จากการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 หรือ COP28 ตลอดจนการประชุม World Economic Forum 2024 หรือ WEF ที่เพิ่งเกิดขึ้น ตอกย้ำให้เห็นว่าทั่วโลกให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหารือแนวทางในการจัดการปัญหานี้ จากรายงานความคืบหน้าในการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake Synthesis Report) ของสหประชาติที่เผยแพร่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นความจริงอันน่าตกใจว่า นโยบายการบริหารของภาครัฐทั่วโลกในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่เป็นผลดีนัก ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2.6 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ตลอดจนการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงปารีสนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

ท่ามกลางสถานการณ์โลกเดือด แม้นโยบายภาครัฐต่างๆ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลง แต่แท้จริงแล้วการปรับตัวของภาคเอกชนไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การดำเนินธุรกิจที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีควบคู่ไปกับสร้างโลกที่ยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยเม็ดเงินมหาศาล อีกทั้งยังต้องอาศัยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตควบคู่กันไป เช่น การลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานไฟฟ้า และสำหรับนักลงทุนเองนั้นก็จำเป็นต้องวางแผนรับมือกับยุคของการเปลี่ยนผ่านนี้เช่นกัน ด้วยการปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ให้สอดคล้องและทันกับการเปลี่ยนแปลง เพราะธุรกิจที่เคยดีหรือทำกำไรในอดีต อาจจะไม่สามารถทำแบบเดิมได้อีกต่อไป และหากนักลงทุนไม่สามารถปรับตัวได้ทันก็จะพลาดโอกาสในการลงทุนเช่นกัน

ทำความรู้จักแนวคิด Rethink Sustainability

“Rethink Sustainability” คือแนวคิดจากลอมบาร์ด โอเดียร์ Lombard Odier ไพรเวทแบงก์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากสวิสเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2339 ผ่านวิกฤตทางการเงินกว่า 40 ครั้ง  ปัจจุบันมีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (Asset Under Management: AUM) มูลค่ารวมกว่า 345 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลอมบาร์ด โอเดียร์ เน้นกลยุทธ์ในการสร้างผลตอบที่ยั่งยืนแก่ลูกค้าผ่านโซลูชั่นการลงทุน โดยใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต  โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีการประเมินความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเงิน ตลอดจนภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่วิเคราะห์ถึงปัจจัยรอบด้านอย่างครบถ้วน เพื่อมุ่งออกแบบแผนการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนควบคู่กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และโลกในอนาคต

ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนเป็นแนวคิดที่จะส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรมในอนาคต  โดยจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ คือ CLIC® Economy ที่มีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (Circular) ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Lean)  ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (Inclusive) และเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาด (Clean)  ซึ่งนักลงทุนควรที่จะได้เรียนรู้และเข้าใจแนวคิดนี้ เพื่อสร้างโอกาสในการวางแผนการลงทุน พร้อมลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกที่ยั่งยืน

แนวคิดเพื่อความยั่งยืนวิถีใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ถือเป็นความท้าทาย เพราะทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้งานอย่างสิ้นเปลืองจนเกินขอบเขต ทำให้ทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องปรับตัวอย่างจริงจัง เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสในการลดภาวะโลกร้อน เพื่อลดอุณหภูมิโลกให้ไม่เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593 ด้วยความมุ่งมั่นตามข้อตกลงนี้ชี้ให้เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่รูปแบบเศรษฐกิจทั่วโลกควรจะเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจรูปแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน และ CLIC® Economy 

จากการวิจัยที่ผ่านมาของลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน ระบบพลังงาน และภาคการผลิต  จะมีการสร้างแนวทางใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้การกำหนดราคาคาร์บอนจะเป็นปัจจัยหลักในการจัดสรรเงินทุนเพื่อปรับแผนการบริหารให้เหมาะสม รวมถึงการหาแนวทางในการจัดการคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) จะเป็นพันธกิจหลักที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ

ปัจจุบันทั่วโลกต่างปรับตัวตามกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อหาแนวทางลดอุณหภูมิโลก รวมทั้งรัฐบาลทั่วโลกต่างก็เพิ่มการสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นผ่านหลากหลายโครงการ เช่น การออกนโยบาย EU Green Deal, การออกกฎหมายลดเงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงนโยบายการพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนของประเทศจีนที่มุ่งพัฒนาให้เกิดขึ้นจริงใน 5 ปี ข้างหน้า

ด้วยเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ลอมบาร์ด โอเดียร์ คาดการณ์ว่าจะเกิดเม็ดเงินลงทุนมูลค่า 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 1.2 พันล้านล้านบาท) ภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งอุตสาหกรรมที่ปรับตัวได้ทันสอดรับกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมนี้จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนมหาศาลและสร้างผลตอบแทนที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ด้วยแนวคิดที่อ้างอิงได้ตามหลักการวิทยาศาสตร์ และวิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้า  ลอมบาร์ด โอเดียร์ ได้มีการวางแผนการบริหารพอร์ตการลงทุนตามสภาวะเศรษฐกิจ และเน้นกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเป็นสำคัญ เพื่อขานรับแนวคิดเศรษฐกิจใหม่แห่งอนาคต

ส่งผ่านแนวคิดเพื่อความยั่งยืน จากดูไบสู่ดาวอส  

ธรรมชาติ คือหัวใจสำคัญที่สามารถลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ภายในปีพ.ศ. 2573 ได้ถึงหนึ่งในสาม ลอมบาร์ด โอเดียร์ ในฐานะผู้นำในการขับเคลื่อนการสร้างความยั่งยืน ได้จัดบรรยายในหัวข้อ re-NATURE Hub  เพื่อเผยแพร่ทิศทางการลงทุนที่สำคัญ เพื่อตอกย้ำบทบาทของภาคการเงิน ภาคเอกชน และภาครัฐ ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักที่จะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสในอนาคต  โดยสอดรับกับสาระสำคัญในการจัดประชุมสุดยอดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 (COP28) ณ ดูไบ ซึ่งเป็นการประชุมที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนระบบการจัดการอาหาร การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน

 มร. ฮูแบร์ เคลเลอร์  Senior Managing Partner, Lombard Odier  กล่าวว่า “ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยใช้แนวทางการฟื้นฟูธรรมชาติจะสามารถช่วยให้เราก้าวข้ามระบบเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันได้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ไปสู่โลกของ Net Zero ซึ่งเป็นโอกาสการลงทุนที่สำคัญที่สุดของยุคนี้” โดยยังตอกย้ำความสำคัญของแนวคิดด้านความยั่งยืนจากงานประชุม World Economic Forum 2024  ที่เมืองดาวอสเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้นำและผู้บริหารจากทั่วโลกต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ทุกองค์กรต้องปรับการบริหารไปสู่การบริหารบนแนวทางแห่งความยั่งยืนว่า “ธรรมชาติคือสินทรัพย์การลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล (Nature As A New Asset Class) เมื่อพูดถึงการจัดการความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ โลกได้มุ่งความสนใจไปที่การจัดการคาร์บอนมานานกว่า 20 ปี ซึ่งตอนนี้เราทุกคนกำลังหันกลับไปให้ความสำคัญที่ธรรมชาติ จากในอดีตที่ทรัพยากรถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำที่สุดแต่กลับมีมูลค่ามากที่สุดในยุคปัจจุบัน”

คิดใหม่และเริ่มลงมือทำ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในไทย

นอกจากเวทีระดับโลกแล้ว  การหารือแนวทางต่างๆ ภายในประเทศก็มีความสำคัญ เพื่อตอกย้ำความสำคัญของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคต การสร้างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย เพื่อมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไทยไปสู่การสร้างโลกที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง KBank Private Banking ร่วมกับพันธมิตร ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อมั่นในพลังของการลงทุน จึงตอกย้ำบทบาทของไพรเวทแบงก์ ซึ่งเป็นตัวแทนของนักลงทุนที่มีศักยภาพในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจของไทยไปสู่ความยั่งยืนได้ อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้นักลงทุนเองสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตด้วยโอกาสการลงทุนใหม่ๆ

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “นักลงทุนถือเป็นหนึ่งในผู้นำในการขับเคลื่อนโลก และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมผ่านการกำหนดกลยทุธ์การลงทุนที่เหมาะสม ฉะนั้นนักลงทุนจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลในการลงทุนในอนาคต และจะเป็นทางรอดสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้มุ่งไปสู่ยั่งยืนได้”

KBank Private Banking ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน มองว่าแนวคิดการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยด้วยการลงมือทำ

นายจิรวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า “เราเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยเพื่อเปลี่ยนไปสู่สังคมแห่งความยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการจัดงาน “Rethink Sustainability: A Call to Action for Thailand" ขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 โดยร่วมมือกับพันธมิตรรวบรวมผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าระดับโลกและประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและการวางแผนการลงทุนเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในเชิงความคิดเท่านั้น แต่เป็นงานสัมมนาที่ต้องการจุดประกายให้เกิดการลงมือทำเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง”

ท่านที่สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และประเด็นสำคัญในด้านความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อเป็นแนวทางสำหรับปรับใช้กับการบริหารธุรกิจของท่านจากสัมมนาแห่งปี “Rethink Sustainability: A Call to Action for Thailand” อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของงานได้ที่ : https://www.kasikornbank.com/en/News/Pages/rethink-sustainability-forum.aspx 

KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง) แนะผู้ถือครองที่ดินตื่นตัวในการวางแผนจัดการทรัพย์สินที่ดิน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงด้านภาระภาษีที่จะมากยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมสรุป 5 เทรนด์อสังหาริมทรัพย์มาแรงสำหรับเป็นแนวทางให้ผู้ถือครองที่ดินนำที่ดินมาใช้ประโยชน์เพื่อลดภาระภาษี ท่ามกลางกระแสด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากภาครัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตรา

นางกรกช อรรถสกุลชัย Chief Non-Capital Market Solution, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำให้ความต้องการในการซื้อที่ดินเก็บเพื่อส่งต่อเป็นทรัพย์สินให้ลูกหลานมีแนวโน้มลดลง และเกิดความตื่นตัวอย่างมากในการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพย์สินประเภทที่ดินในแต่ละครอบครัว และสำหรับผู้ที่ถือครองที่ดินอยู่แล้วการจัดเก็บภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ปี ยังสร้างความสับสนให้กับผู้ถือครองที่ดินอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ สิ่งที่กระทบต่อการคำนวณภาษีก็คือการเปลี่ยนแปลงของราคาประเมินที่ดินโดยกรมธนารักษ์ซึ่งเป็นฐานที่ใช้ในการคำนวณภาษีที่ดินระหว่างปี 2566 – 2569 จากที่ดินในฐานข้อมูลของ KBank Private Banking พบว่า 50% ของที่ดินราคาประเมินไม่เปลี่ยนแปลง 39% ของที่ดินราคาปรับเพิ่มขึ้น และ 11% ของที่ดินราคาประเมินปรับลดลง ซึ่งราคาประเมินที่ดินที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมากคือที่ดินในบริเวณที่ราคาประเมินฯ กับราคาตลาดมีความแตกต่างกันมาก เช่น ที่ดินในต่างจังหวัดโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว ที่มีการปรับตัวขึ้นสูงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นราคาประเมินที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้อัตราภาษีสูงขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2566 ยังเป็นปีแรกที่มีการปรับอัตราภาษีสำหรับที่ดินที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อีก 0.3%ทำให้ผู้ครองที่ดินต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์แบบองค์รวมแนะนำให้ผู้ถือครองที่ดินพิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดินแทนการปล่อยให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า”

KBank Private Banking จึงได้สรุป 5 เทรนด์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมาแรงเพื่อเป็นแนวทางให้กับนักลงทุนที่ดินหรือผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ในการวางแผนการใช้ประโยชน์จากที่ดิน

1. ตลาดของผู้ซื้อ จากมาตรการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ส่งผลให้มีที่ดินเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ผู้ถือครองที่ดินบางกลุ่ม ทั้งบุคคลธรรมดา หรือแม้แต่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีที่ดินแต่ขาดสภาพคล่อง มีภาระภาษีเข้ามากดดัน จำเป็นต้องปล่อยที่ดินออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับความต้องการของผู้ซื้อที่ซื้อที่ดินเพื่อเก็บเป็นทรัพย์สินลดลงเพราะมีภาระด้านภาษีในการถือครอง สภาพตลาดที่ดินในปัจจุบันจึงเป็นตลาดของผู้ซื้อเพราะมีตัวเลือกในตลาดมาก สามารถต่อรองราคาได้ และในหลายพื้นที่ก็มีการลดราคาเพื่อเร่งการขาย ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำหรับผู้ถือครองที่ดินที่มีกำลังทรัพย์

2. เจ้าของที่ดินตื่นตัว หาทางใช้ประโยชน์จากที่ดิน นักลงทุนหรือผู้ถือครองที่ดินที่มีความสามารถในการชำระภาษีมีความตระหนักรู้ และให้ความสนใจในการบริหารจัดการพอร์ตที่ดินของตัวเองมากขึ้น หลายคนเริ่มนำที่ดินไปใช้ประโยชน์เพื่อลดภาระภาษี เช่น ไปทำเกษตรกรรม จึงทำให้เกิดโอกาสต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการเจ้าของที่ดินที่ต้องการทำเกษตรกรรมแต่ขาดองค์ความรู้เป็นจำนวนมาก

3. กำลังซื้อในประเทศลดลง ในขณะที่กำลังซื้อจากต่างชาติขยายตัว จากสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยรวมถึงภาระหนี้สินในครัวเรือน ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และยังส่งผลกระทบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มของผู้บริโภคเอง แม้กลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่กลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อการลงทุน ยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวจากสภาวะที่ตึงตัวมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย และสถาบันการเงินเองก็มีความเข้มงวดมากขึ้นในการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งมีผลกระทบมาจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังส่งผลกระทบกับภาคการผลิต นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก็ได้รับผลกระทบกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการระแวดระวังในการพัฒนาโครงการมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรายเล็ก หรือรายใหม่ ซึ่งจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่า อย่างไรก็ดี ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อย่างโรงแรม มีแนวโน้มการเติบโตสูง ซึ่งจากข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สรุปไว้ว่าใน 6 เดือนแรกมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศถึง 12 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 2 ล้านคน นอกจากนี้ ผลกระทบเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้มีการย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น กระตุ้นยอดอสังหาริมทรัพย์ สำหรับชาวต่างชาติในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน รวมถึงความสนใจย้ายเข้ามาตั้งฐานการผลิตของทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทุนจากประเทศจีน จะเห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับอานิสงค์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากต่างชาติ ทั้งนี้เมื่อความต้องการซื้อของตลาดต่างชาติมีมากขึ้น ผู้ประกอบการหลายรายก็เร่งพัฒนา และขยายกิจการ เพื่อตอบรับความต้องการมากขึ้น อย่างไรก็ดี นักพัฒนาก็ควรตั้งอยู่บนความระมัดระวังเพราะกระแสเหล่านี้มักจะมาเร็วไปเร็ว

4. การเติบโตของ Outer Urban Area เมื่อความเจริญไม่ได้กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองอีกต่อไป การสร้างถนนและระบบขนส่งมวลชนเข้าถึงพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองมีการเติบโต ทำให้หลายๆ โครงการอสังหาริมรัพย์ขยายตัวออกไปนอกเมืองตามแนวถนนและรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ตัวเลือกในการพัฒนาของผู้ประกอบการ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็มีหลายพื้นที่ให้เล่นมากขึ้น แม้ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อการเติบโตของราคาที่ดินชานเมือง อันเนื่องมาจากกการขยายตัวของเมืองเข้ามาในพื้นที่ และฐานราคาที่ดินเดิมที่ต่ำ ทำให้มีอัตราการเติบโตของราคาที่เพิ่มขึ้นสูง อย่างไรก็ดี ราคาก็ถูกกดดันโดยตัวเลือกในบริเวณอื่นๆ ที่มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

5. เมืองรองชะลอการเติบโต การย้ายถิ่นฐานและการเกิดของประชากรที่ลดลง เป็นปัจจัยที่ทำให้กำลังซื้อของเมืองรองมีไม่เพียงพอ และในภาคอสังหาริมทรัพย์เอง เมืองรองในหลายจังหวัดมีการเก็งกำไรในที่ดินกันเป็นจำนวนมาก มีราคาที่ดินที่ราคาเติบโตเกินศักยภาพ สวนทางกับอุปสงค์และกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในเมืองรองชะลอการเติบโต อาจต้องรอให้มีการขยายตัวของเมืองมากขึ้น ราคาที่ดินสอดคล้องกับกำลังซื้อ ตลาดเกิดดุลยภาพ หรือมีการกระตุ้นโดยโครงการขนาดใหญ่ที่ดึงดูดการลงทุน และมีการเพิ่มขึ้นของแหล่งงาน อย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองรองก็จะฟื้นตัวและมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น

 

“เทรนด์เหล่านี้จะช่วยให้มองภาพการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้กว้างมากขึ้น นอกจากนี้ ภาระภาษียังเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ถือครองที่ดินต้องตระหนักถึง เนื่องจากภาษีที่ดินที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากฐานภาษีและอัตราภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเพราะในกรณีที่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ในทุก 3 ปี ผู้ถือครองที่ดินจะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 0.3% KBank Private Banking แนะนำให้ผู้ถือครองที่ดินพิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดิน 1) เชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ 2) ใช้ประโยชน์เชิงเกษตรเพื่อลดอัตราภาษี 3) ใช้ประโยชน์สาธารณะโดยการร่วมกับภาครัฐเพื่อยกเว้นภาษี เป็นต้น สำหรับลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงที่เป็นเจ้าของที่ดิน KBank Private Banking มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้คำแนะนำในการใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่า และสร้างผลตอบแทนทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำเบื้องต้นในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย” นางกรกช ปิดท้าย

KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง) แนะผู้ถือครองที่ดินตื่นตัวในการวางแผนจัดการทรัพย์สินที่ดิน

KBank Private Banking เห็นสัญญาณบวกในภาคการลงทุน จากที่ตลาดทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มกลับมา แต่ความผันผวนโดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ในระดับสูง แนะนักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุน ชู 3 กองทุนผสมภายใต้ K-ALLROAD Series* กองทุนอัจฉริยะที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย มาพร้อมปรับพอร์ตอัตโนมัติโดยยึดความเสี่ยงของสินทรัพย์เป็นหลัก จึงสร้างผลตอบแทนได้อย่างมั่นคงและควบคุมการขาดทุนได้ในทุกสภาพเศรษฐกิจ เผยเป็นซีรีส์กองทุนที่ลูกค้าตอบรับดี ระดมเงินลงทุนไปได้แล้วกว่า 6.3 พันล้านบาท **

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “บรรยากาศโดยรวมของการลงทุนในต้นปี 2566 นี้ปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI World Index ที่มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 (YTD Returns) ที่ 4.16% อย่างไรก็ดี ยังมีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องจับตา จากการประเมินของ Lombard Odier ค่าความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 78% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์ยังมีความเสี่ยงและยังไม่มีเสถียรภาพนัก อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ (Risk Appetite) จากการประเมินของ Lombard Odier ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกันมาอยู่ที่ระดับ 83% ถือว่าอยู่ในระดับพร้อมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk on) จากก่อนหน้าช่วงปลายปีที่อยู่ในระดับ 36% ที่นักลงทุนไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยง (Risk off)

เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตการลงทุนท่ามกลางความผันผวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังน่ากังวล KBank Private Banking ยังคงแนะนำลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคารให้แบ่งเงินลงทุน 50-60% ของพอร์ตลงทุนในสัดส่วนพอร์ตหลักโดยเน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภททั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ Risk-Based Asset Allocation เพื่อสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ช่วยให้สามารถลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) ในทุกสภาวะตลาด ผ่านกองทุน K-ALLROAD Series ที่มาพร้อมกลไกอัจฉริยะที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนให้สมดุลโดยอัตโนมัติในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน อาทิ ในช่วงตลาดปกติเพิ่มอัตราทดเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ในช่วงตลาดผันผวน ถือเงินสดเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสียหาย ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จัดการกับความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด

 

กองทุน K-ALLROAD Series ประกอบด้วย 3 กองทุนซึ่งแตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คือ K-ALLROAD-UI, K-ALLGROWTH-UI และ K-ALLENHANCE-UI โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากองทุนหลัก LO FUNDS - ALL ROADS Series ในต่างประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนและควบคุมความผันผวนได้ดีสมํ่าเสมอ สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ถ้าลงทุนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป

“KBank Private Banking ได้เริ่มแนะนำกองทุน K-ALLROAD Series ให้แก่ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 และจากภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้น ตลอดไตรมาสแรกของปี 2566 กิจกรรมการตลาดกับลูกค้าใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนผ่านการลงทุนใน K-ALL ROAD Series คาดว่าจะยังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ปัจจุบัน ทั้ง 3 กองทุนในซีรีส์นี้สามารถระดุมเงินลงทุนจากลูกค้าไปได้กว่า 6.3 พันล้านบาท** ” นายจิรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v

X

Right Click

No right click