ณุศาศิริ” เดินหน้าฟ้องอดีตกรรมการและผู้บริหารเพิ่มเติม หลังดำเนินการฟ้องไปแล้ว 3 คดี ทั้งทางแพ่งและอาญา โดยเป็นคดีหมายเลข อ1747/2567, พ1882/2567 และ พ1775/2567 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้บริหารในหลายข้อหา ทางบริษัทมั่นใจว่าการกล่าวโทษจาก ก.ล.ต. จะช่วยเร่งกระบวนการเรียกคืนทรัพย์สินของบริษัทได้เร็วขึ้น และยืนยันว่ากระบวนการเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ บริษัทติดตามและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ย้ำว่าธุรกิจยังแข็งแกร่ง ฐานการเงินมั่นคง มีสภาพคล่องเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในอนาคต
นายณัฐพศิน เชฏฐ์อุดมลาภ กรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เปิดเผยว่าตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกข่าวฉบับที่ 198/2567 และกล่าวโทษกรรมการ อดีตกรรมการ และผู้บริหารของ NUSA ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในกรณีธุรกรรมที่เข้าลงทุนซื้อโรงแรมในต่างประเทศในราคาที่ไม่สมเหตุสมผล รวมถึงการขายห้องชุดของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน การผ่องถ่ายเงินจากบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัว และการแสดงข้อมูลเท็จต่อเจ้าหน้าที่
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับกรรมการและอดีตกรรมการของบริษัททุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายคืนให้แก่บริษัท โดยทางทนายความกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอย่างเป็นทางการ
ทางบริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าบริษัทมีแผนธุรกิจที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เพื่อสร้างยอดขาย สร้างรายได้ และเดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนในอนาคต พร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
นางสาวเกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมาส่วนแบ่งการตลาดของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบ Centralize Exchange ของ Bitget อยู่ในอันดับสูงสุดที่อัตราเติบโต 38.4% จากการเปิดเผยของ CCData ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางที่รวบรวมข้อมูลของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด โดยผู้เล่นรายอื่นอย่าง Crypto.com และ Bybit มีอัตราการเติบโตที่ 24.6% และ 22.2% ตามลำดับ ส่วนผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Coinbase, OKX และ KuCoin มีการลดลงเมื่อเทียบกับ CEX
"การเติบโตของ Bitget มาจากชุมชนผู้สนับสนุนและผู้ใช้งานที่มั่นใจในความเข้มแข็งของแพลตฟอร์มและความมุ่งมั่นในการให้บริการผู้ใช้ของเรา การวิเคราะห์ภายในล่าสุดของเรายังบ่งบอกถึงอัตราการเติบโตที่เร็วขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่คนทั่วไปเริ่มเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้น" นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว
CCData ยังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่าหลังจากที่ ก.ล.ต.สหรัฐฯได้อนุมัติกองทุน ETF ของ Bitcoin และ Ethereum ในครึ่งปีแรก ทำให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นเห็นได้จากอัตราการเปิดสถานะของตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 30.5% รวมถึงการซื้อขายในตลาด Spot และอัตราการระดมทุนที่มีทิศทางเชิงบวกเนื่องจากเทรดเดอร์มองหาโอกาสในการทำกำไรจากการอนุมัติ Ethereum Spot ETF อย่างกะทันหันในสหรัฐฯ
โดย Bitget มีการเติบโตสูงกว่าการเติบโตของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดซื้อขายอนุพันธ์ทั้งหมด โดยมีการเพิ่มขึ้นของการเปิดสถานะตราสารอนุพันธ์ 39.2% ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่อื่น เช่น Binance และ OKX มีการเพิ่มขึ้น 33.2% และ 22.1% ตามลำดับ
นอกจากนี้ตามข้อมูลของ Similarweb แพลตฟอร์ม Bitget มีอัตราการเข้าชมเพิ่มขึ้น 50% โดยตลาดหลักมาจากภูมิภาค CIS (กลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต) ตามด้วยตลาดลาตินอเมริกาและเอเชียใต้
รายงานความโปร่งใสไตรมาสที่ 2/2567 ของ Bitget ยังได้เปิดเผยทุนสำรองของ Bitget อย่างโปร่งใสแสดงให้เห็นว่าในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา จำนวนการถือครองของผู้ใช้ใน BTC, USDT, ETH เพิ่มขึ้น 73%, 80% และ 153% ตามลำดับ ซึ่งบ่งชี้ถึงเงินทุนไหลเข้าเกือบ 700 ล้านดอลลาร์
ตามข้อมูลบน DeFiLama ในเดือนมิถุนายน Bitget บันทึกเงินทุนไหลเข้าสูงสุดที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์ แซงหน้าการไหลเข้าของ Binance, OKX, Bybit และตลาดซื้อขายรายใหญ่รายอื่น ๆ CCData ไม่ใช่ผู้ให้บริการข้อมูลรายเดียวที่เน้นย้ำถึงการเติบโตและศักยภาพของ Bitget เมื่อเร็ว ๆ นี้ Forbes ได้จัดอันดับโทเค็น Bitget (BGB) เป็นหนึ่งใน 10 โทเค็นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในปี 2024 โดยเพิ่มขึ้น 100% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024
“ผลงานที่เติบโตขึ้นนี้มาจากความพยายามของเราที่จะให้บริการกับลูกค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลกรวมถึงมาตราการทำงานที่ได้มาตราฐานเพื่อที่จะเติบโตไปพร้อมกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปีนี้มีแนวโน้มเชิงบวก” นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนการยื่นไฟลิ่งให้ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ต่อ ก.ล.ต. เตรียมเปิดขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.75 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ วัตถุประสงค์เตรียมขยายกิจการและลงทุนในโครงการใหม่ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน คาดกำหนดวันจองซื้อ 11-12 และ 15 กรกฎาคม 2567 และคาดออกขายหุ้นกู้ 16 กรกฎาคม 2567
นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งมากเป็นอันดับ 1 ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งที่ 1/2567 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 6.75 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้
สำหรับวัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้มาลงทุนขยายกิจการในโครงการพลังงานลม และ พลังงานแสงอาทิตย์ อีกทั้งเตรียมดำเนินการพัฒนาโครงการใหม่ที่มีศักยภาพตามแผนการดำเนินงาน รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ
“ปัจจุบันบริษัทมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งกระแสไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 717 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) และจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วทุกโครงการ ล่าสุดบริษัทมีโครงการใหม่ ที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อยู่ระหว่างรอลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) กับกฟผ. 2 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าพลังงานลมกำลังการผลิต 89.7 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในอีก 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตโครงการละ 89.7 เมกะวัตต์ ซึ่งผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นจากกกพ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนงานพัฒนาโครงการพลังงานไฟฟ้าในต่างประเทศ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการกับพันธมิตรท้องถิ่นใน 3 ประเทศที่ได้สำรวจตลาดแล้ว คือ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และเวียดนาม รวมถึงศึกษาการพัฒนาโครงการในประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพ จึงต้องเตรียมเงินทุนรองรับการขยายกิจการ และสร้างการเติบโตของรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่จำนวน 15,000 ล้านบาท โดยมีความสามารถการทำกำไรอยู่ในระดับ 40-50% ทุกปี จากล่าสุดปี 2566 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 11,384 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5,779 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 52.42%
ขณะที่ นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนการยื่นไฟลิ่งและหนึ่งในผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ กล่าวว่า บริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเสนอขายหุ้นกู้บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ต่อ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุมัติจาก ก.ล.ต. โดยคาดว่าจะกำหนดวันจองซื้อในช่วงระหว่างวันที่ 11-12 และ 15 กรกฎาคม 2567 และ คาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2567
สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ WEH ในครั้งนี้ มีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ร่วม จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยมี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ และ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
ก.ล.ต. นับหนึ่งคำขอ เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ “PCE” ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) กลุ่มธุรกิจหลัก คือ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 750 ล้านหุ้น ระดมทุนเดินหน้าเข้า SET ขึ้นแท่นผู้นำด้านธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนครบวงจร
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกการเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ของ PCE เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจน้ำมันปาล์มมากกว่า 40 ปี ทำให้ PCE ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี และด้วยวิสัยทัศน์ของ PCE ที่มุ่งมั่นและต้องการขยายธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนให้ครบวงจร เพื่อรองรับการเติบในอนาคต จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจและอุตสาหกรรม และสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน
นายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน PCE มีทุนจดทะเบียน 2,750 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 2,000 ล้านบาท โดยเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 750 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท ซึ่งคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) หมวดธุรกิจการเกษตร (AGRI)
นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับ PCE ในการต่อยอดธุรกิจพร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรในอนาคต
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุน บริษัทจะนำไปลงทุนในกิจการอื่นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ของบริษัท เช่น โรงสกัดน้ำมันปาล์ม รวมถึงลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และควบคุมต้นทุน อีกทั้งเพื่อต่อยอดหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ส่วนที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ
PCE ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) โดยแบ่งได้เป็น 1) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค ซึ่งรวมถึงการซื้อน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาจำหน่ายต่อให้กับลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 2) กลุ่มธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ 3) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ และ 4) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ
“บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นแบบครบวงจร มีมาตรฐานด้านคุณภาพและบริการเป็นอันดับหนึ่งของประเทศและก้าวสู่ระดับสากล PCE มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งส่งมอบบริการและสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และยกระดับการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม” นายประกิตกล่าวเพิ่มเติม
ปัจจุบันบริษัทย่อยภายในกลุ่ม PCE ประกอบด้วย
· บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค ภายใต้ตราสินค้า “รินทิพย์”
· บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม โดยจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
· บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ มีพื้นให้บริการกว่า 50,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมันจำนวน 58 แทงค์ที่สามารถรองรับปริมาณการจัดเก็บได้ถึง 240,000 ตัน โดยมีท่าเทียบเรือทั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดฉะเชิงเทรา (อ.บางปะกง)
· บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 150 คัน เพื่อขนส่งน้ำมันปาล์ม รวมถึงสินค้าแห้งและอื่นๆ
· บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีขนาดเรือ 1,800 – 3,100 ตัน ซึ่งสามารถขนส่งได้ทั้งของแห้งและของเหลว รวม 13 ลำ
ก.ล.ต. นับหนึ่งคำขอ เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ “PCE” ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) กลุ่มธุรกิจหลัก คือ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 750 ล้านหุ้น ระดมทุนเดินหน้าเข้า SET ขึ้นแท่นผู้นำด้านธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนครบวงจร
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกการเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ของ PCE เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจน้ำมันปาล์มมากกว่า 40 ปี ทำให้ PCE ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี และด้วยวิสัยทัศน์ของ PCE ที่มุ่งมั่นและต้องการขยายธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนให้ครบวงจร เพื่อรองรับการเติบในอนาคต จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจและอุตสาหกรรม และสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน
นายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน PCE มีทุนจดทะเบียน 2,750 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 2,000 ล้านบาท โดยเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 750 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท ซึ่งคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) หมวดธุรกิจการเกษตร (AGRI)
นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับ PCE ในการต่อยอดธุรกิจพร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรในอนาคต
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุน บริษัทจะนำไปลงทุนในกิจการอื่นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ของบริษัท เช่น โรงสกัดน้ำมันปาล์ม รวมถึงลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และควบคุมต้นทุน อีกทั้งเพื่อต่อยอดหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ส่วนที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ
PCE ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) โดยแบ่งได้เป็น 1) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค ซึ่งรวมถึงการซื้อน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาจำหน่ายต่อให้กับลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 2) กลุ่มธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ 3) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ และ 4) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ
“บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นแบบครบวงจร มีมาตรฐานด้านคุณภาพและบริการเป็นอันดับหนึ่งของประเทศและก้าวสู่ระดับสากล PCE มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งส่งมอบบริการและสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และยกระดับการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม” นายประกิตกล่าวเพิ่มเติม
ปัจจุบันบริษัทย่อยภายในกลุ่ม PCE ประกอบด้วย
· บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค ภายใต้ตราสินค้า “รินทิพย์”
· บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม โดยจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
· บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ มีพื้นให้บริการกว่า 50,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมันจำนวน 58 แทงค์ที่สามารถรองรับปริมาณการจัดเก็บได้ถึง 240,000 ตัน โดยมีท่าเทียบเรือทั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดฉะเชิงเทรา (อ.บางปะกง)
· บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 150 คัน เพื่อขนส่งน้ำมันปาล์ม รวมถึงสินค้าแห้งและอื่นๆ
· บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีขนาดเรือ 1,800 – 3,100 ตัน ซึ่งสามารถขนส่งได้ทั้งของแห้งและของเหลว รวม 13 ลำ