

ก.ล.ต. อนุมัติแบบไฟลิ่งเสนอขายหุ้นกู้บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2570 อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.40 ต่อปี ชนิดระบุผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 150 ล้านบาท พร้อมแต่งตั้ง Bluebell และ MPS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ กำหนดวันจองซื้อ 22–24 กรกฎาคม 2568 เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพ และ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนโดยการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมตามกำหนดก่อนเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2570 ชนิดระบุผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 150 ล้านบาท จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่
![]()
ด้านวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อใช้ในการลงทุนสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทั้งในส่วนของการก่อสร้างบ้าน และ ก่อสร้างระบบสาธารณูโภค โดยทั้งหมดเป็นโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งปัจจัยสนับสนุนในด้านความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของเมือง ที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน สถานพยาบาล และ ธุรกิจการดูแลสุขภาพครบครัน อีกทั้งเพื่อเป็นเงินค่าใช้จ่ายในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายตัวอย่างยั่งยืนของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายจำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีช่วงจองซื้อระหว่างวันที่ 22–24 กรกฎาคม 2568 และเสนอขายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมแผนการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ก่อนการเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ จากความสามารถในการบริหารต้นทุนและกระแสเงินสดอย่างรัดกุม อีกทั้งยังมีทรัพย์สินเพื่อสภาพคล่องสำรองที่พร้อมใช้ในกรณีจำเป็น เช่น ที่ดินทำเลคุณภาพจากแผนการลงทุนของบริษัทฯ ซึ่งสามารถพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าหรือจำหน่ายเพื่อเสริมสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่พึ่งพาการออกหุ้นกู้ชุดใหม่แต่อย่างใด
KUN ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบบนทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น บางบัวทอง, พระราม 2 และ รังสิต ซึ่งเป็นทำเลต่อเนื่องจากการขยายตัวของเมือง และ เชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมหลัก โดยบริษัทฯมองเห็นโอกาสนี้ล่วงหน้าและวางแผนการลงทุนที่ดินในระยะยาว สามารถสร้างเพิ่มศักยภาพในการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีโครงการที่บริษัทกำลังพัฒนา ได้แก่ โครงการคุณาลัย เพอร์ร่า, โครงการนาวาร่า พระราม 2, โครงการนาวาร่า รังสิต – คลอง 2 ซึ่งได้รับความสนใจจากตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงถึง 35–40% อีกทั้งยังมีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณด้านหน้าโครงการ เพื่อสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มเติมในระยะยาว
“บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในลักษณะ ‘สร้างเมือง สร้างชุมชน’ โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และ มีความคุ้มค่าในลงทุน ซึ่งบ้านทุกหลังของ KUN จะไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในชุมชนที่น่าอยู่ และ เข้าถึงได้ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยบริเวณนอกเมือง ที่มีความสงบและเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบโครงสร้างพื้นฐานและการดูแลสุขภาพครบครัน แต่ยังสามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวกสบาย” นางประวีรัตน์ กล่าว
บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT ปลื้มถูกจัดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ให้เป็นหุ้นดี ROE สูงกว่า 15% ต่อเนื่อง 3 ปีเฉลี่ย 56.98% ย้ำให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการใหม่ ๆ ทุกช่องทางเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม
นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจประมูลทรัพย์สินบริษัทฯ มีการพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ AUCT ถูกจัดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่มี ROE (Return on Equity) หรืออัตราผลตอบแทนสูงกว่า 15% ต่อเนื่อง 3 ปี (2565-2567) เนื่องจากสามารถทำกำไรจากเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นถึง 56.98% เนื่องจากสหการประมูลได้จัดกิจกรรมประมูลต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และพัฒนารูปแบบบริการให้อยู่ในความพึงพอใจของลูกค้าตลอดเวลา
“บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้า ทั้งในส่วนของไฟแนนซ์ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินและลูกค้าที่เป็นผู้ประมูลซื้อรถยนต์ เช่น จัดให้มีการประมูลทุกวัน ทั้งที่สำนักงานใหญ่ สาขารังสิต และสาขาต่าง ๆ ทุกภูมิภาค รวมทั้งการพัฒนาบริการ “AUCT Application” เพื่อเพิ่มความสะดวกในการค้นหารถยนต์และสามารถดูรายการได้ และการพัฒนาระบบการประมูลออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าสามารถประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้ทั่วประเทศ โดยลูกค้าสามารถใช้บริการขนย้ายรถยนต์ที่ประมูลได้โดยไม่ต้องเดินทางมารับด้วยตนเอง รวมทั้งบริการอื่น ๆ ที่สร้างรายได้เพิ่ม” นายสุธีกล่าวและเปิดเผยเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังบริการประมูลอสังหาริมทรัพย์ทุกวันศุกร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน และประมูลทรัพย์สินอื่น ๆ ให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
นายสุธีกล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดสหการประมูลมีแผนเปิดให้บริการสถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ. โดยเริ่มจากบริการด้าน พ.ร.บ. ต่อภาษี และประกันภัยรถยนต์ทุกประเภท เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและปลอดภัยสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์กับสหการประมูล สามารถซื้อ พ.ร.บ. และประกันภัยได้ ซึ่งถือว่าเป็นบริการครบวงจรที่ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย นอกจากนี้แล้วที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ร่วมกับไฟแนนซ์จัดกิจกรรมประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เช่น การประมูลรถคัดพิเศษหรือการประมูลรถสภาพนางฟ้า ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมทั้งการจัดอีเว้นท์ประมูลต่าง ๆ ที่จัดขึ้นทั้งส่วนกลางและสาขาต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวน 13 สาขา โดยเฉพาะสาขาที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค เช่น สาขาสุราษฎร์ธานี สาขานครราชสีมา สาขาเชียงใหม่ สาขาระยอง ที่มียอดการประมูลดีต่อเนื่อง สำหรับการประมูลรถยนต์ รถจักรยานยนต์ อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินต่าง ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.auct.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-033-6555
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ “ทีทีบี” ดำเนินการเข้าถือหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ โดยถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 2,998,959,721 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 99.97% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ส่งผลให้ทีทีบีกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การเข้าถือหุ้นในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทีทีบีในการเสริมสร้างศักยภาพด้าน Wealth Ecosystem และขยายขีดความสามารถในการให้บริการ ด้านการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครอบคลุมทุกระดับความเสี่ยงทั้งในประเทศและต่างประเทศให้แก่ลูกค้า
บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต เป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน พร้อมด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง การรวมพลังระหว่างทีทีบีและบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จะช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการ และสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับลูกค้ากลุ่มเดิมของธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต และลูกค้าใหม่ในอนาคต นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านรายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูงท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจและมูลค่าของผู้ถือหุ้นในระยะยาว
สำหรับธุรกรรมการเข้าถือหุ้นในครั้งนี้ มีมูลค่าประมาณ 2,062 ล้านบาท ซึ่งทีทีบีจัดหาเงินทุนโดยใช้สภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและฐานะเงินกองทุน ซึ่งทีทีบีเน้นย้ำการคงเงินกองทุนในระดับสูงมาโดยตลอด สะท้อนได้จากอัตราส่วนเงินกองทุนรวมและอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ที่อยู่ที่ 20.5% และ 18.2% เทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ทีทีบีได้เตรียมแผนการเปลี่ยนผ่านอย่างรอบคอบ เพื่อให้การดำเนินงานระหว่างสององค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ โดยหลังจากการเข้าถือหุ้นของธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จะยังคงใช้ชื่อเดิมในการให้บริการ และลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการได้ตามปกติและในทุกช่องทางได้ดังเดิม
การดำเนินการครั้งนี้สำเร็จลุล่วงจากการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากทุกฝ่าย ทั้งนี้ ทีทีบีและบริษัทบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต พร้อมเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย หรือ Make REAL Change ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชันด้านการบริหารความมั่งคั่งในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อยกระดับชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นของลูกค้าอย่างยั่งยืน
ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ได้ออกแถลงการณ์ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับบทความล่าสุดนสื่อที่มีการพาดข่าวด้วยหัวข้อ “บำรุงราษฎร์ ซวนเซ! เศรษฐีน้ำมันหายหน้า หุ้นร่วงกว่าครึ่ง” (วันที่ 10 มิถุนายน 2568) โดยเนื้อความที่ออกแถลงการณ์ฺภายใต้การเคารพในบทบาทของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลแก่สาธารณชน แต่ทางผู้บริหารฯ ของโรงยาบาลฯมีความกังวลว่าบทความดังกล่าวมีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและละเลยบริบทที่สำคัญหลายประการ ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รวมถึงภาพรวมของระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย จึงได้ขอนำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วนต่อสาธารณชน ก่อนการไปสู่บทสรุปและการตัดสิน
ทั้งนี้ ทางผู้บริหารฯ ของโรงพยาบาลฯ ได้เผยว่า ตลอดระยะเวลา 45 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำด้านสุขภาพของผู้ป่วยจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ที่มุ่งแสวงหาการรักษาที่มีคุณภาพสูง มีจริยธรรม ความโปร่งใส และมุ่งเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยและครอบครัวกว่า 1.1 ล้านคนที่เลือกใช้การบริบาลของโรงพยาบาลฯ ด้วยความมั่นใจในผลลัพธ์ทางการรักษา คุณภาพความปลอดภัยระดับสากล และ การดูแลแบบเฉพาะบุคคล ความไว้วางใจนี้ทำให้เราได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยเป็นโรงพยาบาลแต่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก” โดยนิตยสาร Newsweek ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี และยังได้รับการรับรองในระดับสากลอีกมากมาย
![]()
การเติบโตอย่างยั่งยืนและฐานผู้ป่วยที่หลากหลาย
ทั้งนี้ ทางผู้บริหารฯ โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ ได้ระบุถึงบทความที่มีการอ้างถึงรายได้จากผู้ป่วยตะวันออกกลางที่ลดลงนั้น ยังขาดข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว รายได้สุทธิจากผู้ป่วยในภูมิภาคตะวันออกกลางในปี 2567 เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19 สะท้อนถึงความผูกพัน ความชื่นชอบและความเชื่อมั่นอันยาวนานของผู้ป่วยต่อรูปแบบการดูแลเฉพาะทางของเรา โดยเฉพาะจากประเทศกาตาร์ที่รายได้เพิ่มขึ้นถึง 558% ในช่วงเวลาเดียวกัน แสดงถึงความเชื่อมั่นในระยะยาวจากภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนที่สะท้อนถึงความเชื่อถือในแบรนด์บำรุงราษฎร์ที่ยังคงมีจากภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังคงหวนกลับมาใช้การบริบาลภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
ในส่วนของข้อมูลในบทความที่ระบุว่า โรงพยาบาลขาดรายได้กว่า 1.3 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 นั้น ยังเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะในความเป็นจริงคือ รายได้ที่ลดลงจากผู้ป่วยตะวันออกกลาง รวมถึงคูเวต มีมูลค่ารวมเพียง 551 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการปฏิรูประบบนโยบายภายในประเทศของคูเวต ไม่ใช่ปัญหาด้านคุณภาพหรือการบริบาลแต่อย่างใด ความเห็นดังกล่าวแสดงถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
และที่สำคัญ ผลกระทบดังกล่าวได้รับการชดเชยจากรายได้ที่เติบโตขึ้นของตลาดตะวันออกกลางประเทศอื่น ๆ และตลาดต่างประเทศ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากผลประกอบการต่อหุ้นที่ยังคงเติบโตเมื่อเทียบปีต่อปี
ในขณะเดียวกัน บทความยังมีการกล่าวอ้างว่า ไม่มีผู้ป่วยจากคูเวตเลย ซึ่งข้อเท็จจริงคือ ประมาณ 30% ของผู้ป่วยชาวคูเวตได้กลับมาใช้บริการของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อีกครั้งในปี 2567 ซึ่งสร้างรายได้กว่า 416 ล้านบาท ขณะที่ผู้ป่วยจากกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงเดินทางมาเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะในอาการที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
นอกจากนี้ บทความยังละเลยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีฐานผู้ป่วยที่หลากหลายจากกว่า 190 สัญชาติ เราเห็นแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่พำนักในไทย ตลอดจนผู้ป่วยจากประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และตลาดต่างประเทศอื่น ๆ
สำหรับในปี 2567 รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยมีการเติบโตขึ้น 46% และจากชาวต่างชาติที่พำนักในไทยเพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยเฉพาะในสาขาที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งล้วนเป็นจุดแข็งของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่ยังคงเป็นผู้นำในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
เราขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า การเปิดเผยตัวเลขรายได้ไตรมาส 2 ปี 2568 ณ เวลานี้ยังไม่เหมาะสม และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้ลงทุน รวมถึงอาจขัดกับข้อกำหนดด้านการกำกับดูแล แต่สิ่งที่เราสามารถยืนยันได้คือ เรายังคงมุ่งมั่นในการดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่ และความมุ่งมั่นนั้นคือแรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดสำคัญต่าง ๆ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังคงยึดมั่นในพันธกิจในการให้บริบาลทางการแพทย์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพสูง และเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เราเชื่อมั่นว่า เมื่อผลลัพธ์ทางคลินิกและประสบการณ์ของผู้ป่วยมาก่อน การเติบโตอย่างยั่งยืนก็จะตามมา ไม่ว่าผู้ป่วยจะมาจากที่ใดในโลกก็ตาม
ความสำเร็จทั้งหมดนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความทุ่มเทของทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ของเรา ซึ่งอยู่แนวหน้าของการวินิจฉัยและรักษา ผู้ป่วยยังคงเลือกโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์สำหรับการรักษาเฉพาะทาง ด้วยความไว้วางใจในความเชี่ยวชาญของแพทย์และคุณภาพของทีมงาน ทั้งในด้านการรักษาและการบริบาลด้วยความเอื้ออาทรและยึดหลักจริยธรรม และความโปร่งใสเสมอมา
![]()
ประเด็นเรื่องราคากับคุณค่าที่แท้จริงของการบริบาล
บทความดังกล่าวมีการเปรียบเทียบราคาชุดตรวจสุขภาพพื้นฐานที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยชุดตรวจสุขภาพระดับเริ่มต้นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีราคาเริ่มต้นที่ 7,000 บาท ไม่ใช่ 16,100 บาทตามที่ระบุไว้ในบทความ ซึ่งความคลาดเคลื่อนนี้อาจเกิดข้อสงสัยต่อความถูกต้องของการวิเคราะห์โดยรวมของบทความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแพ็กเกจตรวจสุขภาพของแต่ละโรงพยาบาลมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งในด้านขอบเขตและการออกแบบ
ในความเป็นจริง ราคาชุดตรวจสุขภาพระหว่างโรงพยาบาลไม่สามารถเปรียบเทียบกันโดยตรงได้ เนื่องจากแต่ละแห่งออกแบบแพ็กเกจตามศักยภาพทางคลินิก เทคโนโลยี และแนวทางดูแลผู้ป่วยของตน แม้ชื่อแพ็กเกจจะใกล้เคียงกัน เช่น “พื้นฐาน”, “ปกติ”, หรือ “ครอบคลุม” แต่รายละเอียดข้างใน การตรวจวินิจฉัย อุปกรณ์ที่ใช้ และความเชี่ยวชาญของแพทย์ก็อาจแตกต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้นำเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างเครื่อง Photon-Counting CT ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้ ซึ่งให้ความละเอียดสูงกว่า พร้อมลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ ส่งผลให้สามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพได้เร็วกว่าด้วยความแม่นยำที่สูงขึ้น สะท้อนถึงแนวทางการดูแลเชิงรุกและความแม่นยำของเรา
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การสรุปว่าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลอื่นมากเพียงเพราะราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพเบื้องต้น โดยไม่พิจารณาคุณภาพ ความลึกซึ้ง และความซับซ้อนของการดูแลรักษาในด้านอื่น ๆ เป็นการมองที่แคบเกินไป โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน แม้ว่าบทความจะให้ความสำคัญกับเรื่องราคาว่าเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของผู้ป่วย แต่กลับละเลยองค์ประกอบสำคัญที่ผู้ป่วยหลายกลุ่มให้ความสำคัญ เช่น ชื่อเสียงและการยอมรับในระดับสากล ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ระดับสูง ความสามารถในการรักษาโรคที่ซับซ้อน ผลลัพธ์การรักษาที่พิสูจน์ได้ และบริการที่ออกแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างคุณค่าที่จับต้องได้ให้กับผู้ป่วยจำนวนมาก แม้ว่าผู้ป่วยบางกลุ่มอาจให้ความสำคัญกับราคา แต่ผู้ป่วยอีกจำนวนมาก รวมถึงผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางส่วนใหญ่ เลือกโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพราะเห็นถึง คุณภาพ คุณค่า และความทุ่มเทในการดูแลรักษา
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังคงยกระดับมาตรฐานของเราอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงและเทียบเคียงผลลัพธ์ทางการรักษากับสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก และบ่อยครั้งสามารถทำผลงานได้เหนือกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล ทั้งในด้านคุณภาพและผลลัพธ์ทางคลินิก
การที่บทความแสดงทัศนะ และมีข้อด่วนสรุปว่าผู้ป่วยจากตะวันออกกลางเปลี่ยนโรงพยาบาลเพราะประเด็นอ่อนไหวด้านราคานั้น อาจไม่สะท้อนถึงพฤติกรรมทั้งหมดของการตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลฯ ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพราะไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบอื่น เช่น ความหลากหลายของความต้องการทางการแพทย์ ความคาดหวัง ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทางวัฒนธรรม และประสบการณ์จนถึงจริตส่วนบุคคล ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจในการเลือกสถานพยาบาลของผู้ป่วยกลุ่มนี้ มากกว่าการมองจากมิติด้านราคาเพียงอย่างเดียว
ความสามารถในการปรับตัวและการเติบโตในอนาคต
ตลอดเวลากว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์สามารถฝ่าฟันความท้าทายทั้งในระดับโลกและในประเทศได้อย่างมั่นคง ด้วยการดำรงในจุดยืนที่ชัดเจน มีความรอบคอบ และการยึดมั่นในพันธกิจในการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย เราเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์การแข่งขัน พัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มใหม่ ๆ อยู่เสมอ รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้เรายังคงเป็นผู้นำในทางสุขภาพในระดับโลก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ไม่เคยหยุดนิ่ง เราพร้อมปรับตัวอย่างยืดหยุ่นและตอบสนองได้ทันสถานการณ์ เพื่อคว้าโอกาสที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วยและเป้าหมายด้านการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของเราภายใต้กรอบความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย (Thai-Saudi CCHI) โดยเราได้เล็งเห็นศักยภาพของความร่วมมือที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ และได้รับเชิญให้เข้าร่วมบรรยายในสัมมนาด้านสุขภาพ ณ กรุงริยาด ขณะนี้ เราอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสูงเพื่อให้บริการแก่ผู้ป่วยชาวซาอุดีอาระเบียที่มีสิทธิประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นความริเริ่มที่คาดว่าจะสนับสนุนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวของเรา พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับแหล่งรายได้ของเรา
ท้ายที่สุด แม้ว่าเราจะยินดีรับฟังความสนใจจากสาธารณชนและเปิดกว้างต่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ แต่ข้อกล่าวอ้างในบทความเกี่ยวกับผู้ป่วยชาวตะวันออกกลาง การวิเคราะห์ด้านการเงิน และการเปรียบเทียบราคานั้น ยังสะท้อนภาพที่ไม่ครบถ้วน เกี่ยวกับความซับซ้อนของธุรกิจการบริการสุขภาพ และบริบทในระดับมหภาคที่เราดำเนินงานอยู่ การเชื่อมโยงราคาหุ้นของเรากับข้อสันนิษฐานที่นำเสนอในบทความนั้น จึงไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงรองรับ และถือเป็นตรรกะที่คลาดเคลื่อน ซึ่งมองข้ามปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ชื่อเสียงระดับโลก และกลยุทธ์เชิงรุกระยะยาวของบำรุงราษฎร์
เรายังคงยึดมั่นในหลักความโปร่งใส และมุ่งมั่นเพื่อสุขภาวะที่ดีในระยะยาวของผู้ป่วยและชุมชนที่เราให้บริการเสมอมา
เทรนด์สุขภาพและความงามกำลังมาแรง! “NUT” หุ้น IPO น้องใหม่ นำโดยหัวเรือใหญ่ “ภาคิณ กิตติภานุวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย “พุทธิวัฒน์ กิตติภานุวัฒน์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ศิริพร ฉุดพิมาย” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) เดินหน้าเตรียมเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เร็ว ๆ นี้ โดยมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 37 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 30.83 ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท พร้อมปิดท้ายโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลบริษัทให้แก่นักลงทุน ควงคู่ที่ปรึกษาทางการเงิน “วิชา โตมานะ” กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ในวันที่ 21 พ.ค. 2568 เวลา 10.00–12.00 น. ณ ห้องประชุมเสรี จินตนเสรี ชั้น 7 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)