December 23, 2024

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP และหยุดการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท (กองทุนรวม LPF) ชั่วคราวเพื่อเตรียมการแปลงสภาพเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แอ็กซ์ตร้า ฟิวเจอร์ ซิตี้ (กองทรัสต์ AXTRART) โดยกำหนดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เป็นวันปิดสมุดทะเบียน เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุนในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LPF กับหน่วยทรัสต์ AXTRART (XO-Swap) และวันหยุดทำการซื้อขาย (SP) ของหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF ตั้งแต่ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป จนกว่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF จะสิ้นสภาพการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) โดยวันสุดท้ายที่หน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการแลกเปลี่ยนหน่วยลงทุนและโอนทรัพย์สินและภาระในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยกองทรัสต์ AXTRART จะรับโอนทรัพย์สินและภาระ รวมถึงสิทธิ หน้าที่ และความผูกพันตามสัญญาต่าง ๆ ของกองทุนรวม LPF โดยมีจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายทั้งสิ้น 2,337,282,928 หน่วย และสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน LPF เดิม หากมีชื่อในวันปิดสมุดทะเบียน (ก่อนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567) หน่วยลงทุนจะถูกแปลงสภาพเป็นหน่วยทรัสต์ AXTRART โดยอัตโนมัติ ในอัตราสับเปลี่ยน 1 หน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AXTRART ต่อ 1 หน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF (“Swap Ratio”) โดยคาดว่าจะมีการเพิกถอนหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้จัดการกองทรัสต์ดำเนินการให้หน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AXTRART เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนธันวาคม 2567

นายสานต่อ มุทธสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็กซ์ตร้า ฟิวเจอร์ ซิตี้ พร็อพเพอร์ตี้ รีท จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ AXTRART กล่าวว่า “การแปลงสภาพเป็นกองทรัสต์ AXTRART ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจและนักลงทุน โดย AXTRART เป็นกองทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรองรับการแปลงสภาพของกองทุนรวม LPF ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการให้นักลงทุนเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจอย่างมั่นคง โดยต่อยอดความแข็งแกร่งจากกองทุนรวม LPF เดิม ผสานกับข้อได้เปรียบของกองทรัสต์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

· เพิ่มศักยภาพการลงทุน: สามารถระดมทุนเพิ่ม เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น ขยายพอร์ตลงทุนให้ใหญ่ขึ้น กระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น

· เพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน: สามารถกู้ยืมเงินได้สูงสุดถึง 35% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม และสูงสุดถึง 60% หากได้รับ Credit Rating ระดับ Investment Grade ในขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถกู้ยืมได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เท่านั้น

· เปิดโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ: ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดเดียว พร้อมเปิดรับโอกาสเติบโตและผลตอบแทนที่สูงขึ้นในตลาดที่มีศักยภาพ

“ยิ่งไปกว่านั้น กองทรัสต์ยังเป็นรูปแบบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในระดับสากล มีกฎเกณฑ์และการกำกับดูแลที่เข้มงวด ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีมูลค่าที่มั่นคง และได้รับการดูแลโดยผู้จัดการกองทรัสต์ที่มีความเชี่ยวชาญ การลงทุนในกองทรัสต์จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว” นายสานต่อ กล่าวเสริม

ทั้งนี้ ภายหลังการแปลงสภาพจากกองทุนรวมเป็นกองทรัสต์แล้วเสร็จ คาดว่ากองทรัสต์ AXTRART จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในเดือนธันวาคม 2567 นี้

 

ปัจจุบัน ในประเทศไทย ผู้คนให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นการเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย ทาง บลจ.ซาวาคามิ ประเทศไทย เห็นว่ายังมีผู้คนจำนวนไม่มากที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาวที่มุ่งหวังไปถึงการเติบโตของบริษัทที่เข้าไปลงทุน

บลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) จึงได้จัดตั้ง “กองทุนรวมผสมซาวาคามิ” ขึ้นมา โดยเป็นกองทุนที่ “ลงทุนตามหลักการลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง” ยึดตามแนวความคิดของบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งแตกต่างจากกองทุนทั่วไป

ทีมการลงทุนของ บลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) จะทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์ และบริษัทในประเทศไทยที่จะเข้าไปลงทุนอย่างละเอียดด้วยความเป็นมืออาชีพ โดยคำนึงถึงแนวคิดการลงทุนของบลจ. รวมทั้งคัดเลือกหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีพื้นฐานดีและคาดหวังในการเติบโตในระยะยาวสอดคล้องไปกับสังคมและเศรษฐกิจไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของนักลงทุน

เนื่องจากบลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) มี “กองทุนรวมผสมซาวาคามิ” เพียงกองทุนเดียว ดังนั้นนักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า เราจะให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะบริหารเงินลงทุนอย่างเต็มที่ที่สุดเพื่อทำให้กองทุนนี้เติบโต เสริมสร้างความมั่งคั่งและมุ่งสู่ความเป็นอิสระทางการเงินของนักลงทุนในประเทศไทย

เนื่องจากหลักทรัพย์ที่บลจ. คัดเลือกขึ้นมาเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทที่นำเสนอสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนักลงทุนจะมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นนักลงทุนคุณภาพที่มีส่วนสนับสนุนการพัฒนาของประเทศ

อีกทั้งบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุน เมื่อได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากนักลงทุนก็จะทำให้มีความสามารถในการพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค มีการสร้างงาน และการจ้างงาน มีวิวัฒนาการทางด้านการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมไปกับการเจริญเติบโตของบริษัทเหล่านั้นเอง

นักลงทุนทั่วไปที่สนใจใน “กองทุนรวมผสมซาวาคามิ” สามารถเริ่มลงทุนตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป หรือออมการลงทุนเป็นประจำแบบถัวเฉลี่ย (DCA) เริ่มต้นตั้งแต่ 1,000บาท ขึ้นไป เพื่อมุ่งสู่ความเป็นอิสระทางการเงินในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของ “กลไกในการสร้างความมั่งคั่งทั้งตนเองและสังคม” หากนักลงทุนท่านใดมีความสนใจในการเป็นนักลงทุนตามแนวคิดของการลงทุนระยะยาวที่แท้จริง สามารถติดต่อ บลจ. ซาวาคามิ (ประเทศไทย) เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามช่องทางที่ระบุไว้ด้านล่างได้ทุกวันทำการ

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) คัดกองทุนตัวเด็ดที่ลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพทั่วโลกจากหลาย บลจ. ชั้นนำ เพื่อโอกาสผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมจัดแคมเปญพิเศษให้กับลูกค้าใหม่ รับเงินคืน (Cash Back) 0.2% ของยอดเงินลงทุนสะสม (สูงสุด 1,000 บาทต่อคน) เมื่อเปิดบัญชีกองทุนรวม ผ่าน KMA krungsri app และมียอดเงินลงทุนสะสมในกองทุนรวมที่ร่วมรายการ ผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างวันที่ 1 มิ.ย. 66 – 29 ธ.ค. 66 ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป โดยจะต้องคงสถานะบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่เป็นบัญชีรับเงินค่าขายคืนที่ผูกไว้กับบัญชีกองทุน บัญชีกองทุน และ KMA krungsri app เป็นปกติ ณ วันที่ธนาคารโอนเงินคืน

ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/fif-open-account-via-kma-get-cash-back 


*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร

ออนโด ไฟแนนซ์ (Ondo Finance) ประกาศเปิดตัวโทเคนใหม่ โอเอ็มเอ็มเอฟ (OMMF) ซึ่งช่วยให้ผู้ถือเหรียญสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกสามารถลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือ เอ็มเอ็มเอฟ (MMF) ของสหรัฐอเมริกาโดยใช้โทเคนได้

โอเอ็มเอ็มเอฟสามารถซื้อและแลกได้ในราคาหนึ่งดอลลาร์และได้รับการสนับสนุนทั้งหมดโดยกองทุนรวมตลาดเงินของรัฐบาลสหรัฐ โอเอ็มเอ็มเอฟแตกต่างจากกองทุนรวมตลาดเงินแบบดั้งเดิม เนื่องจากสามารถโอนย้ายได้ทั่วโลกทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงบนบล็อกเชนสาธารณะอีเธอเรียม (Ethereum) และเข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบออนเชน เช่น โปรโตคอลการให้ยืมแบบกระจายศูนย์ โอเอ็มเอ็มเอฟจะมีการส่งมอบให้ทุกวันในรูปแบบของโทเคนโอเอ็มเอ็มเอฟใหม่ให้กับนักลงทุนเพื่อรักษาราคาให้คงที่

"ในขณะที่โลกก้าวไปสู่อนาคตที่เป็นดิจิทัลและกระจายศูนย์มากขึ้น โอเอ็มเอ็มเอฟแสดงถึงโอกาสระยะยาวในการมอบวิธีการที่เหนือกว่าในการเก็บรักษาและถ่ายโอนความมั่งคั่ง" คุณนาธาน ออลแมน (Nathan Allman) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของออนโด ไฟแนนซ์ กล่าว "โอเอ็มเอ็มเอฟจะทำกับกองทุนรวมตลาดเงินเช่นเดียวกับที่สเตเบิลคอยน์ทำกับเงินสด นั่นคือการปลดล็อกศักยภาพที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คลังความมั่งคั่งซึ่งเป็นการใช้งานหลักในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกหลักประกันและการชำระเงินที่เข้าถึงได้ทั่วโลก"

โอเอ็มเอ็มเอฟคือก้าวต่อไปของออนโดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินระดับสถาบันแบบออนเชนสำหรับทุกคน กองทุนรวมตลาดเงินของสหรัฐจัดการเงินมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจแทนการฝากเงินธนาคารสำหรับนักลงทุนจำนวนมาก โอเอ็มเอ็มเอฟช่วยเติมเต็มข้อเสนอที่มีอยู่ของออนโดที่เป็นการออกโทเคนที่เรียกว่าโอยูเอสจี (OUSG) เพื่อให้ลงทุนในพันธบัตรสหรัฐได้ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการช่วยให้สถาบันในรูปแบบดิจิทัลสามารถใช้แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการเงินสด

ออนโดจะประมวลผลการซื้อและไถ่ถอนสเตเบิลคอยน์ในแต่ละวัน รวมถึงสกุลเงินเฟียตทั่วไป และออนโดจะเสนอการไถ่ถอนทันทีแบบออนเชนสำหรับโอเอ็มเอ็มเอฟจำนวนหนึ่ง นักลงทุนจะได้รับโทเคนโอเอ็มเอ็มเอฟบนบล็อกเชนอีเธอเรียมซึ่งจะแสดงกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ โทเคนเหล่านี้รองรับการโอนย้ายระหว่างที่อยู่นักลงทุนที่ได้รับอนุญาตแล้ว เช่นเดียวกับสัญญาอัจฉริยะที่ผ่านการประเมินตามกฎระเบียบ ออนโดเปิดโอกาสให้นักลงทุนใช้สัญญาอัจฉริยะเพื่อทำการซื้อขายและกู้ยืมแบบออนเชนกับโทเคนในกองทุน เช่นเดียวกับสินทรัพย์คริปโทฯ ทั่วไปแบบอื่น ๆ โอเอ็มเอ็มเอฟจะได้รับการสนับสนุนจากเอ็มเอ็มเอฟที่จัดตั้งขึ้นแต่ยังไม่ได้เปิดเผย เช่นเดียวกับโอยูเอสจี ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของโอเอ็มเอ็มเอฟที่มีการกันสำรองไว้และแยกออกจากงบดุลของออนโด

"สเตเบิลคอยน์รุ่นแรกปฏิวัติวงการไปแล้วก่อนหน้านี้" คุณจัสติน ชมิดท์ (Justin Schmidt) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าว "ส่วนนี่เป็นครั้งแรกที่มีการให้บริการเงินสดดิจิทัลแบบ

ออนเชนทั่วโลกทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยถูกสร้างขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ ดังนั้นการออกแบบให้สามารถส่งต่อผลตอบแทนได้จึงไม่ใช่จุดสนใจหลัก แต่การทำโทเคนให้สามารถลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินทำให้เราสามารถส่งมอบเสถียรภาพด้านราคาและอรรถประโยชน์ของสเตเบิลคอยน์แบบออนเชนได้ ในขณะที่ให้การคุ้มครองที่เหนือกว่าแก่นักลงทุนและส่งต่อผลตอบแทนไปยังผู้ถือครอง ตลอดจนสร้างสิ่งที่เราเชื่อว่าเหนือกว่าการจัดเก็บมูลค่า วิธีการชำระบัญชี และรูปแบบของหลักประกันสำหรับเศรษฐกิจแบบออนเชน"

การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม ควรทำการศึกษาและเข้าใจในสินทรัพย์นั้น ๆ ให้ดีเสียก่อน

X

Right Click

No right click