December 05, 2025

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์และผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า ซึ่งเป็นบริการสินเชื่อโดย บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด ผนึกกำลัง อัลเตอร์วิม บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานทดแทนในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ประกาศความร่วมมือเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่าย ๆ ผ่านบริการวงเงินพร้อมใช้ “เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า” (Pay Next Extra) บนแอปทรูมันนี่ สำหรับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในครัวเรือน ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามนโยบายภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน โดยยังถือเป็นการนำเสนอสินเชื่อรูปแบบดิจิทัลเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ครั้งแรกในไทย

 

นายกรกฤต เมฆบุญส่งลาภ ผู้อำนวยการฝ่ายความสำเร็จทางธุรกิจของพันธมิตร บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินเพื่อมอบโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน จึงได้ร่วมมือกับ เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า และ อัลเตอร์วิม ในการผสานจุดแข็งของการเป็นผู้ให้บริการ FinTech เพื่อผลักดัน GreenTech และขยายการเข้าถึงโซลูชันพลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการร่วมมือนำเสนอบริการวงเงินพร้อมใช้เพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ ที่สามารถสมัครทางออนไลน์ได้สะดวก รวดเร็ว ผ่านแอปทรูมันนี่ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเราในการนำศักยภาพของการเงินดิจิทัลมาเชื่อมต่อทุกครัวเรือนกับพลังงานสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในแบบที่เป็นมิตรต่อโลก”

แนวโน้มความต้องการพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากรายงานของ Verified Market Research ที่ระบุว่าตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยมีมูลค่าประมาณ 3.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะขยายตัวแตะระดับ 9.46 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ราว 14% ซึ่งสะท้อนถึงความตื่นตัวของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในการมองหาทางเลือกด้านพลังงานที่ยั่งยืนและคุ้มค่ากว่าในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนด้านพลังงานมีแนวโน้มผันผวนอย่างต่อเนื่อง

เพื่อต่อยอดแนวโน้มการเติบโตของพลังงานทางเลือก ความร่วมมือนี้จึงเปิดโอกาสให้คนไทยที่สนใจพลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงระบบโซลาร์เซลล์ได้สะดวกขึ้นผ่านบริการวงเงินพร้อมใช้ เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า (Pay Next Extra) บนแอปทรูมันนี่ ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 500,000 บาท ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 84 เดือน โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.6% ต่อเดือน ทั้งยังมาพร้อมบริการครบวงจรจาก อัลเตอร์วิม ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า การออกแบบและติดตั้งระบบ ไปจนถึงบริการหลังการขาย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 2,800 โครงการทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบ ซึ่งสามารถช่วยลดค่าไฟได้สูงสุดกว่า 70%1

 

นางสาวภควดี กอเจริญรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด กล่าวว่า “อัลเตอร์วิม ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดให้เป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้จริงสำหรับทุกคน การร่วมมือกับ ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ นาโน ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดอุปสรรคเรื่องต้นทุนและขั้นตอนที่ซับซ้อน ผ่านโซลูชันทางการเงินที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ช่วยให้ลูกค้าทั่วไป ตลอดจนกลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ตัดสินใจติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น อัลเตอร์วิมยังมีความเชื่อมั่นว่า เมื่อการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ย่อมมีส่วนสำคัญในการจุดประกายการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นในระดับประเทศ”

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ร่วมพิธีเปิดโครงการติดตั้งและบํารุงรักษาอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในระบบการผลิตไฟฟ้า หรือพลังงานทางเลือก (Solar Rooftop) โดยมีพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานเปิดการใช้งานโครงการติดตั้ง และบำรุงรักษาอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ในระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก พร้อมด้วย พลเรือโท ประทีป ตังติสานนท์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ พลเรือตรีสมชาย จันทโรธร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงาน ร่วมให้เกียรติเป็นสักขีพยานในพิธี ณ ห้องประชุมแพทย์ทางไกล อาคารผู้ป่วยใน ชั้น 13 โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ

 

พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวเปิดโครงการว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) โดยสนับสนุน และพร้อมส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น กองทัพเรือได้ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมายนี้ และให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยถือว่าเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านการบริหารจัดการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเลือกใช้พลังงานสะอาด พลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ดำเนินงานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นหน่วยงานที่มีการปฏิบัติและบริหารงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่ 1 ของกองทัพเรือ คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงาน โดยเน้นกลยุทธ์หลัก คือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน

 

อย่างไรก็ตามโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ถือเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นสูงของกองทัพเรือ ซึ่งมีภารกิจหลักในการให้บริการตรวจรักษาด้านการแพทย์แก่กำลังพล ครอบครัวและประชาชนทั่วไป ตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ด้วยบทบาทดังกล่าวโรงพยาบาลจึงมีความจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับภารกิจด้านการแพทย์ การดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต การผ่าตัด ตลอดจนระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาล

 

นอกเหนือจากความตระหนักในต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นแล้ว โรงพยาบาลยังให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านพลังงาน การลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวสู่การเป็น “โรงพยาบาลสีเขียว” (Green Hospital) อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมของกองทัพเรือภายใต้แนวคิด “Green Navy” และสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593)

ด้านผู้ว่าการ MEA กล่าวเสริมว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐด้านพลังงานหมุนเวียน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MEA ได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนตามนโยบายลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐ มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ มีเป้าหมายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรี กำหนดให้หน่วยงานราชการลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ 20 จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ในครั้งนี้ โดยบทบาทของ MEA ครอบคลุมการสำรวจ ออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษา มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงการมอนิเตอร์ปริมาณพลังงานจากแสงอาทิตย์ และระบบจำหน่ายของ MEA ผ่านระบบออนไลน์ แบบ Realtime ทั้งหมดนี้ นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญ โดย MEA พร้อมที่จะต่อยอด และขยายผลความร่วมมือในโอกาสต่อไป

 

โดยโครงการนี้ดำเนินการติดตั้งระบบ Solar Rooftop ของอาคารผู้ป่วยในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ รวมกำลังการผลิตสูงสุด 1,780.64 กิโลวัตต์ คาดการณ์ผลประหยัดเฉลี่ย 4.7 ล้านบาทต่อปี ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศได้เฉลี่ย 1,035.61 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นสักประมาณ 58,841 ต้น ปัจจุบัน MEA ดำเนินการติดตั้งระบบเสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา และมีความพร้อมในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือแล้ว การจัดพิธีเปิดโครงการในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ร่วมมือกันและมีเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาพลังงานสะอาด มุ่งเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการบริหารจัดการพลังงานสะอาดของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

 

ทั้งนี้ ผู้สนใจจะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยของ MEA สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้า โทร. 0 2878 5385, 0 2878 5432, 0 2878 5433 และ 0 2878 5434 ระหว่างเวลา 07.30 - 15.30 น. ในวันเวลาทำการ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้แก่ Facebook: การไฟฟ้านครหลวง MEA, Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่เขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ทาง KEN by MEA ขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านปลอดภัย และขอให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างราบรื่น

“บางกอกเคเบิ้ล” จับมือ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง” เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้าน ดูแลพื้นที่ป่า 6,000 ไร่ ป้องกันป่าเสื่อมโทรม-เพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน หวังลดคาร์บอนมากกว่า 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมมอบเงินพิเศษเพิ่มอีก 1 ล้าน ตะลุยอีก 4 โครงการย่อย ติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงเรียน-จัดนิทรรศการวิทยาศาสตร์-พัฒนาศูนย์เด็กใฝ่ดี-รับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน ตอกย้ำแนวคิดเซฟคน-เซฟเมือง-เซฟสิ่งแวดล้อม

นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมสนับสนุนงบประมาณกว่า 17 ล้านบาท สำหรับการดูแลพื้นที่ป่ากว่า 6,000 ไร่ เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ลดปัญหาการเกิดไฟป่า และเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) บรรเทาปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

“เราเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ถือเป็นตัวกลางที่ช่วยเชื่อมเราให้เข้าถึงชุมชนที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่า เป็นผู้ดูแลป่า เชื่อมให้เราสามารถร่วมสนับสนุนบุคลากรที่มีส่วนสำคัญตั้งแต่รากฐานในการดูแล ป้องกัน และบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เรามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีผืนป่าที่ได้รับการดูแลอย่างยั่งยืน มีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนต่อไป” นายพงศภัค กล่าว

สำหรับโครงการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และภาคีภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรับมือกับภาวะโลกร้อนหรือโลกรวน รวมทั้งไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการเผาไหม้เครื่องจักร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ และฝุ่นควันจากไฟป่า ปัจจุบัน มีพื้นที่ป่าภายใต้ความดูแลของโครงการครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด รวม 147,037 ไร่ 120 ชุมชน โดย บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ถือเป็นสมาชิกรายล่าสุดภายใต้ความร่วมมือนี้ และคาดว่าจะมีส่วนช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในช่วง 3 ปี

 

นายพงศภัค กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการสนับสนุนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯภายใต้โครงการดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้บริจาคเงินเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาทให้แก่มูลนิธิ เพื่อดำเนินงานในอีก 4 โครงการย่อย ได้แก่ 1.โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับโรงเรียนบ้านขาแหย่งพัฒนา จ.เชียงราย เพื่อช่วยส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานสะอาดในพื้นที่ชนบท 2.โครงการ Science Fair ให้เยาวชนดอยตุงได้เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการเติบโตสู่อนาคต 3.โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงราย สนับสนุน “ศูนย์เด็กใฝ่ดี” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กและเยาวชน และ 4.โครงการสนับสนุนการรับรองปริมาณ Carbon Credit จากป่าชุมชน เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

บางกอกเคเบิ้ล เป็นองค์กรของคนสายวิทย์ พนักงานจำนวนมากของเราเป็นวิศวกร เป็นนักเคมี เป็นช่าง และวันนี้เราไม่ได้ทำแค่สายไฟฟ้า แต่เราพยายามขับเคลื่อนทิศทางองค์กรไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์เซลล์ EV Charger เราจึงอยากเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด การพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างยั่งยืน ผ่านการนำร่องสนับสนุนใน 4 โครงการนี้” นายพงศภัค กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งหน้าขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด เซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯและองค์กรอื่นๆ ในโครงการที่มีส่วนสำคัญในการเซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมในอนาคต

สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว

พร้อมเปิดตัวสมาร์ทชาร์จเจอร์ตอบโจทย์ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click