

เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) บริษัทด้านการลงทุนในเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive Technology) ภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประกาศร่วมเป็นผู้นำการลงทุน (Co-Lead Investor) ร่วมกับ Point72 Ventures ในการระดมทุนรอบ Pre-Seed มูลค่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐของ Hearvana บริษัทผู้บุกเบิกเทคโนโลยี ‘Auditory Intelligence’ ที่ช่วยให้มนุษย์และอุปกรณ์สมองกลมีความสามารถในการฟังเหนือขีดความสามารถของมนุษย์ (Superhuman Listening Abilities) โดยการลงทุนรอบนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายสำคัญ ได้แก่ AI2 Incubator, SBI US Gateway Fund, Forston VC, Ascend, J4 Ventures, Pack Ventures, Moai Capital และ Amazon Alexa Fund
Hearvana กำลังพลิกโฉมวิธีที่ AI และมนุษย์รับรู้เสียง ด้วยแพลตฟอร์มของบริษัทที่เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ (Augmentation) และการทำความเข้าใจ (Comprehension) เสียงแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ (on-device) ทำให้ผู้ช่วย AI (AI Assistant) อุปกรณ์ช่วยฟัง แว่นตาอัจฉริยะ และอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยเสียงต่างๆ สามารถฟัง ตีความ และประมวลผลเสียงได้อย่างมีคุณภาพสูงและตอบสนองได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา เทคโนโลยีนี้ทำให้อุปกรณ์สามารถเข้าใจเจตนาและบริบทในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีเสียงรบกวนสูง ช่วยให้มนุษย์สื่อสารกันเองและกับอุปกรณ์สมองกลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Jeffrey Lu นักลงทุนจาก Point72 Ventures กล่าวว่า “เราเชื่อว่า Hearvana กำลังก้าวเข้าสู่จุดที่น่าตื่นเต้นของเทคโนโลยี AI โดยมุ่งเน้นไปที่ “วิธีการที่อุปกรณ์รับฟัง” เทคโนโลยีของ Hearvana ส่งเสริมศักยภาพด้าน Voice Interface ให้กับปัญญาประดิษฐ์ อุปกรณ์อัจฉริยะ และ แอปพลิเคชันช่วยฟัง เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนทีมนี้ในการนำเทคโนโลยีออกสู่ตลาด”
บริษัท Hearvana ก่อตั้งโดย ศาสตราจารย์ Shyam Gollakota จาก Paul G. Allen School of Computer Science and Engineering มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Embedded Systems และ Audio AI ได้แก่ Malek Itani และ Tuochao Chen
นางสาวไพลิน วิชากูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน (CIO) บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “Hearvana ประกอบด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้บริษัทสามารถผสมผสานเทคโนโลยี AI การประมวลผลเสียง และ ฮาร์ดแวร์แบบฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์สมองกล (Embedded Hardware) ได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสรรค์มิติใหม่ของเทคโนโลยีด้านเสียง (Auditory กับอุปกรณ์สมองกล (Human-Machine Interfaces) เพื่อยกระดับศักยภาพการได้ยินสำหรับ AI Agents ที่สามารถปรับให้เข้ากับแต่ละบุคคล”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทีมงานได้บุกเบิกเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย เช่น Target Speech Hearing, Sound Bubble, Full-Duplex Dialogue Agents และ Proactive Conversational Assistants ซึ่งช่วยขยายขอบเขตการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอุปกรณ์สมองกลผ่าน "เสียง" โดยทีมผู้ก่อตั้งได้นำความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษในด้าน Auditory Computing, Embedded Intelligence และ Deep Learning มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงวิทยาการล้ำสมัยเข้ากับการใช้งานจริงที่สามารถขยายผลได้
“เราให้ความสนใจในเทคโนโลยีของ Hearvana ที่ช่วยให้การโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับ AI เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น แนวทางของทีม Hearvana มุ่งทำให้เทคโนโลยีการฟังขั้นสูงถูกนำมาใช้ในวงกว้างผ่านการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันที่มุ่งเน้นการตอบสนองผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ” กล่าวโดย Paul Bernard ผู้อำนวยการ จาก Alexa Fund
“ด้วยความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเชิงลึกและวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งมีความโดดเด่น Hearvana ได้นำผลงานวิจัยด้าน Audio AI ที่ล้ำสมัยมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริง และช่วยให้ AI เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” กล่าวโดย Oren Etzioni จาก AI2 Incubator
Hearvana มีแผนที่จะนำเงินทุนที่ได้รับในรอบนี้ไปขยายทีมวิศวกรรม และทีมการตลาด (Go-to-market) รวมถึงโครงการนำร่องเชิงพาณิชย์ร่วมกับพันธมิตร (Commercial Pilots) ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคและระบบนิเวศ AI
"Hearvana กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างการฟังระดับ Superhuman เทคโนโลยีของเราครอบคลุมผู้ช่วย AI ที่ทำงานตั้งแต่อุปกรณ์ทั่วไป เช่น แล็ปท็อปและสมาร์ทโฟน ไปจนถึงอุปกรณ์สวมใส่ (wearables) เช่น หูฟังไร้สายและแว่นตาอัจฉริยะ เรามองเห็นอนาคตที่อุปกรณ์ไม่ได้เพียงแต่ได้ยินเท่านั้น แต่ยังเข้าใจและช่วยให้มนุษย์สื่อสารระหว่างกันและสื่อสารกับ AI ได้ดียิ่งขึ้น เงินทุนรอบนี้จะช่วยให้เราก้าวจากการพัฒนานวัตกรรมไปสู่การใช้งานจริงได้เร็วยิ่งขึ้น" กล่าวโดย Shyam Gollakota ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Hearvana
SCB WEALTH มองปีนี้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แนะกลยุทธ์ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีไม่เน้นจับจังหวะ แต่เน้นระยะเวลา และวินัยการลงทุน พร้อมชู 3 เมนูลงทุนเด็ดเสิร์ฟนักลงทุน 3 สไตล์ เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส และเมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุนตั้งแต่นักลงทุนรุ่นใหม่จนถึงวัยใกล้เกษียณ เพื่อโอกาสรับสิทธิลดหย่อนภาษี และโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ถือเป็นปีที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความผันผวน จากความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงในประเทศเศรษฐกิจหลัก และสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed ) จึงอาจทำให้นักลงทุนรอจังหวะในการเข้าลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์หลายประเภทราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ที่สำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การจับจังหวะตลาด แต่อยู่ที่ระยะเวลาการลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงิน เพราะเป็นกองทุนที่ต้องลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว เป็นเครื่องมือการสร้างความมั่งคั่งอย่างมีวินัย
"ตามข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ จะพบว่า คนไทยมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น จากเดิมอายุขัยเฉลี่ยเคยอยู่ที่ 75 ปี แต่ในปี 2568 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 85 ปี หมายความว่า ช่วงที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหลังเกษียณยาวนานมากขึ้น ดังนั้น การลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณก็มีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และระยะเวลาที่เหลือในการทำงาน หรือมีรายได้ เช่น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน ยังมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาว สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนได้ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่เมื่อใกล้ระยะเวลาเกษียณ ต้องเน้นการรักษามูลค่าเงินลงทุนมากขึ้น อาจปรับเปลี่ยนการลงทุน โดยเน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมากขึ้น เป็นต้น” นายศรชัย กล่าว
SCB WEALTH จึงได้ออกแบบ เมนูการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้นักลงทุนเลือก 3 สไตล์ สอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน
เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ โดยตราสารที่ลงทุนเป็นสินทรัพย์คุณภาพ (High-Quality Assets) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันรับมือความผันผวน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเพิ่มความมั่นใจสำหรับเงินที่เตรียมไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ใกล้เกษียณ มีกองทุนแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1 ) กองทุน SCBTB(ThaiESGA) ความเสี่ยงระดับ 4 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond ) ตราสารเพื่อความยั่งยืน ( Sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม เป็นตราสารหนี้ชั้นดีภาครัฐและเอกชน พร้อมจุดแข็งการคำนึงถึงประเด็น สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว 2) กองทุน SCBRMMONEY ความเสี่ยงระดับ 1 คือ เสี่ยงต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน และ 3)กองทุน SCBRM1 ความเสี่ยงระดับ 4 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพดี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก
เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่กับสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวนให้พอร์ตลงทุน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องการสร้างความสมดุลให้กับโอกาสการเติบโตและความมั่นคงอย่างลงตัว โดยเฉพาะคนที่ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว คนที่มีครอบครัวต้องดูแล แนะนำ 3 กองทุนดังนี้ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMWORLD(A) ความเสี่ยงระดับ 6 คือเสี่ยงสูง ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และ ขนาดกลางในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World และ3)กองทุน SCBGOLDHRMF ความเสี่ยงระดับ 8 ลงทุนใน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำแท่งที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงราคาทองคำแท่งในตลาดโลก
เมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนที่โดดเด่นเรื่องโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น ตลาดหุ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงานไม่นาน มีเวลาสำหรับการลงทุนได้อีกในระยะยาว แนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMS&P500 ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ และ 3)กองทุน SCBRMNDQ ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำ 100 แห่งในสหรัฐฯ
“การนำเสนอเมนูการลงทุนลดหย่อนภาษีที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว และเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ทั้งผลตอบแทน และสิทธิลดหย่อนภาษี ช่วยให้ผู้ลงทุนสร้างวินัยทางการเงินเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณในแบบที่ต้องการ ” นายศรชัย กล่าว
สำหรับเงื่อนไขการลงทุนกองทุน ThaiESG นับตั้งแต่ปี 2567-2569 ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 300,000 บาท ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (แบบวันชนวัน) ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ ส่วนกองทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้จนกว่าอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนในปีใดสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้
หมายเหตุ : คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO และข้อมูลผลิตภัณฑ์โดย Investment Product Selection ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
คำเตือน
· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
· กองทุนที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ศึกษาข้อมูลกองทุนและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากwebsite บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777
SCB WEALTH ร่วมกับ BlackRock คัดสรรผลิตภัณฑ์ลงทุนให้ตอบโจทย์นักลงทุนในจังหวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า พร้อมเสิร์ฟกองทุนSCBUSDABSAP เสนอขายครั้งแรกในวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fundมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนในทุกสภาวะตลาด
โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและจัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กองทุนหลักลงทุนอย่างเป็นระบบผสานความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนเข้ากับเทคโนโลยี AI เพื่อคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกว่า 4,500 บริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น พร้อมควบคุมความผันผวนให้อยู่ในกรอบ 6–8% ต่อปี เพื่อประคองความเสี่ยงให้เหมาะสม ตอกย้ำประสิทธิภาพด้วยผลงานของกองทุนหลัก นับตั้งแต่จัดตั้งจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2568 ที่สร้างผลตอบแทนเป็นบวกถึง 70 เดือนจาก 102เดือน เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี MSCI AC Asia Pacific สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม โดย เงินลงทุนขั้นต่ำ SCBUSDABSAP อยู่ที่ 30 USD มองภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯในระยะยาว และ ไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียปรับลดดอกเบี้ยตาม ส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนลดลง และกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ยังเป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียมากขึ้น ขณะที่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว
ในส่วนของแนวโน้มค่าเงินบาท จากข้อมูลของ SCB EIC ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 8% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งค่านำคู่แข่งในภูมิภาค โดยคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่ง SCB CIO มองว่า ภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็น “โอกาสสำคัญ” สำหรับนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯ ในระยะยาว หรือมองหาการลงทุนต่อเนื่องในต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงในสกุลเงินดอลลาร์ฯ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายแล้ว ยังมีข้อได้เปรียบด้านผลตอบแทนเมื่อเทียบกับการลงทุนในสกุลเงินบาท เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging อีกทั้งยังสามารถใช้แนวคิดการสร้าง “USD Wallet” เป็นการลงทุนต่อเนื่องระยะยาวด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากค่าเงินและโอกาสสร้างความมั่นคงในการลงทุนได้มากขึ้น
โอกาสนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Asia Pacific Equity Absolute Return USD (SCBUSDABSAP) ครั้งแรก ( IPO) ระหว่างวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้ลงทุนด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ( USD ) ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 30 USD
กองทุนนี้จัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว ได้แก่ BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fund ชนิดหน่วยลงทุน D2 U.S. Dollar (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ บริหารโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งกองทุนหลักเน้นการบริหารเชิงรุก (Active management) มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกให้แก่ผู้ลงทุนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกสภาวะตลาด โดยคำนึงถึงหลักการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ( ESG) ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์โดยตรง ( long exposure) และการทำธุรกรรม Synthetic long และ Synthetic short ในบริษัทที่จัดตั้งหรือจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ( Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
สำหรับกลยุทธ์การบริหารกองทุน มีจุดเด่นดังนี้ 1) กองทุนหลักใช้ตราสารอนุพันธ์ทั้ง Long และ Short position ในหุ้นขนาดใหญ่ และเล็กของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อลดความเสี่ยงด้านทิศทางตลาด 2) จำกัดความผันผวนของพอร์ตที่ 6-8% โดยเฉลี่ยต่อปี 3) มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นบวกในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ(USD)ผ่านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Market Neutral ที่อาจไม่เคลื่อนไหวตามสภาวะตลาด พร้อมสอดคล้องกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน 4) การบริหารเชิงรุก ซึ่งใช้แบบจำลองเชิงปริมาณ (quantitative models) เพื่อคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ โดยผู้เชี่ยวชาญผสมกับเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงข้อมูลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ และ 5) กองทุนหลักได้รับ Morningstar rating 5 ดาวจากกลุ่ม EAA Fund Equity Market Neutral USD (ข้อมูล ณ สิงหาคม 2568)
ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนหลัก มีกระบวนการลงทุนอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้าถึงข้อมูลหุ้นบริษัทกว่า 4,500 บริษัท ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ทุกวันเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยผสมผสานการคาดการณ์ผลตอบแทน ความเสี่ยง และต้นทุน
ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษา ข้อมูล และโครงสร้างตลาดที่แตกต่างกัน ความสามารถในการเข้าถึงและตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง จึงเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่าง
สำหรับกระบวนการลงทุน มีการนำจุดแข็งด้านเทคโนโลยี AI มาผสมผสานทั้งข้อมูลดั้งเดิมและข้อมูลทางเลือก เพื่อสกัด “ข้อมูลเชิงลึก” ที่สะท้อนปัจจัยขับเคลื่อนผลตอบแทนของแต่ละตลาดในอนาคต ขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นในกรอบการลงทุนอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน SFDR Article 8 ซึ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนยังทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงให้ Model AI มีความแม่นยำและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง “โอกาสที่ซ่อนอยู่” ในภูมิภาคที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นใจ
ทั้งนี้ จากข้อมูลนับตั้งแต่กองทุนหลักจัดตั้ง วันที่ 22 ก.พ. 2560 จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2568 กองทุนหลักแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ “มั่นคงและต่อเนื่อง” โดยสามารถทำผลตอบแทนรายเดือนเป็นบวกได้ถึง 70 เดือน จากทั้งหมด 102 เดือน เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI AC Asia Pacific ซึ่งทำได้เพียง 61 เดือนจาก 102 เดือน อีกทั้งยังสร้าง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าดัชนี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นและเสถียรกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม
InnovestX เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ตอกย้ำบทบาทผู้นำในการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) ชุดแรก จำนวน 3 ตัว เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตสู่ตลาดจีน
โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสาม ประกอบด้วย
1) HSHD23 ที่เป็น DR ETF ที่อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ETF ตัวแรกของประเทศไทย ลงทุนในหุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง มีประวัติการจ่ายปันผลสูงเฉลี่ย 6–8% ต่อปี
2) CATL23 หุ้นเทคแบตเตอรี่แห่งอนาคต ที่เติบโตเคียงข้างยอดขายรถยนต์ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ทั่วโลก
3) BABA23 ที่อ้างอิงหุ้น Alibaba กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีผู้นำอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน
การเปิดตัว DR ชุดนี้ สอดรับกับนโยบายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศให้ง่าย สะดวก และได้ประสิทธิภาพ เสมือนการลงทุนในหุ้นไทย ซื้อขายเป็นเงินบาท ไร้กังวลภาษี ทั้งนี้ DR ทั้ง 3 ตัว พร้อมให้นักลงทุนซื้อขายได้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป บนตลาดหุ้นไทยผ่านแอป Streaming พร้อมโปรโมชันช่วงเปิดตัว เทรด DR 3 ตัวใหม่ผ่าน InnovestX ฟรีค่าธรรมเนียม* ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.68 – 31 ก.ค. 68 มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท
ในงานเปิดตัว DR23 ครั้งนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วย นาย โรนัลด์ แลม (Ronald Lam) Head of Institutional Sales, Global X by Mirae Asset และ นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer, InnovestX ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR23) วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้
นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า “ในทุกสภาวะตลาด นักลงทุนควรมีทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมและยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ InnovestX จึงพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนที่ทัดเทียมระดับโลก พร้อมเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ครบทุกสินทรัพย์ทั่วโลก (All-Weather Products) เพื่อให้การลงทุนง่าย ราบรื่น และตอบโจทย์ทุกจังหวะการลงทุน รวมถึง DR23 ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซื้อขายด้วยเงินบาท ภายใต้การกำกับดูแลของไทย ลดข้อจำกัดทั้งด้านภาษีและขั้นตอนการลงทุนต่างประเทศ
DR23 ชุดแรกนี้ เราคัดสรร ETF และหุ้นจีนคุณภาพจากตลาดฮ่องกง ซึ่งเรามองว่าเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ทั้งยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภายใต้นโยบาย Made in China 2025 และการขยายตัวอย่างรวดเร็วใน AI, EV และ Cloud Computing
1. HSHD23 – DR ETF ปันผลสูงตัวแรกในไทย อ้างอิง Global X Hang Seng High Dividend Yield ETF (3110.HK) ลงทุนในหุ้นฮ่องกงที่จ่ายปันผลสูง ความผันผวนต่ำกว่าดัชนีหลัก ได้รับแรงหนุนจากนโยบายรัฐจีนที่ผลักดัน SOE ให้สร้างผลตอบแทนมั่นคง เช่น PCCW Ltd (0008.HK) บริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง หรือ Uni-President China Holdings Ltd (0220.HK) บริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในจีน เป็นต้น
2. CATL23 – DR หุ้น CATL ผู้นำแบตเตอรี่รถ EV ระดับโลก ครองตลาด 37% เป็นพันธมิตรหลักของ Tesla, BMW, Mercedes-Benz มีฐานะการเงินแกร่ง รายได้-กำไรเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนโอกาสในธีมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดการเติบโตด้วยธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)
3. BABA23 – DR หุ้น Alibaba ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีน ผ่านแพลตฟอร์ม Taobao–Tmall พร้อมธุรกิจ Cloud, AI และโลจิสติกส์ (Cainiao) มีศักยภาพการเติบโตทั้งกำไร เงินสด และการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง BABA23 จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตในธีมเทคโนโลยีจีนและนวัตกรรม
DR23 โดย InnovestX ซึ่งได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA จาก Fitch Ratings เปิดประตูสู่การลงทุนต่างประเทศ ให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นระดับโลกได้ง่ายเหมือนซื้อหุ้นไทย ด้วยราคาซื้อขาย (Fair Price) ที่สอดคล้องกับสินทรัพย์อ้างอิงปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่แข่งขันได้ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่ม SCBX พร้อม Market Maker ดูแลสภาพคล่องอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ซื้อขายราบรื่น มั่นใจใน Market Stability โดยจุดแข็งของ DR23 ยังอยู่ที่ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ตรงในการออกและบริหาร DR โดยเฉพาะ และทีมนักวิเคราะห์จาก InnovestX Research ที่สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกทั้งเศรษฐกิจ พื้นฐาน ปัจจัยเทคนิค คำแนะนำการลงทุน และพร้อมให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลหุ้นแม่ของ DR23 และเครื่องมือคำนวณราคา DR23 ช่วยลดความคลาดเคลื่อนของ Fair Value เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX แพลตฟอร์มลงทุนที่มั่นใจได้จากกลุ่ม SCBX ที่เดียวที่ลงทุนครบ ง่าย ได้เปรียบ ในทุกสภาวะตลาดทั่วโลก”
ผู้ลงทุนสามารถพิมพ์สัญลักษณ์ HSHD23, CATL23 หรือ BABA23 ในแอป Streaming เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าคุณจะใช้บัญชี InnovestX หรือโบรกเกอร์รายอื่น DR23 ทั้งสามตัวซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ทำให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการลงทุนระดับโลกได้สะดวกและมั่นใจยิ่งขึ้น
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ได้รับการยกย่องให้เป็น "Most Honored Company” จาก Extel (หรือเดิมชื่อ Institutional Investor Research) Asia Executive Team Rankings ประจำปี 2025 โดยได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารกองทุน และนักวิเคราะห์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กว่า 6,000 ราย ที่เข้าร่วมในการลงคะแนนผ่านผลสำรวจนี้
BDMS ได้รับการยกย่องให้เป็น Most Honored Company ใน 2 หมวดหมู่ โดย BDMS ได้อันดับหนึ่งในกลุ่มธุรกิจ Healthcare, Pharma & Biotech Sector ของกลุ่มประเทศ Rest of Asia (ex-China and Japan) และอันดับหนึ่งในประเทศไทย รวมในทุกภาคธุรกิจทั่วประเทศ ผลการสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารงานของ CEO CFO ผู้บริหารระดับสูง ทีมนักลงทุนสัมพันธ์ ด้าน ESG ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (Environment, Social, และ Governance) โดยผู้บริหารสามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถตอบคำถามนักลงทุน เพื่อให้ตัดสินใจได้ถูกต้องในการลงทุนในบริษัท รวมถึงได้รับการยอมรับอยู่ในระดับสากลจากทั้งผู้บริหารกองทุน และนักวิเคราะห์
![]()
นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน BDMS กล่าวว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดครั้งนี้ รางวัล Extel Awards เป็นเครื่องยืนยันความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของ BDMS ในฐานะผู้นำในตลาดเฮลท์แคร์ รวมถึงเป็นการสร้างความไว้วางใจให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพขององค์กร"