เยลโล่ยังทุ่มเทและถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เพื่อให้ผู้คนหรือองค์กรอื่นๆได้ตระหนักและเข้าใจว่าเราควรเริ่มลงมือทำเพื่อโลกที่ยั่งยืน ในโครงการ Climate Fresk โดยนำมาประยุกต์ใช้ในทุกประเทศ ทั้งสำหรับทีมงานภายในและยังรวมถึงลูกค้า พันธมิตร ซัพพลายเออร์ และนักลงทุน ของกรีนเยลโล่อีกด้วย
“การได้ลงมือทำ จะเป็นตัวชี้วัด ที่สร้างแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังสร้างความกระตือรือร้น ที่ทำให้เราสามารถเห็นได้ว่า ทุกความพยายามถึงแม้เพียงเล็กน้อย แต่กลับมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน” นายสเตฟานกล่าวทิ้งท้าย
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า “กรีนเยล โล่เป็นหนึ่งใน Impact Makers และเป็นพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ในการร่วมต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่นับว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกระดับ ทุกองค์กรไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ จะเป็นองค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม หรือสถาบันต่างๆ เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดกระแสและการปฏิบัติไปสู่ความยั่งยืนของโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่ธุรกิจก็ยังดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย และนี่คือหนทางสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง”
“บางกอกเคเบิ้ล” จับมือ “HiTHIUM” ท็อป 5 โลกด้านระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ หรือ BESS ผนึกกำลังสายไฟฟ้าคุณภาพและ BESS ที่ผ่าน R&D เข้มข้น สู่โซลูชั่นด้านพลังงานครบวงจร ชูวิสัยทัศน์ร่วมเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานไทยสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน สอดรับเทรนด์โลก วางแผนเดินหน้าประมูลงานและเมกะโปรเจกต์ภาครัฐและเอกชนไทย ทั้งกลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค-กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม-กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย พร้อมร่วมชิงเค้กงานระดับภูมิภาคจาก ASEAN Power Grid เปิดช่องหาพันธมิตรร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม
นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ HiTHIUM บริษัทชั้นนำระดับท็อปของโลกด้านระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems หรือ BESS) ณ สำนักงานใหญ่ของ HiTHIUM เมืองเซี่ยเหมิน ประเทศจีน เพื่อผสานความแข็งแกร่งระหว่างสายไฟฟ้าคุณภาพและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นจากทั้ง 2 บริษัท มาเป็นโซลูชั่นด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างครบวงจร รองรับความต้องการของประเทศ
“ทิศทางโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทนมากขึ้น BESS คือหัวใจสำคัญของสถานีไฟฟ้า โครงการระดับเมกะโปรเจกต์ที่ใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยยุคใหม่ เราและ HiTHIUM ต่างเป็น 2 บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมพลังงานที่ยั่งยืน เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพสูง เพื่อเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด เราเชื่อมั่นว่าการผลึกกำลังกันระหว่างเจ้าตลาดสายไฟของไทย และท็อป 5 ของโลกด้าน BESS จะเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนได้” นายพงศภัค กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทและ HiTHIUM จะนำเสนอโซลูชั่น รวมถึงเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในไทย ภายใต้ 3 กลุ่มงาน ได้แก่ 1.กลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค ที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน 2.กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่เน้นการขยายการติดตั้งและการจำหน่ายระบบจัดเก็บพลังงาน และ 3.กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ที่ใส่ใจพลังงานสะอาดและมุ่งเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานที่ทันสมัย ขณะเดียวกัน จะร่วมกันเข้าประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคอย่างโครงการ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งเป็นโครงการสร้างความเชื่อมโยงด้านพลังงาน สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานระหว่างประเทศสมาชิก โดยบริษัทและ HiTHIUM ยังคงเปิดกว้างการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม
ด้านนายแซม หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำประเทศไทย HiTHIUM กล่าวว่า HiTHIUM รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บางกอกเคเบิ้ล ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดสู่ประเทศไทย ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้มุ่งเน้นการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการกักเก็บพลังงานที่ล้ำสมัยของ HiTHIUM โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย
สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว
บริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด (SCIeco) ผู้นำด้านการจัดการของเสียและกากอุตสาหกรรม และบริการการตรวจวัดสิ่งแวดล้อม ชวนทุกท่านมาเจาะลึกอนาคตแห่งการจัดการสิ่งแวดล้อม ในงาน Environmental and Waste Management Expo 2024 (EnwastExpo 2024) งานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อม และการจัดการของเสีย ภายใต้แนวคิด “Join the movement towards a better planet” หรือ “ร่วมขับเคลื่อนสู่โลก ที่ดีกว่า”
ห้ามพลาดกับ SCIeco ภายใต้ Green Circular ซึ่งครั้งนี้มาในคอนเซ็ปต์ “Waste to The Future” ด้วยโซลูชันด้านการจัดการ Waste เพื่อสร้างสรรค์โลกที่ดีขึ้น เพื่ออนาคตที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้แก่ Industrial Waste Management บริการรับจัดการของเสียและกากอุตสาหกรรม, Municipal Waste Management การจัดการ waste ภาคชุมชนมาเป็นเชื้อเพลิงทดแทน RDF, Agricultural Waste Management แปลงวัสดุเหลือทิ้งภาคการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล, Environmental Service Solutions บริการตรวจวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม พร้อมดูแลครบวงจร พร้อมกันนี้ ทุกท่านยังจะได้สัมผัสการสาธิตแบบจำลองระบบตรวจวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม โดยมี Model ปล่องระบาย
อากาศที่แสดงผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการตรวจวัดและวิเคราะห์คุณภาพอากาศจากปล่องอุตสาหกรรม
นิวยอร์ค, 12 กันยายน 2567 – เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และ ฮุนได มอเตอร์ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อศึกษาการร่วมมือกันในอนาคต ซึ่งจะครอบคลุมกลยุทธ์หลักในหลายสาขา จีเอ็มและฮุนไดต่างค้นหาหนทางที่จะสร้างประโยชน์สูงสุด จากการควบรวมระดับการผลิตและจุดแข็งของแต่ละฝ่าย เพื่อลดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกับการเพิ่มทางเลือกยานพาหนะให้หลากหลายยิ่งขึ้น และส่งมอบเทคโนโลยีใหม่ให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น
ทั้งสองบริษัทเป็นผู้ผลิตระดับชั้นนำของโลก ยังอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะจัดซื้อวัตถุดิบในหลายสาขาร่วมกัน ทั้งวัตถุดิบในการทำแบตเตอรี่ โลหะ และอื่น ๆ ผู้ที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวมี Euisun Chung ตำแหน่ง Executive Chair ของ ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป และ Mary Barra ตำแหน่ง Chairperson และ CEO ของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส
ความร่วมมือระหว่างสองบริษัทจะก่อให้เกิดศักยภาพ ในการพัฒนารถยนต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านการเพิ่มสเกลการผลิต และการจัดสรรงบประมาณได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น “จีเอ็มและฮุนไดจะนำจุดแข็งและทีมงานที่มีฝีมือมาควบรวมกัน โดยเป้าหมายของเราคือการปลดล็อคขนาดและความสร้างสรรค์ของทั้งสองบริษัทฯ เพื่อส่งมอบรถยนต์ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้น” Barra กล่าว
ความยืดหยุ่นและความคล่องแคล่วของจีเอ็มและฮุนได ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทฯ สามารถเริ่มการพัฒนาของการแลกเปลี่ยนความสามารถร่วมกันได้
“ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ฮุนได มอเตอร์และจีเอ็ม ประมวลโอกาสที่จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในหลายตลาดหลัก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า ผ่านการผสานความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมของทั้งสองบริษัทฯ เข้าด้วยกัน” Chung กล่าว
หลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ซึ่งไม่มีผลบังคับทางกฎหมายฉบับนี้ ทั้งสองบริษัทฯ จะเริ่มกระบวนการประมวลผลและเริ่มดำเนินงานทันที
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน “Sustrends 2025” ณ พิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ ด้วยการส่ง e-PromptMove (อี-พรอมต์มูฟ) โซลูชันผลิตและกักเก็บไฟฟ้าพลังงานสะอาดแบบเคลื่อนที่ เพื่อจ่ายไฟฟ้าที่ใช้ในงาน (ประมาณ 78 กิโลวัตต์ชั่วโมง) และรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ในการอำนวยความสะดวกผู้เข้าร่วมงานจากรถไฟฟ้า MRT สถานี ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์การจัดงานสัมมนาด้วยการใช้พลังงานสะอาด
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยว่า “บ้านปูยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมลดการปล่อยคาร์บอนในงาน Sustrends 2025 ซึ่งนับเป็นปีที่สองที่เราได้นำเทคโนโลยีพลังงานมาสนับสนุนการจัดงาน Sustrends บ้านปูเชื่อว่าการส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย สำหรับบ้านปู เราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ในธุรกิจของเรา เช่น การเพิ่มพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียน แบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage System Solutions: BESS) ระบบจัดการการเดินทางและขนส่งด้วยยานพาหนะไฟฟ้า การจัดการพลังงานในอาคารและเมืองอย่างเหมาะสม เป็นต้น”
นอกจากการสนับสนุนโซลูชันพลังงาน e-PromptMove และตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi แล้ว บ้านปูยังได้นำเสนอนิทรรศการแสดงข้อมูลและเรื่องราวความยั่งยืน หรือ ESG ของบ้านปู รวมถึงได้นำผู้ประกอบการเพื่อสังคมในโครงการ “พลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม (Banpu Champions for Change: BC4C) มาร่วมแบ่งปันแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม ประกอบด้วย insKru (อินสครู) แพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมให้ครูส่งต่อแรงบันดาลใจและไอเดียดีๆ ให้กับเพื่อนครูทั่วประเทศ และ Saen-D (แสนดี) แอปพลิเคชัน AI ผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อคนวัยทำงาน
งาน Sustrends 2025 ได้รวบรวม 45 เทรนด์ความยั่งยืนที่กำลังเปลี่ยนโลก จาก 15 วงการ จัดโดย The Cloud และได้รับการสนับสนุนจากบ้านปูและอีกประมาณ 20 หน่วยงานด้านความยั่งยืน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ที่มาร่วมผลักดันการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในประเทศไทย