มั่นใจ ปลอดภัย ช้อปได้ไม่ต้องให้เลขบัญชีและบัตรเครดิต พร้อมได้สิทธิลุ้นร่วมงานแฟนมี้ตลิซ่า และของรางวัลเพิ่มเติมมากมาย

หลังจากที่ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดตัว “ลิซ่า” แบรนด์แอมบาสซาเดอร์เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำจุดยืนซูเปอร์แอปทางการเงินหนึ่งเดียวที่มีบริการครบที่สุด ทั้งการใช้จ่าย ออม และลงทุน ภายใต้คอนเซปต์ “เป็นไปได้ ได้ทุกคน” เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงทุกเรื่องการเงินได้ง่าย และได้รับคุณค่าในทุกการใช้ ล่าสุด ทรูมันนี่ เตรียมสร้างปรากฏการณ์ความเป็นไปได้อีกครั้ง ด้วยการพาลิซ่าบินลัดฟ้ามาไทยพื่อมอบความสุขให้กับแฟน ๆ ในงาน LISA Fan Meet-Up” ซึ่งคาดว่าจะเป็นครั้งแรกของปีที่น้องจะได้มาเจอแฟนๆ ชาวไทยอีกครั้ง  ติดตามข่าวสารกิจกรรม และข้อมูลต่าง ๆ ที่จะปล่อยเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้ได้ทางแอปพลิเคชันทรูมันนี่และ Facebook @TrueMoney

คะแนนแทนคูปองรับเงินสด ส่วนลดสูงสุด 50% พร้อมลุ้นโชครางวัลใหญ่ฟรีทุกเดือนที่โลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ 

กรุงเทพฯ, (27 มิถุนายน 2566) - ทรูมันนี่ ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศยกระดับการปกป้องบัญชีลูกค้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เปิดตัวระบบป้องกันการ ดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอม เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้ได้มากกว่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีอัจฉริยะภายใต้ความปลอดภัย TrueMoney Secure

 

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการมอบบริการทางการเงินที่ใช้งานง่ายและช่วยเพิ่มคุณค่าในทุกการใช้งานให้กับผู้ใช้ ทรูมันนี่ ยังให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มอบความปลอดภัย ให้ความมั่นใจกับผู้ใช้ใน ทุกการใช้งาน ระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ที่พัฒนาโดยบริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ร่วมกับผู้ให้บริการระบบความปลอดภัยชั้นนำของโลก อาทิ ‘ชิลด์’ (SHIELD) ซึ่งเป็นบริษัทดูแลความปลอดภัยทาง ไซเบอร์ระดับโลก และ ‘โซลอส’ (ZOLOZ) ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นและเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนแบบ Biometric ระดับโลก”

ทั้งนี้ ระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ได้นำความชาญฉลาดของปัญญาประดิษฐ์ (AI - Artificial Intelligence) มาทำงานร่วมกับเทคโนโลยีวิศวกรรมข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Engineering) เพื่อรวบรวม จำแนก และจดจำ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ พร้อมตรวจจับและสั่งการหากมีอะไรผิดปกติ และให้การปกป้องบัญชีผู้ใช้ถึง 3 ชั้น ได้แก่

ชั้นที่ 1 - ตรวจ : ว่าเป็นคุณตัวจริงที่เข้าใช้งานบัญชี

ตรวจ เพื่อยืนยันเข้าใช้งานบัญชีด้วยระบบยืนยันตัวตนหลากหลายรูปแบบ (secure log in) เช่น การเรียกสแกน หน้าเพื่อตรวจสอบข้อมูลชีวมิติ (Biometric - Face recognition) ถึงมีมิจฉาชีพที่ล่อลวงจนรู้ OTP หรือ Pin Code แต่ก็ไม่สามารถล็อกอินบัญชีคุณได้ เพราะถูกระบบสแกนตรวจใบหน้าป้องกันไว้ นอกจากนี้ ระบบ ‘TrueMoney 3 x Protection’ ยังสามารถตรวจจับค่า IP address หรือ Location หากมีการเข้าใช้งานจากอุปกรณ์ใช้งาน (secure device) ที่แตกต่างไปจากที่ผู้ใช้เจ้าของบัญชีได้ลงทะเบียนหรือใช้งาน

ชั้นที่ 2 - จับ – มัลแวร์หรือแอปต้องสงสัย

จับ มัลแวร์ แอปดูดเงิน และแอปแปลกปลอมที่ไม่ปลอดภัย หากติดตั้งบนอุปกรณ์ที่ใช้งานทรูมันนี่ และปฏิเสธการ อนุญาตเข้าใช้งาน

ชั้นที่ 3 - หยุด – การทำธุรกรรมที่ผิดปกติ

หยุด หากมีการทำรายการที่ผิดปกติ ระบบ AI จะจำแนกและกำหนดค่าความเสี่ยง (Risk score) เพื่อตรวจสอบ ความผิดปกติจากประวัติการทำรายการย้อนหลัง และให้ลูกค้าทำการยืนยันตัวตนหลากหลายรูปแบบ หรือหยุด ยั้งรายการที่มีความผิดปกติ เพื่อป้องกันการถูกดูดเงินออก

จากข้อมูลล่าสุดเดือน เมษายน 2566 ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ระบุว่า ในช่วง 1 ปีที่ ผ่านมา มีปัญหาภัยออนไลน์แจ้งมายังเว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกว่า 247,753 เรื่อง ขณะที่ผลการ อายัดบัญชีที่มีคำร้องทั้งหมด 74,129 บัญชี มีการขออายัด 54,017 บัญชี ยอดเงิน 6.9 พันล้านบาท และอายัดได้ ทัน 449 ล้านบาท หรือเพียง 6.4% ของยอดเงินที่มีการร้องขออายัด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสูงถึง 32,083 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้นสมาคมธนาคารไทย ยังพบอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีการล่อลวงติดตั้งแอปเพื่อเข้ามาดูด ข้อมูล รวมถึงปลอมเป็นแอปการเงิน เพื่อเข้ามาควบคุมอุปกรณ์และแอปการเงินของผู้เสียหาย (ATO - Account Take Over) เพื่อดูดเงินจากบัญชี ส่งผลให้มีผู้เสียหายจากการตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย ราว 500 ล้านบาท

 

นายอธิปัตย์ พลอยพรายแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงและตรวจสอบทุจริต บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรายแรกๆ ที่เดินหน้าพัฒนาการระบบเทคโนโลยีเพื่อ ปกป้องบัญชี ของลูกค้า ที่ผ่านมาเราได้กำหนดให้มีสแกนใบหน้ายืนยันตัวตนก่อนโอนและถอนเงินตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ เมื่อปลายปีที่แล้วเรายังได้จับมือกับ SHIELD ประกาศนำ ‘ระบบปฏิบัติ การความปลอดภัยอัจฉริยะสำหรับธุรกรรมการเงินบนอุปกรณ์มือถือ’ (Mobile Fintech Security Intelligence) มาใช้เป็นรายแรกของไทย”

“สำหรับการเปิดตัวระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ถือว่าเป็นระบบเดียวที่มีในตลาด ขณะนี้ที่สามารถ ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมได้ครบวงจร เนื่องจากทรูมันนี่ตระหนักดีว่า ถึงเราจะสร้าง แอปการเงินที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยในระดับสูง แต่มิจฉาชีพก็อาจล่อลวงให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อและ เผลอให้ ข้อมูลสำคัญที่ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงบัญชีได้ ดังนั้นการสร้างระบบที่สามารถผสานข้อมูลและระบบความปลอดภัย ให้ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยปกป้องผู้ใช้ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำธุรกรรม พร้อมช่วยผู้ใช้จำกัดและหยุดความเสียหายแม้พลาดตกเป็นเหยื่อ"

โดยทรูมันนี่ยังมีการให้บริการสายด่วน 1240 กด 6 เพื่อรับแจ้งเหตุต้องสงสัยด้านภัยทางการเงิน และแจ้งอายัดบัญชี ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกเหนือจากการเปิดตัวระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ เมื่อเร็วๆ นี้ ทรูมันนี่ยังได้ ออกแคมเปญเพื่อยกระดับการรับรู้ถึงการที่ทรูมันนี่เป็นแอปที่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้จ่าย ออนไลน์ เนื่องจากในผลการสำรวจลูกค้าล่าสุดพบว่า ลูกค้ามองทรูมันนี่เป็นบัญชีใช้จ่ายที่ให้การปกป้องที่ดี (Buffer Account) เนื่องจากสามารถเติมเงินเพื่อใช้จ่ายได้ในยอดที่พอใจ ไม่ต้องกังวลเพราะไม่ต้องแชร์เลขบัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิตเมื่อใช้จ่าย และสามารถเลือกใช้ TrueMoney Mastercard ซึ่งเป็นเวอร์ชวลการ์ดที่ตัดจ่ายเฉพาะเงิน ที่เติมในทรูมันนี่ สามารถเปิดปิดการใช้งานได้เลยในแอป ผู้ใช้จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกดูดเงินที่มีจนหมด โดยบริษัทฯ ยังได้ออกภาพยนตร์โฆษณาและเตรียมแคมเปญการสื่อสารต่างๆ ในเรื่องนี้ ขอให้ติดตาม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘TrueMoney 3 x Protection’ ภายใต้ TrueMoney Secure และดูภาพยนตร์โฆษณา เปย์ออนไลน์ปลอดภัย ใช้ทรูมันนี่ ได้ที่ https://www.truemoney.com/secure-e-payment/

TrueMoney Mastercard (หรือเดิมเรียกว่า WeCard) เพื่อชำระเงิน ณ ร้านค้าชั้นนำที่มีเครื่องหมายแตะจ่ายง่ายๆ แบบไร้สัมผัสผ่าน Google Pay ได้แล้ววันนี้

นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบัน ผู้ใช้ TrueMoney Mastercard หรือเดิมที่เราเรียกว่า WeCard มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดย TrueMoney Mastercard เป็น Virtual Prepaid Mastercard หรือบัตรที่เชื่อมต่อเงินในบัญชีทรูมันนี่ ที่ช่วยให้ผู้ใช้นำเงินจากบัญชีทรูมันนี่ไปใช้ใช้ซื้อของได้ตามร้านค้าต่างๆ ที่รับบัตรเครดิตได้ โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่ชื่นชอบ TrueMoney Mastercard เนื่องจากเปิดใช้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ และความคล่องตัวในการนำไปใช้จ่ายออนไลน์ได้แม้ไม่มีบัตรเครดิต นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังรู้สึกมั่นใจ เพราะ TrueMoney Mastercard จะเชื่อมตัดเงินจำกัดเฉพาะที่เติมไว้ในบัญชีทรูมันนี่เท่านั้น ทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และยังเลือกเปิด-ปิดการใช้งานได้ทำให้รู้สึกปลอดภัย โดยล่าสุด ทรูมันนี่ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับ มาสเตอร์การ์ด ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Google ในการเปิดให้ผู้ใช้ Google Wallet สามารถเพิ่ม TrueMoney Mastercard เพื่อใช้จ่ายผ่าน Google Pay ทั้งการแตะเพื่อจ่ายที่ร้านค้าและการใช้จ่ายออนไลน์บนเว็บไซต์ชั้นนำทั่วโลกได้”

นางสาวณัชสิชา วรพฤกษ์พิสุทธิ์ รองประธานและหัวหน้าฝ่ายการพัฒนาตลาด มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า “ผู้บริโภคทั่วโลกต้องการความยืดหยุ่นและทางเลือกในการชำระเงินมากขึ้น โดยการสำรวจพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคด้านวิธีการชำระเงินทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกประจำปี 2022 ของมาสเตอร์การ์ด (Mastercard New Payments Index) ระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยใช้ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งความร่วมมือกับ TrueMoney และ Google ในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของมาสเตอร์การ์ดในการเพิ่มทางเลือกการชําระเงินเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการทําธุรกรรมของลูกค้าชาวไทยในยุคดิจิทัล โดยมาสเตอร์การ์ดยังคงมุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกการชำระเงินในโลกไร้เงินสดที่สะดวกสบาย ไม่ว่าจะด้วยบัตรหรืออุปกรณ์สมาร์ตโฟน”

 

นายอดิทิพ ภาณุพงศ์ Head of Industry, Strategic Partnerships, Google Thailand กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ผู้ใช้ TrueMoney Mastercard สามารถเพิ่มบัตรลงใน Google Wallet เพื่อใช้จ่ายแบบไร้สัมผัสได้อย่างปลอดภัยทั้งบนแอปพลิเคชันและร้านค้าออนไลน์ โดยทาง Google หวังว่าจะได้ร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้นเพื่อผลักดันให้ Google Wallet เป็นแอปพลิเคชันที่คนไทยเลือกใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผ่านบัตร หรือการทำรายการทางดิจิทัลต่างๆ เช่น บัตรสะสมคะแนนและตั๋วโดยสาร”

ปัจจุบัน มีผู้ใช้บริการ Google Pay มากกว่า 150 ล้านคน จาก 40 ประเทศทั่วโลก ด้วยความสะดวกสบายในการใช้งาน ที่ช่วยให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์สามารถชำระค่าสินค้าและบริการจากร้านค้าชั้นนำทั่วโลกได้ทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมร้านค้าชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ร้านขายยา เสื้อผ้า ร้านเสริมสวย ไปจนถึงร้านค้าปลีกจำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็จะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวไทยให้เป็นไปอย่างราบรื่น และไร้พรมแดน

นอกจากนี้ยังมี Paymentology พาร์ทเนอร์ที่มีบทบาทสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังการออกบัตรและประมวลผลบัตรเสมือน โดยใช้แพลตฟอร์มระบบคลาวด์ในการช่วยประสานระหว่างทรูมันนี่มาสเตอร์การ์ด และ Google Wallet เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมนำเสนอการประมวลผลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่ที่มีความลื่นไหลและยืดหยุ่นที่สุด

นายเอมเร่ ดุรุสสุต ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Paymentology กล่าวว่า "เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจ และได้เป็นพันธมิตรผู้ดำเนินการการออกบัตรให้กับ TrueMoney และเราตื่นเต้นที่จะได้ร่วมฉลองความสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ TrueMoney ในฐานะผู้บุกเบิกด้านการชำระเงินทางดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จาก Paymentology และความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมอย่าง Mastercard และ Google เราภูมิใจที่มีส่วนร่วมทำให้ TrueMoney ได้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกในการนำ Google Pay มาสู่ประเทศไทย"

โดยการร่วมมือกันของสี่พันธมิตรใหญ่ในครั้งนี้ นับเป็นการส่งเสริมเทรนด์การใช้จ่ายแบบไร้สัมผัสที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัย Mastercard New Payments Index 2022 ที่พบว่าผู้บริโภคชาวไทยกว่า 94% เคยใช้ระบบดิจิทัลเพื่อชำระค่าบริการต่างๆ มากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 88% โดยรูปแบบการชำระเงินที่มีการใช้งานมากที่สุดก็คือดิจิทัลวอลเล็ท ตามมาด้วยการชำระผ่านการโอนเข้าบัญชี และ QR code

ทั้งนี้ ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ หรือสมาร์ตวอตซ์ Wear OS ที่มี NFC ติดตั้งบนตัวเครื่อง สามารถใช้บริการ Google Pay ได้ผ่านแอปพลิเคชัน Google Wallet โดยดาวน์โหลดแอปฯ Google Wallet จาก Google Play Store

โดยการเพิ่มบัตรเสมือน TrueMoney Mastercard ลงใน Google Wallet สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงเปิดแอปฯ Google Wallet จากนั้นให้เลือกเมนู “Add to wallet” เพื่อเพิ่ม TrueMoney Mastercard โดยการใส่ข้อมูลบัตร และยืนยันตัวตนตามขั้นตอน เพียงเท่านี้ ผู้ใช้ TrueMoney Mastercard ก็สามารถชำระค่าสินค้าหรือบริการ ณ ร้านค้าทั่วโลกที่มีเครื่องหมายแตะจ่ายง่ายๆ แบบไร้สัมผัสผ่าน Google Pay ได้ทันที ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.truemoney.com/google-pay/

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click