อิเกีย ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว ‘อิเกีย สุขุมวิท’ สโตร์ อิเกียแห่งที่ 4 ในไทย ณ บริเวณชั้น 3 ศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป

ชูคอนเซ็ปต์ ‘City-Centre Store’ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และร้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ โดยมุ่งตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการเดินทางให้ชาวกรุง พร้อมประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างเต็มรูปแบบตามแบบฉบับของอิเกีย บนพื้นที่กว่า 12,000 ตร.ม. สานต่อวิสัยทัศน์ระดับโลกในการช่วยให้ชีวิตผู้คนทั่วโลกดีขึ้นทุกวัน ด้วยการตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของคนเมืองด้วยโซลูชันการตกแต่งบ้านที่ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตหลากหลาย พร้อมสินค้าที่มีให้เลือกมากมายถึง 8,254 รายการ โดยมีถึงกว่า 4,000 รายการที่สามารถช้อปและนำกลับบ้านได้เลย การสร้างโอกาสในการทำงานที่ส่งเสริมความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมให้แก่ทีมงานกว่า 180 คน และความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชนโดยรอบสู่ความยั่งยืน โดยการเปิดตัวซิตี้สโตร์แห่งแรกในประเทศไทยครั้งนี้ยังเป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรมค้าปลีกครั้งสำคัญ ด้วยการผสานประสบการณ์ช้อปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อมากขึ้น และการนำเสนอบริการที่สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพิ่มขึ้น

 

ลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม

ลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าวว่า “แนวคิดซิตี้สโตร์ของอิเกียเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2560 และถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายการเติบโตของบริษัทในระดับโลก สำหรับ ‘อิเกีย สุขุมวิท’ ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และร้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ มุ่งอำนวยสะดวกแก่ลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ใจกลางเมือง ด้วยการเดินทางที่

ง่ายขึ้น พร้อมประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เต็มรูปแบบตามแบบฉบับของอิเกีย ไม่ว่าจะเป็น โชว์รูม มาร์เก็ตฮอลล์ คลังสินค้าบริการตนเอง ร้านอาหารอิเกีย รวมถึงมุมอาหารและขนมสวีเดน เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้สานต่อความสำเร็จตลอด 12 ปีที่ผ่านมาในประเทศไทย ด้วยการทำให้แบรนด์ของเราใกล้ชิดกับคนเมืองมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาประสบการณ์ช้อปปิ้งทั้งออนไลน์ และนำเสนอบริการเพิ่มเติมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองโดยเฉพาะ พร้อมส่งเสริมการพัฒนาชุมชนโดยรอบในขณะเดียวกัน”

ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ อิเกีย สุขุมวิท พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางที่ง่ายขึ้นด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างเต็มรูปแบบตามแบบฉบับของอิเกีย ด้วยสินค้าที่มีให้เลือกมากมายถึง 8,254 รายการ โดยมีถึงกว่า 4,000 รายการที่สามารถช้อปและนำกลับบ้านได้เลย บนพื้นที่กว่า 12,000 ตร.ม. โดยแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ โชว์รูมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับ วิถีชีวิตของชาวเมือง มาร์เก็ตฮอลล์ที่มีสินค้ากว่า 3,000 รายการให้เลือกช้อป ครบครันในทุกประเภทเช่นเดียวกับที่ อิเกีย บางนา และบางใหญ่ คลังสินค้าบริการตนเอง (self-serve) ที่มีสินค้าที่ซื้อและนำกลับได้เลยกว่า 300 รายการ พร้อมมุมสินค้าตามสภาพ (as-is corner) และร้านอาหารอิเกีย อีกหนึ่งมุมไฮไลท์ที่โอบล้อมด้วยวิวของสวนเบญจสิริในมุมกว้างและพร้อมให้บริการถึง 530 ที่นั่ง ให้ผู้ที่มาเยือนได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศความร่มรื่นใจกลางเมือง ขณะดื่มด่ำไปกับเมนูอาหารสวีเดนมื้อโปรด โดยจะมี 3 เมนูใหม่ที่รังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะ สำหรับช่วงเปิด อิเกีย สุขุมวิท อีกด้วย

 

ศิรินทร์ อาศน์ศิลารัตน์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย สุขุมวิท กล่าวว่า “อิเกีย สุขุมวิท เตรียมพร้อมเปิดให้บริการสำหรับคนที่รักแบรนด์อิเกียและคนที่ยังไม่เคยมีโอกาสเดินทางไปที่สโตร์บางนาและบางใหญ่ ให้ได้สัมผัสประสบการ์การช้อปปิ้งและบริการของอิเกียอย่างเต็มรูปแบบ และจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของ คนเมือง เราจึงมีบริการที่รวดเร็วด้วยการจัดส่งภายในวันเดียว ในรัศมี 8 กิโลเมตรโดยรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสะท้อนความสนใจในด้านการรักษ์สิ่งแวดล้อมของคนในย่านนี้ด้วย และยังเป็นบริการใหม่ซึ่งมีที่ อิเกีย สุขุมวิท เป็นแห่งแรก นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวคอลเล็คชั่นพิเศษ AURTIENDE/ ออเทียนเด ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย เพื่อฉลองการเปิดตัวสโตร์อิเกียแห่งที่ 4 ในไทย ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ ‘City-Centre Store’ ในครั้งนี้ด้วย”

บริการส่งสินค้าถึงบ้านภายในวันเดียว (same-day delivery) ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า จะให้บริการอยู่ภายในรัศมี 8 กิโลเมตร สำหรับสินค้าที่มีอยู่ในสโตร์และลูกค้าเดินทางมาช้อปด้วยตัวเอง โดยมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 129 บาท นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและรวดเร็วให้กับลูกค้า กับบริการเช็คเอาต์ด้วยตัวเองที่มีช่องให้บริการมากถึง 16 ช่อง ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคดิจิทัล

ทั้งนี้ อิเกีย สุขุมวิท พร้อมต้อนรับทุกคนที่กำลังมองหาไอเดียและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการตกแต่งห้อง คอนโด บ้าน หรือออฟฟิศ ด้วยประสบการณ์การช้อปปิ้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่สะดวกสบาย พร้อมด้วยดีไซน์ คุณภาพและในราคาที่เข้าถึงได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.IKEA.co.th

Lirunex ได้รับรางวัลโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ดีที่สุดของเอเชีย (Best Asia Forex Broker) ในการประชุมสุดยอดฟอเร็กซ์เทรดเดอร์ที่ดูไบ (Forex Traders Summit Dubai) ประจำปี 2566 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศของโบรกเกอร์ผู้ให้บริการเทรดหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์รายนี้ รวมทั้งสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพให้กับนักเทรดในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ที่ไม่หยุดนิ่ง ในฐานะนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาค Lirunex ได้แสดงข้อมูลเจาะลึกของตลาดอันเฟื่องฟูของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตของภูมิภาค และการมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้

ภูมิภาคเอเชียได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่ง แม้จะมีความไม่แน่นอนตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ชี้ชะตาในหลาย ๆ ภาคส่วนนั้น แวดวงการเทรดในเอเชียเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 29.6% ในช่วงสามไตรมาสแรก และภายในสิ้นปี 2566 มีการคาดการณ์การเติบโต 3.8% ทั่วเอเชียแปซิฟิก (APAC) ไม่รวมจีน แซงหน้าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่คาดการณ์ไว้ 2.7%

ตลาดการเทรดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เต็มไปด้วยโอกาส

การเติบโตทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์ตลาดที่มีชีวิตชีวาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้บุคคลและองค์กรธุรกิจต่าง ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความสนใจในตลาดการเงินพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเทรดฟอเร็กซ์และสินค้าโภคภัณฑ์ นักเทรดที่ทะเยอทะยานและนักลงทุนที่ช่ำชองกำลังใช้ประโยชน์จากภาคส่วนที่กำลังเติบโตนี้ และมองหาโอกาสในการทำกำไร

อย่างไรก็ตาม บางประเทศและบางชุมชนในภูมิภาคนี้ยังมีระดับความรู้ทางการเงินที่ไม่เพียงพอ ผู้ให้บริการต่างตระหนักถึงความจำเป็นในการเสริมศักยภาพให้กับนักเทรด เพื่อให้แน่ใจว่าชุมชนทั่วทั้งภูมิภาคมีความพร้อมด้วยข้อมูลเชิงลึกของตลาดและทักษะที่สำคัญ ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมและการสัมมนาผ่านเว็บ เช่น LX Academy ของ Lirunex ความพยายามเหล่านี้ยังมุ่งเอาชนะความเสี่ยงด้านสกุลเงินและสภาพคล่อง รวมทั้งอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม ด้วยการสนับสนุนในท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดสำหรับนักเทรดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าโภคภัณฑ์ของภูมิภาคนี้ ตลอดจนสกุลเงินต่าง ๆ ที่ใช้ภายในภูมิภาค ทำให้มีสินทรัพย์ที่หลากหลายเป็นพิเศษสำหรับนักเทรด แนวทางที่อิงตามแพลตฟอร์มช่วยให้การกระจายความเสี่ยงและกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนง่ายขึ้น

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้สนับสนุนกลยุทธ์ของนักเทรด เมื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยมาใช้ โดยเครื่องมือสร้างแผนภูมิขั้นสูง ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค และความสามารถในการซื้อขายแบบอัลกอริทึม ช่วยให้นักเทรดมีเครื่องมือที่ซับซ้อนในการตัดสินใจอย่างรอบรู้ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังได้รับการเสริมด้วยโปรโตคอลความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มงวด เพื่อปกป้องข้อมูลผู้ใช้จากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับระหว่างประเทศ

กรอบการกำกับดูแลสำหรับการซื้อขายฟอเร็กซ์และสินค้าโภคภัณฑ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ และซับซ้อน แต่ก็กำลังพัฒนา หน่วยงานกำกับดูแลในภูมิภาคนี้กำลังดำเนินนโยบายเพื่อควบคุมการลงทุนและส่งเสริมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งสร้างโอกาสเพิ่มเติมสำหรับนักเทรดและนักลงทุน โดยโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการซื้อขาย อย่างเช่น Lirunex ยังคงมุ่งมั่นที่จะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และมุ่งปฏิบัติตามกฎระเบียบของเขตอำนาจทางการเงินชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลก

คุณแจ๊ก ฟุง (Jack Foong) ซีอีโอของ Lirunex กล่าวว่า "Lirunex สนับสนุนความพยายามด้านกฎระเบียบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง ขณะนี้บางประเทศกำลังพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่เป็นมิตรต่อนักลงทุนมากขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ ความชัดเจนและความเชื่อมั่นที่มีต่อกฎระเบียบดึงดูดนักเทรดเข้าสู่ตลาดเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งส่งเสริมการเติบโตและเสถียรภาพที่ดี"

Lirunex เป็นโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ดีที่สุดของเอเชียประจำปี 2566 โดยสนับสนุนให้นักเทรดคว้าโอกาสที่เฟื่องฟูในตลาดเทรดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมใช้เครื่องมือและการสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศและการอุทิศตนอย่างแน่วแน่เพื่อความสำเร็จของนักเทรด Lirunex ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเทรดที่แสวงหาประสบการณ์การเทรดที่ยอดเยี่ยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

SAP (เอสเอพี) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศเปิดตัว GROW with SAP โซลูชันและบริการใหม่ที่จะช่วยให้องค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อประโยชน์สูงสุดจาก Cloud ERP ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คาดการณ์ธุรกิจในอนาคตได้อย่างแม่นยำ และสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง

การเปิดตัวดังกล่าวจัดขึ้นภายในงานการประชุม SEA Partner Success Summit 2023 ซึ่งมีพาร์ทเนอร์กว่า 300 รายทั่วภูมิภาคเข้าร่วม

โซลูชัน GROW with SAP ได้รวบรวมแพลตฟอร์มเพื่อตอบสนองการขยายธุรกิจอย่าง SAP Business Technology Platform เข้าไว้ในบริการนี้เพื่อให้องค์กรสามารถปรับใช้และกำหนดแนวทางซอฟต์แวร์ในแบบคลาวด์เนทีฟผ่าน SAP Build ด้วยโซลูชัน SAP Build ผู้ใช้งานสามารถสร้างแอปพลิเคชันภายในองค์กร สร้างกระบวนการทำงานอัตโนมัติ และออกแบบเว็บไซต์ธุรกิจได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเขียนโค้ด ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาธุรกิจผ่านการสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์

งานวิจัยของ SAP study พบว่า มากกว่า 2 ใน 3 ขององค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก มองเห็นว่าการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น มีความสำคัญต่อองค์กรและความอยู่รอดในอนาคตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน องค์กรมีความจำเป็นที่จะต้อง

อาศัยผู้เชี่ยวชาญและพาร์ทเนอร์ที่สามารถให้คำแนะนำพวกเขาตลอดกระบวนการดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัวและคุ้มค่ากับการลงทุน

องค์กรขนาดกลางและขนาดเล็กเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 99% ของธุรกิจทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างงาน 90% และคิดเป็นเกือบ 60% ของจีดีพีในหลายประเทศในอาเซียน การร่วมมือประสานกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรธุรกิจของ SAP และพาร์ทเนอร์ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการใช้ประโยชน์จากโซลูชัน GROW with SAP จะช่วยส่งเสริมศักยภาพขององค์กรขนาดกลางและขนาดเล็กในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล กระตุ้นให้องค์กรเกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งยังส่งเสริมศักยภาพเพื่อโอกาสการเติบโตทางธุรกิจระหว่างประเทศใหม่ ๆอีกด้วย” เวเรน่า เซียว ประธานและกรรมการผู้จัดการ เอสเอพี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

“T-PRIDE ก่อตั้งขึ้นเเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนในการสร้างความร่วมมือและความยืดหยุ่นเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อการระบาดใหญ่ของโควิด 19 แม้ว่าปัจจุบันเราจะอยู่ในยุคหลังการระบาด แต่ T-PRIDE ยังคงเดินหน้าป้องกันและเตรียมความพร้อมขององค์กรอยู่เสมอ ซึ่งการย้ายการทำงานขององค์กรไปยังระบบคลาวด์และใช้งาน GROW with SAP ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางการทำงานระบบดิจิทัล ช่วยให้องค์กรสามารถยกระดับกระบวนการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นและเป็นไปตามหลักธรรมภิบาลมากยิ่งขึ้น การมีตัวช่วยที่ครบครันจะช่วยให้เราสามารถควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้แนวทางการทำงานและการบริหารสอดคล้องกัน ด้วยแนวคิดการขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลที่รวมเป็นหนึ่งช่วยให้การประมวลผลและการตัดสินใจถูกต้องและม่นยำ ทำให้ T-PRIDE สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ตอบสนองความต้องการของชุมชน และบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ” จูดี้ เฮย ประธานกรรมการบริหาร Temasek Public Resilience Infectious Disease Emergency (T-PRIDE) กล่าว

“ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเอสเอพีที่มากกว่า 50 ปี ในการช่วยบริษัททุกขนาดในหลากหลายองค์กรให้กลายเป็นองค์กรอัจฉริยะที่ยั่งยืน เราเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและแนวทางเพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการนำ Cloud ERP มาใช้ รวมถึงทำอย่างไรลูกค้าจึงสามารถนำเอาโซลูชันคลาวจากเอสเอพีมาใช้เพื่อขยับขยายและสนับสนุนธุรกิจ พร้อมทั้งนำเสนอบริการที่ซับซ้อนให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนสามารถเตรียมความพร้อมสู่เป้าหมายความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต” เวเรน่า เซียว กล่าวเสริม

“ธุรกิจต่างๆทราบดีว่าการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่นและการย้ายไปยังระบบคลาวด์มีประโยชน์อย่างมาก แต่ความกังวลและไม่มั่นใจทำให้หลายองค์กรยังคงลังเล” คริสตอฟ เดอร์เดน หุ้นส่วนและผู้อำนวยการบริษัท Delaware ประเทศสิงคโปร์ และDelaware นานาชาติ กล่าว “GROW with SAP แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าโซลูชันดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการด้านงบประมาณและธุรกิจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เมื่อลูกค้าเข้าใจรายละเอียดขององค์ประกอบและบริการอย่างชัดเจน การย้ายไปยังระบบคลาวด์จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป แต่ทุกกระบวนการจะอยู่ภายใต้การควบคุมที่เป็นขั้นเป็นตอน นอกจากนี้ยังรับประกันได้ว่า SAP และกลุ่มบริษัทพาร์ทเนอร์ พร้อมดูแลลูกค้าเป็นอย่างดีเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับธุรกิจ”

“SAP ผนึก 3 องค์ประกอบสำคัญที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเข้าด้วยกันในโซลูชันครบวงจร เพื่อช่วยให้ลูกค้าย้ายไปยังระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น" กริช วิโรจน์สายลี ประธานกรรมการ บริษัท ไอแอม คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าว “ลูกค้าของเราสามารถพัฒนาธุรกิจผ่านการใช้งานบนระบบ SAP S/4HANA® Cloud ตลอดจนสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆผ่าน SAP Business Technology Platform ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลพวงมาจากการประสบการณ์ในการช่วยเหลือลูกค้ามายาวนานกว่า 50 ปีของเอสเอพี ยิ่งเรานำเทคโนโลยีและโซลูชันดังกล่าวมาใช้งานเร็วเท่าไหร่ ข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์กรยิ่งมีมากเท่านั้น

นอกจากนี้ SAP ยังได้มีการประกาศผู้ชนะรางวัล SAP SEA Partner Awards 2023 ซึ่งให้ความสำคัญกับพาร์ทเนอร์ดีเด่นในด้านการขาย นวัตกรรม เทคโนโลยี บริการ และโซลูชันอีกด้วย

 

 

Airbnb เผยข้อมูลล่าสุดการเดินทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฟื้นตัวแรง พร้อมสร้างโอกาสใหม่ๆ

ในเดือนตุลาคม 2564 Facebook ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Meta และประกาศว่าบริษัทจะมุ่งพัฒนาเมตาเวิร์ส

*หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงเวลานับตั้งแต่การประกาศของ Meta เราจะเจอคำถามบางอย่างที่น่าสนใจ เกิดอะไรขึ้นกับเมตาเวิร์สในช่วง 12 เดือน ที่ผ่านมา และเมตาเวิร์สเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคและแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไร?

*หลายคนอาจสังเกตได้ว่าการพูดคุยเกี่ยวกับเมตาเวิร์สนั้นเริ่มเงียบหายไปอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ช่วงที่เมตาเวิร์สมีความนิยมสูงสุดในเดือนตุลาคม 2564 ข้อมูลจาก Google Trends ช่วยยืนยันถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

*นอกจากการตลาดเชิงรุก และพาดหัวข่าวที่รายงานเกี่ยวกับเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการซื้อขายศิลปะดิจิทัลที่ไม่มีใครเข้าใจ สิ่งที่ทำให้เมตาเวิร์สสามารถดึงดูดความสนใจได้จากผู้คนมากมายในช่วงแรก คือการที่เราคิดว่าเทคโนโลยีได้พัฒนามาจนถึงจุดทีการใช้ชีวิตในโลกเสมือนจริงนั้นเป็นไปได้

*โควิด-19 ยังช่วยเร่งให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตประจำวันในด้านต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ โดยมีตัวบ่งชี้เช่นความนิยมและการพัฒนาของวงการเกม และการที่ดิจิทัลเริ่มมีความสำคัญในการทำงาน การเรียน การออกเดต และการช้อปปิ้ง และความก้าวหน้าของเหรียญดิจิทัล เครื่องเล่น VR และความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น เริ่มช่วยแก้ปัญหาความท้าทายของการใช้ชีวิตแบบดิจิทัล

*แต่น่าเสียดายที่เมตาเวิร์สไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้ใช้ และไม่สามารถทำตามคำสัญญาถึงบทบาทในชีวิตแบบดิจิทัลที่ยังเป็นสิ่งใหม่และท้าทายอยู่

เมตาเวิร์สคืออะไร

เมตาเวิร์สได้รับคำนิยามว่าเป็นส่วนขยายดิจิทัลของโลกแห่งความจริง เป็นส่วนหนึ่งของโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต

เมตาเวิร์สคือพื้นที่เสมือนที่ผู้ใช้สามารถตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้คนอื่น ๆ ซึ่งเป็นการจำลองการมีปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความจริงมาไว้ในโลกออนไลน์

หากเราลองมองถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โลกอินเทอร์เน็ตในอนาคตอาจเป็นโลกแบบไร้หน้าจอ ชีวิตของทุกคนจะเชื่อมต่อ ดำดิ่ง และซ้อนทับกับโลกดิจิทัล ผ่านการใช้เทคโนโลยี AR และ VR ลองนึกถึงการพิมพ์คีย์บอร์ดบนอากาศที่มีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็นผ่านสมาร์ตคอนแทคเลนส์ แทนที่จะเป็นผู้ไลฟ์สตรีมคอนเสิร์ต ก็สามารถเข้าไปร่วมสัมผัสบรรยากาศจริงพร้อมผู้ชมคนอื่น ๆ ในรูปแบบดิจิทัล หากเราพูดถึงการดำดิ่งสู่ดิจิทัล ลองนึกถึงการอยู่ในโลกเสมือนในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง หันไปทางซ้าย คุณจะเห็นอวาตาร์ของเพื่อนของคุณกำลังหาตั๋ว NFT ในกระเป๋ากางเกงของเขา เมื่อมองไปทางขวา คุณจะเห็นว่ามีคลับเสมือนจริงเปิดใหม่ที่มาแทนที่พิพิธภัณฑ์เสมือนจริงที่เคยเป็นที่โปรดของคุณมาก่อน

ทำไมเมตาเวิร์สถึงยังไม่เหมาะกับแบรนด์ - ในตอนนี้ ?

เท่าที่ผ่านมา ‘เมตาเวิร์ส’ ส่วนใหญ่ที่แบรนด์นำเสนอนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเมตาเวิร์สได้เต็มปากเต็มคำ ฟีเจอร์เหล่านี้ได้ออกแบบมาให้ใช้งานผ่านเบราว์เซอร์หรือสมาร์ตโฟน และมีรูปแบบการใช้งานที่จำกัด อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมในการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลใหม่ ๆ เพื่อมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคและยังช่วยนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเมตาเวิร์สไปยังผู้คนในวงกว้างอีกด้วย

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมตาเวิร์ส (ตามคำนิยามที่ให้ไว้) นั้นไม่มีอยู่จริง แต่มีผู้คนเพียงจำนวนน้อยมากที่เข้าถึงการใช้งาน หากต้องการดึงดูดผู้ใช้เพิ่มขึ้นและกลายเป็นวิธีหลักที่ผู้คนใช้โต้ตอบกับโลกดิจิทัล เมตาเวิร์สต้องได้รับการพัฒนาให้เข้าถึงง่ายและน่าสนใจกว่าเดิมอย่างมาก

การพัฒนาอย่างแรกคือการปรับปรุงประสบการณ์เสมือนจริงให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เครื่องเล่น VR ยังมีราคาสูง และมันเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสู่โลกเมตาเวิร์สอย่างแท้จริง และรู้สึกถึงการมีตัวตนของตนเองเมื่อตอบโต้กับพื้นที่เสมือน ถึงแม้ราคาอาจไม่เป็นอุปสรรคสำหรับบางคน แต่เราจะเข้าสู่โลกเมตาเวิร์สไปทำไมในเมื่อมันไม่มีความน่าอยู่เลย

การควบคุม VR ยังไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย และการใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้เนื่องจากการตอบสนองของการเคลื่อนไหวและรูปภาพที่ไม่เท่ากัน ผู้ใช้ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้เรื่องเมตาเวิร์สมาก่อนอาจพบว่าตนได้เข้าไปอยู่ในโลกว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรให้ทำ หรือไม่มีผู้ใช้คนอื่นให้คุยด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับตัวละครในวิดีโอเกมในปัจจุบัน อวาตาร์ใน Horizon ของ Meta หรือใน VRChat ยังเป็นบล็อก ๆ และไม่ชัดเจน แม้จะมีการถกเถียงว่าอวาตาร์เหล่านี้ไม่ต้องการความสมจริงขั้นสูงเพื่อดึงดูดผู้ใช้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าความลื่นไหลและการแสดงออกนั้นต้องการการปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม เรา สามารถแก้ไขข้อบกพร่องทางเทคโนโลยีได้ ยิ่งมีการทุ่มเงินทุนจำนวนเป็นพัน ๆ ล้าน และใช้บุคลากรทางเทคโนโลยีที่เก่งที่สุดในการพัฒนาเมตาเวิร์ส อุปกรณ์จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และประสบการณ์เสมือนจริงจะได้รับการพัฒนาไปอีกหลายระดับ แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอีก 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี ผู้พัฒนาเกมอาจจะเป็นผู้ที่พัฒนาเมตาเวิร์สเพื่อมอบประสบการณ์ที่สมจริงมากกว่าเดิมให้กับผู้ใช้ ด้วยการเพิ่มความเป็นไปได้ของสิ่งที่สามารถทำได้ และการนำประสบการณ์ดิจิทัลมารวมเข้ากับตัวละครที่คุ้นเคยและกลไกต่าง ๆ ของโลก

เกมออนไลน์ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก (MMO – Massive Multiplayer Online) ที่โด่งดังในปัจจุบัน เช่น Fortnite และ Roblox ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้เยอะกว่ามาก หากเทียบกับเมตาเวิร์ส น่าจะเป็นผู้ที่นำเสนอประสบการณ์ VR (ซึ่ง Fortnite ได้เผยให้เรารู้บ้างแล้ว) แต่ก็จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถมอบประสบการณ์ที่ตรงตามความต้องการของกลุ่มผู้เล่นขนาดใหญ่ที่มีเสียงที่ดังและมีอำนาจในการชักจูงสูง

ความน่าตื่นเต้นของเมตาเวิร์ส เพียงพอสำหรับผู้บริโภคหรือไม่?

ในการเพิ่มการมีส่วนร่วม เมตาเวิร์สจำเป็นต้องเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น โดยตามความจริงนั้น มนุษย์ไม่สามารถกินอาหารในเมตาเวิร์ส (แม้ว่าจะสามารถจำลองประสบการณ์ทางสังคมของการดินเนอร์ได้) และคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในโลกแห่งความจริงจะมีพลังมากกว่าเสมอ ถึงแม้ผู้บริโภคจะสามารถลองชุดแบบดิจิทัลได้ แต่ทำไมพวกเขาต้องทำแบบนั้น ในเมื่อพวกเขาสามารถเดินทางไปร้านเสื้อจริง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงได้

หากว่ากันตามทฤษฎี เมตาเวิร์สสามารถแทนที่โลกแห่งความจริงได้ และจะเกิดการใช้งานที่เป็นประโยชน์ เช่น การทดสอบเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ การฝึกอาชีพ การวางผังเมือง การจำลองผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และการรับการบำบัดหรือการรักษาทางการแพทย์

ตามทฤษฎีแล้ว เมตาเวิร์สเป็นพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด และแบรนด์ที่กำลังมองหาโอกาสกับเมตาเวิร์สควรนำความเป็นไปได้เหล่านี้มาใช้ การสร้างเรื่องราว จินตนาการ ประวัติศาสตร์ หรือการสร้างอนาคต รวมถึงการปรับเปลี่ยนกฎแห่งฟิสิกส์ หรือการให้ผู้ใช้ได้ท่องโลกในร่างของแมว สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง แต่เมตาเวิร์สสามารถทำให้กลายเป็นจริงได้

อย่างไรก็ตาม หากโลกของเราไม่ได้เป็นโลกที่ใช้ชีวิตไม่ได้แบบที่มนุษย์ต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา จะมีผู้ที่ตื่นเต้นกับการได้สัมผัสกับสถานที่ที่มีอยู่แล้วในโลกความเป็นจริง ในเวอร์ชันดิจิทัลมากเพียงใด

ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นผู้ใช้หลักของเมตาเวิร์สหรือไม่?

ข้อมูลจากงานวิจัยผู้บริโภคทั่วโลกของ มินเทล ชี้ว่าผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า 2 ใน 3 คน (64%) บอกว่าพวกเขาสนใจลองทำสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าทำในโลกจริงในโลกเมตาเวิร์ส นอกจากนี้ หากเทียบกับค่ากลางของผู้บริโภคทั่วโลก (45%) ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเข้าใจเกี่ยวกับเมตาเวิร์สมากกว่า โดย 62% บอกว่าพวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเมตาเวิร์สและมีความรู้เกี่ยวกับเมตาเวิร์สเล็กน้อยเป็นอย่างต่ำ

งานวิจัยผู้บริโภคทั่วโลกของ มินเทล ยังแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ใช้ NFT จำนวนมากที่สุดในโลก (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NFT ได้ในพอดคาสต์ของมินเทล Episode นี้) ผู้บริโภคในประเทศฟิลิปปินส์ใช้เวลา 4 ชั่วโมง ต่อวัน ในการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กในปี 2564 และ 90% ของผู้บริโภคในประเทศอินโดนีเซียที่มีสมาร์ตโฟนเคยเล่นเกมบนสมาร์ตโฟนในช่วง 3 เดือน ก่อนเดือนสิงหาคม 2565

ปัจจัยเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสนใจของผู้บริโภคในการใช้งานเมตาเวิร์ส หากเมตาเวิร์สเข้าถึงง่ายและมีความน่าสนใจต่อพวกเขา ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายคนมีความสนใจในแพลตฟอร์มดิจิทัล เทคโนโลยี และโอกาสต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะโลกดิจิทัลในปัจจุบันนั้นมีความสนุก ตื่นเต้น และเต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมาย ภูมิภาคนี้มีความสนใจในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการเรียนรู้ทักษะเทคโนโลยี เพราะทั้งผู้คน สตาร์ตอัป และประเทศต่าง ๆ กำลังเตรียมตัวเพื่อความสำเร็จในโลกดิจิทัลแห่งอนาคต นักพัฒนา นักออกแบบ นักสร้างสรรค์ และนักคิดหลายคนกำลังร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทดลองเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเสมือนจริงและการพัฒนาอื่น ๆ ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการใช้งานเมตาเวิร์สได้แก่ สกุลเงินท้องถิ่นที่ไม่มีเสถียรภาพ (หรืออ่อนค่า) และการที่ผู้คนบางกลุ่มในสังคมไม่สามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ

หากแบรนด์ยังไม่แน่ใจว่าจะรับบทบาทใดในโลกเมตาเวิร์ส หรือไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ แบรนด์สามารถคลายความกังวลได้เพราะเมตาเวิร์สยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา และช่วงเวลานี้ยังมีโอกาสอีกมากมายให้แบรนด์ทดลอง แบรนด์สามารถใช้เกม ความบันเทิง และวัฒนธรรมประชานิยม (ป็อปคัลเจอร์) เพื่อทำความเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ดึงดูดผู้บริโภคและสร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเขา และใช้ความรู้ใหม่ ๆ เหล่านี้ในการวางแผนงานทั้งขนาดเล็กและใหญ่สำหรับการใช้งานเมตาเวิร์ส

บทความ   Joey  Khong

 

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click