November 24, 2024

ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH by Gulf Binance) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด บริษัทภายในเครือของไบแนนซ์ แพลตฟอร์มที่มีปริมาณการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด พาส่องเทรนด์โลกสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ในหัวข้อ ‘คว้าโอกาสในโลกบิทคอยน์ ไปทางไหน’ ในงาน The Secret Sauce Summit 2024 มุ่งเจาะลึก 3 สัญญาณการเติบโตของบิทคอยน์ ทั้งในกลุ่มนักลงทุนระดับย่อยและนักลงทุนสถาบัน พร้อมเผยเทคนิคการเลือกแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนที่มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

3 สัญญาณการเติบโตของบิทคอยน์

1. การยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล

เทรนด์การลงทุนในยุคปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน จากเดิมที่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ กระเป๋า หรือนาฬิกา แต่ตอนนี้ผู้คนทั่วโลกหันมานิยมลงทุนใน ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ โดยเฉพาะ บิทคอยน์ มากยิ่งขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านมูลค่าตลาดของบิทคอยน์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนแตะระดับสูงสุด

(All Time High - ATH) ที่ 73,750 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบิทคอยน์ เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดติด 10 อันดับแรกของโลกอีกด้วย

ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2555 สมัยบารัก โอบามา ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในขณะนั้น ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าบิทคอยน์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกๆ 4 ปี ช่วงเวลาเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งสำหรับการเลือกตั้งในปีนี้เอง ยังคงต้องจับตาดูอีกครั้งว่าแนวโน้มมูลค่าของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไรต่อไป

กราฟแสดงมูลค่าของบิทคอยน์ (ดอลลาร์สหรัฐ) ระหว่างปี 2554 ถึง กลางไตรมาสที่ 2 ปี 2567 โดย ChartsBTC

2. สินทรัพย์ดิจิทัลกับการใช้งานในชีวิตจริง

 

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด แสดงเส้นทางการใช้งานบิทคอยน์ในชีวิตจริงนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา

บิทคอยน์ ถูกใช้งานจริงครั้งแรกในวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 เพื่อใช้ซื้อพิซซ่า ซึ่งทำให้ทุกวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปี ได้ถูกเรียกว่าเป็น ‘Bitcoin Pizza Day’ เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าเราสามารถนำบิทคอยน์มาซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งหลังจากนั้นปรากฎการณ์การยอมรับบิทคอยน์ได้มีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดตัว Bitcoin ATM เครื่องแรกต่อสาธารณะ ในปี 2556 ณ ร้านกาแฟในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา รวมถึงการที่หลากหลายแบรนด์ชั้นนำยอมรับให้ซื้อสินค้าด้วยบิทคอยน์ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Dell และ PayPal รวมถึงแบรนด์หรู อย่าง Hublot เป็นต้น นอกจากนี้ ในปี 2564 เอลซัลวาดอร์ ยังถือเป็นประเทศแรกที่ยอมรับบิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถนำมาชำระหนี้ (Legal Tender) และใช้แทนเงินสดได้ถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย

ล่าสุดในปี 2567 บิทคอยน์ยังคงเดินหน้าสู่การยอมรับในวงกว้างมากขึ้น เห็นได้ชัดจากที่หลายประเทศ เริ่มเล็งเห็นบิทคอยน์เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจและสังคมของชาติ ยกตัวอย่างเช่น

· ฮ่องกง เป็นประเทศที่ทางรัฐบาลตั้งเป้าผลักดันให้เป็นประเทศ ‘ศูนย์กลางคริปโตเคอร์เรนซีแห่งเอเชีย’ เชื่อมต่อระหว่างโลกเกมเข้ากับบิทคอยน์ พร้อมชูให้เป็นหนึ่งในนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

· รัสเซีย ประกาศทดลองใช้บิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถนำมาชำระหนี้ และใช้แทนเงินสดได้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อประยุกต์ใช้ในระบบการเงินของประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

· สหภาพยุโรป เริ่มยอมรับการใช้บิทคอยน์ภายในประเทศสมาชิกทั้ง 28 ประเทศ โดยมีผลบังคับใช้กฎระเบียบ MiCA (Markets in Crypto-Assets Regulation) เพื่อรับประกันเสถียรภาพทางการเงินในกลุ่มประเทศสมาชิกทั้งในแง่ของการเป็นเจ้าของ การซื้อขาย และการนำเสนอบริการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล

3. การมาถึงของ Spot Bitcoin ETFs สู่การยอมรับของนักลงทุนสถาบัน

 

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด เผยให้เห็นรายชื่อกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่สนใจเข้ามาสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

นับตั้งแต่การเปิดตัว Spot Bitcoin ETFs เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน Spot Bitcoin ETFs ได้มีมูลค่าการทำธุรกรรมมากถึง 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลให้ตอนนี้ การลงทุนในบิทคอยน์ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายย่อยเท่านั้น แต่ได้มีผู้เล่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันสนใจเข้ามาสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก อาทิ Morgan Stanley JPMorgan Chase & Co CitiBank Goldman Sachs และ Wells Fargo เป็นต้น

เริ่มต้นลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล แพลตฟอร์มแบบไหน ใช่ที่สุด

ในประเทศไทย มีแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลมากมายให้เลือกลงทุน ดังนั้น สิ่งที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจว่าจะเลือกลงทุนในแพลตฟอร์มใด ผู้ลงทุนจึงควรต้องศึกษารายละเอียดและฟีเจอร์ที่ให้บริการอย่างรอบคอบ แพลตฟอร์ม BINANCE TH by Gulf Binance ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับในประเทศ ให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และรองรับการใช้งานให้แก่ผู้ใช้งานคนไทยโดยเฉพาะ โดยผู้ใช้สามารถมีอิสระในการซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยการดำเนินงานที่รวดเร็ว สะดวก ค่าธรรมเนียมต่ำ อีกทั้ง ผู้เริ่มต้นลงทุนด้านสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหม่ยังสามารถทำความเข้าใจ และใช้งานแพลตฟอร์มได้โดยง่าย ที่สำคัญแพลตฟอร์ม BINANCE TH by Gulf Binance ยังรองรับการลงทุนของคนทุกกลุ่มทั้งนักลงทุนนิติบุคคล และนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแบบครบวงจร สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งหวังส่งเสริมความเท่าเทียมทางการเงินให้แก่ทุกคน

คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ส่งผลบวกต่อทุกสินทรัพย์ในระยะยาว มองเดือนกันยายนเป็นจังหวะทยอยสะสม “หุ้นเทคโนโลยี – หุ้นไทย – บิทคอยน์” โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเอไอที่ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเติบโตแทบทุกราย ส่วนบิทคอยน์มีสัญญาณบวกจากสถิติเดิม ปีที่เกิด Halving ราคาจะสิ้นสุดการพักฐานในเดือนกันยายนก่อนจะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกสามเดือนติดต่อกัน ขณะที่หุ้นไทยเริ่มมีปัจจัยบวกหนุน

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาในเดือนกันยายนนี้ คือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 -19 กันยายนนี้ โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้วที่การประชุมแจ็คสันโฮลว่านโยบายการเงินมีโอกาสที่จะเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการลดดอกเบี้ยถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอลง

ทั้งนี้ การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm Payroll) สัปดาห์ที่ผ่านมาออกมาต่ำกว่าที่คาดค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดมีความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจนต้องลดดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% ในการประชุมเดือนนี้ทันที จึงเกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ

อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดได้ซึมซับกับข่าวและความน่าจะเป็นที่จะใช้ยาแรงด้วยการลดดอกเบี้ย 0.5% ไปแล้ว ถ้าหากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI Index ในสัปดาห์นี้ออกมาต่ำกว่าที่คาดมากก็ไม่น่าจะสร้างความตกใจให้กับตลาดได้มากกว่านี้

“ในระยะกลาง การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มที่จะลดดอกเบี้ยลงจะเป็นผลดีต่อตลาดการลงทุนทั้งหมด แต่ในระยะสั้นอาจยังมีความผันผวน ถึงอย่างไรการที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์การลงทุนอื่นปรับฐานลงมาในช่วงเดือนกันยายน ถือเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสม เพราะจากสถิติทุกปี เดือนกันยายนตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด แต่หลังจากนั้นในไตรมาสที่สี่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี”

โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq หากมีการปรับฐานลงมา มองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง 7 ตัว รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไออื่น ๆ เพราะภาพรวมของการประกาศผลประกอบการของหุ้นที่เกี่ยวข้อง

กับเอไอ ยังคงทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดทั้งหมด รวมทั้งยังมองการเติบโตต่อในไตรมาสต่อไป แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาเป็นไปตามภาวะตลาด

อาทิ หุ้น Nvidia ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 122% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสที่ผ่านมา กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า และรายได้จากธุรกิจศูนย์ข้อมูลของ Nvidia ซึ่งรวมถึงโปรเซสเซอร์ AI เพิ่มขึ้น 154% จากปีที่ผ่านมา เป็นแรงหนุนสำคัญให้กับหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ

ขณะที่หุ้น Tesla นักลงทุนกำลังมองข้ามยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตลดลง และให้ความสำคัญกับการเปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ Robotaxi หรือ แท็กซี่แบบไร้คนขับ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และทำกำไรให้กับ Tesla ในยุคต่อไป

ด้านสินทรัพย์อื่น ๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนกันยายนสามารถที่จะทยอยเข้าลงทุนได้ เช่น ทองคำ และบิทคอยน์ จากสถิติที่ผ่านมา ปีที่เกิดการ Halving และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ราคาบิทคอยน์จะจบการปรับฐานในเดือนกันยายนและจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอดสามดือนสุดท้ายของปี และยังมีโอกาสที่จะเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 จึงสามารถทยอยเข้าสะสมได้ โดยมีแนวรับไม่ต่ำกว่า 49,000 ดอลลาร์

ทางด้านตลาดหุ้นไทย เริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามาไม่ว่าจะเป็นการได้รัฐบาลใหม่ การตั้งกองทุนวายุภักษ์ จนทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในแง่ทางเทคนิคมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,500 จุด ในปีนี้ เพราะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในรูปแบบของการเก็งกำไรไปจนถึงสิ้นปีนี้ได้ แต่หลังจากนั้นต้องจับตาการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ว่าจะทำให้จีดีพีสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง หรือไม่

“คาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดการลงทุนมีโมเมนตัมที่ดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสสูงที่จะเริ่มต้นลดดอกเบี้ย หลังจากนั้นต้องมาติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะมีผลต่อสินทรัพย์ใดต่อไป”

นางสาวเกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมาส่วนแบ่งการตลาดของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบ Centralize Exchange ของ Bitget อยู่ในอันดับสูงสุดที่อัตราเติบโต 38.4% จากการเปิดเผยของ CCData ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางที่รวบรวมข้อมูลของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด โดยผู้เล่นรายอื่นอย่าง Crypto.com และ Bybit มีอัตราการเติบโตที่ 24.6% และ 22.2% ตามลำดับ ส่วนผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Coinbase, OKX และ KuCoin มีการลดลงเมื่อเทียบกับ CEX  

"การเติบโตของ Bitget มาจากชุมชนผู้สนับสนุนและผู้ใช้งานที่มั่นใจในความเข้มแข็งของแพลตฟอร์มและความมุ่งมั่นในการให้บริการผู้ใช้ของเรา การวิเคราะห์ภายในล่าสุดของเรายังบ่งบอกถึงอัตราการเติบโตที่เร็วขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่คนทั่วไปเริ่มเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้น" นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว 

CCData ยังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่าหลังจากที่ ก.ล.ต.สหรัฐฯได้อนุมัติกองทุน ETF ของ Bitcoin และ Ethereum ในครึ่งปีแรก ทำให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นเห็นได้จากอัตราการเปิดสถานะของตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 30.5% รวมถึงการซื้อขายในตลาด Spot และอัตราการระดมทุนที่มีทิศทางเชิงบวกเนื่องจากเทรดเดอร์มองหาโอกาสในการทำกำไรจากการอนุมัติ Ethereum Spot ETF อย่างกะทันหันในสหรัฐฯ 

โดย Bitget มีการเติบโตสูงกว่าการเติบโตของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดซื้อขายอนุพันธ์ทั้งหมด โดยมีการเพิ่มขึ้นของการเปิดสถานะตราสารอนุพันธ์  39.2% ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่อื่น เช่น Binance และ OKX มีการเพิ่มขึ้น 33.2% และ 22.1% ตามลำดับ 

นอกจากนี้ตามข้อมูลของ Similarweb แพลตฟอร์ม Bitget มีอัตราการเข้าชมเพิ่มขึ้น 50% โดยตลาดหลักมาจากภูมิภาค CIS (กลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต) ตามด้วยตลาดลาตินอเมริกาและเอเชียใต้ 

รายงานความโปร่งใสไตรมาสที่ 2/2567 ของ Bitget ยังได้เปิดเผยทุนสำรองของ Bitget อย่างโปร่งใสแสดงให้เห็นว่าในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา จำนวนการถือครองของผู้ใช้ใน BTC, USDT, ETH เพิ่มขึ้น 73%, 80% และ 153% ตามลำดับ ซึ่งบ่งชี้ถึงเงินทุนไหลเข้าเกือบ 700 ล้านดอลลาร์  

ตามข้อมูลบน DeFiLama ในเดือนมิถุนายน Bitget บันทึกเงินทุนไหลเข้าสูงสุดที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์ แซงหน้าการไหลเข้าของ Binance, OKX, Bybit และตลาดซื้อขายรายใหญ่รายอื่น ๆ  CCData ไม่ใช่ผู้ให้บริการข้อมูลรายเดียวที่เน้นย้ำถึงการเติบโตและศักยภาพของ Bitget เมื่อเร็ว ๆ นี้ Forbes ได้จัดอันดับโทเค็น Bitget (BGB) เป็นหนึ่งใน 10 โทเค็นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในปี 2024 โดยเพิ่มขึ้น 100% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024  

“ผลงานที่เติบโตขึ้นนี้มาจากความพยายามของเราที่จะให้บริการกับลูกค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลกรวมถึงมาตราการทำงานที่ได้มาตราฐานเพื่อที่จะเติบโตไปพร้อมกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปีนี้มีแนวโน้มเชิงบวก”  นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว 

เปิดกลยุทธ์การลงทุนเดือนเมษายน จับทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ ที่อาจมีย่อตัวลงหลังไตรมาสแรกราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก นักลงทุนรุ่นใหม่มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว เพราะแนวโน้มยังเป็นขาขึ้น แนะรอจังหวะสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ส่วนบิทคอยน์มีโอกาสดีดตัวขึ้นรับ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นในเดือนนี้ หนุนราคาเหรียญทางเลือก (Altcoin) ปรับตัวขึ้นตาม

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ ให้มุมมองว่า เดือนเมษายนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกามีโอกาสจะเข้าสู่รอบปรับฐาน หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทุกดัชนีมีการปรับตัวขึ้นได้ในระดับเกือบเลขสองหลักและสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ทั้งนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของดัชนีจากการที่หุ้นขนาดใหญ่บางตัว เช่น APPLE และ TESLA ถูกเทขาย เพราะมีความกังวลเรื่องผลประกอบการ และตลาดเริ่มกลับมากังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่ลดดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งในปีนี้ ตามที่ประกาศไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจยังเติบโตต่อเนื่อง และเงินเฟ้อยังไม่ลงมาถึงเป้าหมายระดับ 2% ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง

สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และมีกำไรแล้วระดับหนึ่งสามารถที่จะขายทำกำไร และรอให้ราคาปรับฐานลงก่อนเข้าไปลงทุนใหม่อีกครั้งได้ เพราะภาพใหญ่ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้น รวมถึงผลประกอบการของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ยังได้กระแสของเอไอหนุน แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างที่จะพรีเมียมแล้ว การที่ราคาปรับฐานลงในระดับ 10% ถือเป็นจังหวะดีที่จะเข้าลงทุน

ขณะที่ “ทองคำ” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่นในเดือนที่ผ่านมาจนราคาสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่า น่าจะมีเหตุผลมาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ประกอบกับมีแรงซื้อจากประเทศจีนที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่การที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็วและใกล้จะถึงเป้าหมายแนวต้านแล้วทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น

“แนวโน้มหลักของทองคำยังคงเป็นขาขึ้น และมีโอกาสจะแตะแนวต้านระยะยาวที่ระดับ 2,800 ดอลลาร์ ได้ แต่ระยะสั้นในระดับราคาที่เริ่มจะชนแนวต้านแรกที่ 2,360 ดอลลาร์ มองเป็นโอกาสขายทำกำไรระยะกลาง สำหรับผู้ที่ถือมาตั้งแต่ต้นทางและรอจังหวะที่จะเข้าไปซื้อใหม่อีกครั้งที่แนวรับ 2,150 ดอลลาร์ และ 2,076 ดอลลาร์”

ทางด้าน “บิทคอยน์” ที่เคยร้อนแรงในช่วงไตรมาสแรกเริ่มที่จะมีการพักฐาน และเคลื่อนไหวแบบออกข้างมาได้ระยะหนึ่ง ในเชิงพื้นฐานยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อโดยมีเหตุการณ์ที่มาช่วยหนุนนั่น คือการเกิด Bitcoin Halving ในช่วงวันที่ 20 เมษายนนี้ แม้ว่าราคาบิทคอยน์จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ก่อนที่จะมี Halving ซึ่งแปลกไปจากรอบขาขึ้นครั้งก่อน ๆ แต่การที่มี Bitcoin Spot ETF จะเป็นตัวเร่งทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น

“ต้นทุนเฉลี่ยของนักลงทุนที่ซื้อบิทคอยน์ผ่าน Spot ETF อยู่แถวราคา 50,000 ดอลลาร์ เทียบกับราคาตลาดปัจจุบันยังถือว่าไม่สูงมากนักที่จะมีแรงเทขายหนัก ๆ เข้ามา ประกอบกับแรงขายบิทคอยน์ใน Grayscale Bitcoin ETF เริ่มลดลง และแรงซื้อผ่านกองทุนของ Blackrock เริ่มกลับเข้ามา จึงเป็นโอกาสที่จะทยอยเข้าสะสมบิทคอยน์ในช่วงที่ราคายังนิ่ง โดยหากสามารถผ่านจุดสูงสุดเดิมที่ 74,000 ดอลลาร์ ไปได้ มีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบแนวต้าน 82,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้เป็นอย่างน้อย”

ขณะที่ “อีธีเรียม” ซึ่งเป็นเหรียญใหญ่อันดับสองที่กำลังมีข่าวกำลังถูกพิจารณาจัดตั้งกองทุน Spot Ethereum ETF มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะยังไม่ได้รับการอนุมัติตามที่คาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ถึงอย่างไรพื้นฐานของอีธีเรียมยังคงเติบโตได้ดี และมีโอกาสจะเป็นผู้นำตลาดเหรียญทางเลือก หรือ Altcoin อื่น ๆ ที่จะปรับตัวขึ้นในช่วงหลังจากนี้ ถ้าหากบิทคอยน์เริ่มประคองตัวอยู่ในโซนราคาที่สูงแล้ว โดยระยะสั้นจับตาแนวรับของบิทคอยน์ที่ 60,000 ดอลลาร์ ถ้าสามารถยืนระดับนี้ได้จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้

นายณพวีร์ กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ (10 เม.ย.) จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ถ้าหากออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 3.4% อาจเป็นตัวเร่งกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่เริ่มมีความรุนแรงกลับเข้ามา แต่ภาพรวมไม่ถือว่าจะเกิดปัจจัยลบแรง ๆ ที่ทำให้ตลาดมีความผันผวนมากนัก การย่อตัวลงมาของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล คือโอกาสที่จะเข้าลงทุนได้

โลกการเงินได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ กับการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกได้ทำการอนุมัติ Spot Bitcoin Exchange Traded Funds (ETFs) เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งรายย่อยและนักลงทุนสถาบันได้ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ผ่านช่องทางการลงทุนแบบดั้งเดิม โดยนักลงทุนจะสามารถลงทุน Spot Bitcoin ETFs ได้โดยตรงผ่านสินทรัพย์อ้างอิงในตลาดหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ ด้วยราคาที่โปร่งใส ซึ่งจะแตกต่างจากการเทรด Futures ETFs ที่อาศัยสัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้าของคริปโตเคอร์เรนซี

 

ริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance

ริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance กล่าวว่า “การอนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETFs จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างรากฐานด้านความไว้วางใจในตลาดคริปโตให้แก่ผู้คนในวงกว้าง โดย Spot Bitcoin ETFs ถือเป็นใบเบิกทางที่จะนำพาคนให้เข้าสู่ตลาดคริปโตได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังช่วยดึงดูด

นักลงทุน และเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่านบิทคอยน์โดยตรง รวมถึงช่องทางการลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับกลยุทธ์การลงทุน รูปแบบความเสี่ยง และความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ นับเป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงยุคสมัยแห่งการยอมรับและความชอบธรรมของการใช้งานบิทคอยน์ เช่นเดียวกันกับการขยายพื้นที่ของคริปโตเคอร์เรนซีให้มากยิ่งขึ้น”

ลิสต์ของกองทุน Spot Bitcoin ETFs ที่ได้รับการอนุมัติ

ลิสต์ของกองทุน Spot Bitcoin ETFs ที่ได้รับการอนุมัติในเดือนมกราคม 2024 มีดังต่อไปนี้ ARK 21 Shares Bitcoin ETF (NYSE:ARKB) Bitwise Bitcoin ETF (NYSE:BITB) Blackrock’s iShares Bitcoin Trust (NASDAQ:IBIT) Fidelity Wise Origin Bitcoin Trust (NYSE:FBTC) Franklin Bitcoin ETF (NYSE:EZBC) Grayscale Bitcoin Trust (NYSE:GBTC) Hashdex Bitcoin ETF (NYSEARCA:DEFI) Invesco Galaxy Bitcoin ETF (NYSE:BTCO) Valkyrie Bitcoin Fund (NASDAQ:BRRR) VanEck Bitcoin Trust (NYSE:HODL) และ WisdomTree Bitcoin Fund (NYSE:BTCW)

ข้อได้เปรียบสำคัญของ Spot Bitcoin ETFs คือความสามารถในการขยายการเข้าถึงการลงทุนสู่ผู้คนในวงกว้าง พร้อมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องถือครองบิทคอยน์โดยตรง ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนสถาบันอย่างเช่น ผู้จัดการความมั่งคั่ง (Wealth Managers) และผู้ให้บริการสำหรับลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง (Private Banking) ที่ต้องการก้าวเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ที่มีความกระจายความเสี่ยงเหมาะสม (Passive Investment) ทั้งนี้ จากข้อมูลอ้างอิงของสถาบัน Investment Company ที่ชี้ให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางการเงินของตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ในสินทรัพย์ 401(k) การอนุมัติในครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญานที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในด้านกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่ง และการมีส่วนร่วมของสถาบันที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

Spot Bitcoin ETFs ยังได้มอบโอกาสอันน่าสนใจให้กับนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนและป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์อันน้อยนิดระหว่างบิทคอยน์และสินทรัพย์แบบดั้งเดิม อย่างเช่น หุ้นและพันธบัตร จึงทำให้ Spot Bitcoin ETFs สามารถกระจายความเสี่ยงไปพร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตของเหล่านักลงทุนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การที่นักลงทุนสามารถติดตามราคาบิทคอยน์ได้แบบเรียลไทม์ยังช่วยให้พวกเขาทราบสถานะการลงทุนของตนเองได้อย่างชัดเจนโปร่งใสตลอดช่วงเวลาการซื้อขายส่งผลให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที รวมถึงทยังช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกของตลาด อิทธิพลของสภาพคล่อง การลดความผันผวนของตลาดให้กับเหล่านักลงทุนด้วยเช่นกัน

การที่ ก.ล.ต. อนุมัติให้มีการซื้อขาย Spot Bitcoin ETFs ในตลาดหุ้นอย่าง the New York Stock Exchange (NYSE) และ Nasdaq ถือเป็นการดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่คุ้นเคยกับการดำเนินงานภายใต้ขอบเขตการกำกับดูแลได้เป็นอย่างดี โดยการอนุมัติครั้งนี้ได้ผสานกฎระเบียบของตลาดการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับโลกแห่งนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งช่วยขยายการมีส่วนร่วมของสถาบันไปยังโลกคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมสร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งให้กับตลาด

การขยายตัวของ Spot ETFs ไปยังหลากหลายตลาดการเงินหลักได้ส่งเสริมให้ระบบนิเวศน์ทางการเงินระดับโลกมีความครอบคลุม หลากหลาย และแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากเมื่อภูมิทัศน์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโต การมีส่วนร่วมของสถาบันก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องและความลึกของตลาดสูงขึ้น ราคามีความเสถียรมากขึ้น ความผันผวนลดลง จนสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดให้พร้อมดึงดูดเหล่านักลงทุนให้เกิดขึ้นในระยะยาว

การมาถึงของ Spot Bitcoin ETFs ของสหรัฐฯ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะการลงทุนทางการเงินที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมในคริปโตให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่านักลงทุนสถาบัน ผ่านวิธีการที่พวกเขาคุ้นเคย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การพัฒนา ETFs ของสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นในอนาคต รวมถึง Spot ที่มีศักยภาพและ future-based Etheruem ETFs ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่สถาบันการเงินต้องปรับตัวให้เข้ากับไดนามิกของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้ทันต่อไป

1 มีนาคม 2024

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click