

ปตท. ประกาศอัตราดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้อายุ 7 ปี ที่ 2.50% ต่อปี และหุ้นกู้ Young Saver Bond อายุ 3 ปี ที่ 2.10% ต่อปี โดยการเสนอขายจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกระหว่างวันที่ 5 - 8 กันยายน 2568 สำหรับหุ้นกู้อายุ 3 ปี เฉพาะนักลงทุนรุ่นเริ่มออม และหุ้นกู้อายุ 7 ปี เฉพาะผู้ถือหุ้นกู้เดิมที่ได้รับสิทธิ และช่วงที่สองระหว่างวันที่ 10 - 11 กันยายน 2568 เสนอขายหุ้นกู้อายุ 7 ปี ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ
ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนโครงการเพื่อสังคมต่างๆ อาทิ การพัฒนาการเกษตรและทรัพยากร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายสินค้าชุมชน และช่วยเหลือเกษตรกรในสถานการณ์ผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด สะท้อนการให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจควบคู่ความรับผิดชอบต่อสังคม มั่นใจได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ที่ระดับ AAA(tha) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับตราสารหนี้ที่ออกในประเทศไทย สะท้อนความเสี่ยงต่ำ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนในภาวะเศรษฐกิจผันผวน
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ด้วยการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและฐานะการเงินที่มั่นคง มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 7 ปี ที่ 2.50% ต่อปี และหุ้นกู้ Young Saver Bond อายุ 3 ปีที่ 2.10% ต่อปี จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความมั่นคง มีศักยภาพและโอกาสในการเติบโต รวมถึงดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความยั่งยืน ด้วยผลตอบแทนที่เหมาะสม นอกจากนี้ ปตท. ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสการลงทุน ด้วยการเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี Young Saver Bond ให้แก่นักลงทุนรุ่นเริ่มออม (Young Saver) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเล็งเห็นว่า นักลงทุนรุ่นใหม่จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่มีส่วนขับเคลื่อนกลไกตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศในอนาคต และหวังว่า หุ้นกู้ ปตท. จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างประสบการณ์ด้านการลงทุนที่ดีให้กับนักลงทุนกลุ่มนี้
ปตท. เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของประเทศไทย มีธุรกิจที่ดำเนินการเอง ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจที่ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม เช่น ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ธุรกิจ ปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปการ รวมถึงธุรกิจให้บริการ โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ "ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยสามารถติดตามรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายได้ที่ www.sec.or.th หรือสอบถามข้อมูลผ่านสถาบันการเงินผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่าย
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เผยว่ากระแสตอบรับหลังจัด Roadshow เพื่อนำเสนอข้อมูลหุ้นกู้ให้แก่นักลงทุนสถาบันและสหกรณ์ออมทรัพย์ ได้รับความสนใจอย่างมาก นักลงทุนเชื่อมั่นในพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นภายหลังการควบรวมกับ INTUCH ส่งผลให้ GULF มีธุรกิจที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ได้เเก่ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียม และธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดรับกับเมกะเทรนด์และตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต โดยอันดับเครดิตของหุ้นกู้และองค์กรอยู่ที่ระดับ “AA-” แนวโน้ม “Stable” คาดเสนอขายผ่าน 10 สถาบันการเงิน วันที่ 30 กันยายน และ 1 - 2 ตุลาคม 2568
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า จากที่บริษัทฯ ได้จัด Roadshow เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจ และผลประกอบการของบริษัทฯ รวมถึงข้อมูลหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกเสนอขายเป็นครั้งแรกภายใต้บริษัทใหม่หลังการควบรวมกิจการกับ INTUCH ให้กับนักลงทุนสถาบันและสหกรณ์ออมทรัพย์ นั้นได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในการเข้าร่วมรับฟังข้อมูล
“ภายหลังการควบรวมกับ INTUCH นอกจากจะเป็นการสร้างศักยภาพร่วมกันระหว่างธุรกิจพลังงานและธุรกิจดิจิทัลแล้ว ยังเพิ่มความแข็งแกร่งในด้านฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดที่มั่นคงมากขึ้น อีกทั้งยังขยายฐาน Asset, Equity และ EBITDA ให้แข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้ leverage ratio ต่ำลง ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคตด้วย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินกล่าว
หุ้นกู้ที่ GULF เสนอขายในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 3 ปี เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ที่มิใช่บุคคลธรรมดา และหุ้นกู้อายุ 5 ปี อายุ 7 ปี และอายุ 10 ปี เสนอขายประชาชนเป็นการทั่วไป โดยหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ที่ระดับ “AA-” แนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่”
![]()
ทั้งนี้ GULF ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding Company ประกอบด้วย ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียม และธุรกิจดิจิทัล
ในส่วนของธุรกิจพลังงาน GULF เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนชั้นนำของประเทศ ที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและจากพลังงานหมุนเวียน รวมไปถึงธุรกิจก๊าซ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่มีความสำคัญต่อการผลิตไฟฟ้า ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศไทย
ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ GULF มีโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) หลายโครงการ โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน – นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) ในส่วนการดำเนินงานและการบำรุงรักษา (Operation & Maintenance : O&M) และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1)
ธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียม GULF ถือหุ้น 40.4% ในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) ซึ่งรู้จักกันดีภายใต้แบรนด์ AIS ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยี และยังถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 40% ในบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (THCOM) ผู้นำในการให้บริการด้านโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมของประเทศไทย
ธุรกิจดิจิทัล GULF ร่วมกับ Singtel และ ADVANC ลงทุนในธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย สำหรับธุรกิจ Cloud นั้น ปัจจุบัน GULF ร่วมกับ AIS พัฒนาธุรกิจการให้บริการทั้ง public cloud และ private cloud โดยร่วมกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Oracle และ Google โดย Oracle Alloy เป็นระบบ public cloud ในขณะที่ Google Distributed Cloud air-gapped เป็นระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นทางภาครัฐ เอกชน และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม นอกจากนี้ GULF ยังให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยร่วมมือกับ Binance ลงทุนใน GULF Binance เพื่อให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับกระแส Blockchain Technology ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ GULF มุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมที่จะขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมที่ไม่มีข้อจำกัด ด้วยการขยายการลงทุนไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ยังสามารถก้าวไปได้ไกลในต่างประเทศ โดยความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจไทยจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจสู่ระดับสากล
การเติบโตของ GULF ได้สะท้อนผ่านผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2568 (ข้อมูลทางการเงินเสมือน) โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 32,344 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (core profit) 6,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.91% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งมีกำไรจากการดำเนินงานที่ 4,932 ล้านบาท
สำหรับวันที่คาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้ GULF คือวันที่ 30 กันยายน และวันที่ 1-2 ตุลาคม 2568 โดยผู้ที่สนใจจองซื้อสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นกู้ได้ที่ www.sec.or.th หรือสอบถามผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปฯ Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ krungsri app สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย
(ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์)
- ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 1428 กด #4 (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต)
- ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555
- บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร)
- บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
ก.ล.ต. อนุมัติแบบไฟลิ่งเสนอขายหุ้นกู้บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2570 อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.40 ต่อปี ชนิดระบุผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 150 ล้านบาท พร้อมแต่งตั้ง Bluebell และ MPS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ กำหนดวันจองซื้อ 22–24 กรกฎาคม 2568 เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพ และ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนโดยการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมตามกำหนดก่อนเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2570 ชนิดระบุผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 150 ล้านบาท จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่
![]()
ด้านวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อใช้ในการลงทุนสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทั้งในส่วนของการก่อสร้างบ้าน และ ก่อสร้างระบบสาธารณูโภค โดยทั้งหมดเป็นโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งปัจจัยสนับสนุนในด้านความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของเมือง ที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน สถานพยาบาล และ ธุรกิจการดูแลสุขภาพครบครัน อีกทั้งเพื่อเป็นเงินค่าใช้จ่ายในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายตัวอย่างยั่งยืนของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายจำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีช่วงจองซื้อระหว่างวันที่ 22–24 กรกฎาคม 2568 และเสนอขายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมแผนการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ก่อนการเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ จากความสามารถในการบริหารต้นทุนและกระแสเงินสดอย่างรัดกุม อีกทั้งยังมีทรัพย์สินเพื่อสภาพคล่องสำรองที่พร้อมใช้ในกรณีจำเป็น เช่น ที่ดินทำเลคุณภาพจากแผนการลงทุนของบริษัทฯ ซึ่งสามารถพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าหรือจำหน่ายเพื่อเสริมสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่พึ่งพาการออกหุ้นกู้ชุดใหม่แต่อย่างใด
KUN ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบบนทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น บางบัวทอง, พระราม 2 และ รังสิต ซึ่งเป็นทำเลต่อเนื่องจากการขยายตัวของเมือง และ เชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมหลัก โดยบริษัทฯมองเห็นโอกาสนี้ล่วงหน้าและวางแผนการลงทุนที่ดินในระยะยาว สามารถสร้างเพิ่มศักยภาพในการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีโครงการที่บริษัทกำลังพัฒนา ได้แก่ โครงการคุณาลัย เพอร์ร่า, โครงการนาวาร่า พระราม 2, โครงการนาวาร่า รังสิต – คลอง 2 ซึ่งได้รับความสนใจจากตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงถึง 35–40% อีกทั้งยังมีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณด้านหน้าโครงการ เพื่อสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มเติมในระยะยาว
“บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในลักษณะ ‘สร้างเมือง สร้างชุมชน’ โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และ มีความคุ้มค่าในลงทุน ซึ่งบ้านทุกหลังของ KUN จะไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในชุมชนที่น่าอยู่ และ เข้าถึงได้ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยบริเวณนอกเมือง ที่มีความสงบและเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบโครงสร้างพื้นฐานและการดูแลสุขภาพครบครัน แต่ยังสามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวกสบาย” นางประวีรัตน์ กล่าว
หลังประกาศแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า “วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง” ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของไทย ก็ปั้นโครงการใหม่ไว้ในมือพร้อมเข้าร่วมการประมูลกับภาครัฐ ตามเป้าหมายร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศ ซึ่งล่าสุดก็ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้ามาเพิ่มเติมอีก 4 โครงการ ขนาดรวม 299 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ ในช่วงปี 2570-2573 จึงได้เริ่มจัดสรรแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจต่อไป หนึ่งในนั้น คือ การออกหุ้นกู้ WEH ครั้งที่ 1/2568 ที่เสนอขายแล้วเมื่อวันที่ 17 – 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา มียอดจองทะลุ 500 ล้านบาท มากกว่าแผนงานที่เตรียมไว้ โดยจะนำเงินลงทุนทั้งหมดไปใช้รองรับการขยายกิจการ ลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ และสำหรับการกู้ยืมหรือชำระหนี้ภายในกลุ่มบริษัท และเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น เพื่อเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ก.ล.ต. อนุมัติแบบไฟลิ่ง เตรียมเสนอขายหุ้นกู้บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งที่ 1/2568 อายุ 2 ปี 7 เดือน อัตราดอกเบี้ย 7.15% ต่อปี เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 17-19 มิ.ย.นี้ เผยตัวเลขผลประกอบการ สภาพคล่องแข็งแกร่ง หนี้สินต่ำ พร้อมเดินหน้าขยายโครงการใหม่ต่อเนื่อง หลังบรรลุเป้าหมายขยายกำลังการผลิตแตะ 1,000 เมกะวัตต์
นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมอันดับ 1 ของไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งที่ 1/2568
โดยหุ้นกู้ชุดดังกล่าวมีอายุ 2 ปี 7 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2571 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายแก่กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ในช่วงระหว่างวันที่ 17-19 มิ.ย. 2568 และออกตราสารหุ้นกู้ในวันที่ 20 มิ.ย. 2568
วัตถุประสงค์ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อใช้สำหรับการลงทุนในโครงการอื่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นการขยายกิจการ และลงทุนในโครงการใหม่ รวมถึงเพื่อเป็นเงินสำหรับการให้กู้ยืมเงิน หรือ ชำระหนี้ภายในกลุ่มบริษัท อีกทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น
![]()
นายณัฐพศิน กล่าวว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง มีรายได้รวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท ติดต่อกัน 5 ปี มีกำไรสุทธิมากกว่า 5,000 ล้านบาท มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่า 9,000 ล้านบาท ติดต่อกัน 4 ปี และมีหนี้สินในระดับต่ำ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ในปี 2567 อยู่ที่ 0.74 เท่า และลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 0.71 เท่า ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 1.4 เท่า
“จากกระแสเงินสดที่บริษัทฯ สร้างได้อย่างแข็งแกร่ง บริษัทฯ สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างดีเยี่ยม โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ชำระหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (IBD) รวมกว่า 14,200 ล้านบาท หรือเฉลี่ยมากกว่า 4,700 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) จึงอยู่ในระดับต่ำ และลดลงต่อเนื่อง ปี 2565-67 อยู่ที่ 1.29 เท่า 0.98 เท่า และ 0.71 เท่า ตามลำดับ”
ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการพลังงานลมที่เปิดดำเนินการแล้ว 8 แห่ง กำลังการผลิตติดตั้ง 717 เมกะวัตต์ และมีโครงการใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกจากภาครัฐจำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งตามสัญญา 299 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ช่วงปี 2570 – 2573 เมื่อแล้วเสร็จจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,016 เมกะวัตต์
“บริษัทฯ ได้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2564 ว่าภายใน 5 ปี จะดำเนินการขยายกำลังการผลิตจาก 717 เมกะวัตต์ เพิ่มให้ถึง 1,000 เมกะวัตต์ จากนี้จะเดินหน้าตามแผนการขยายธุรกิจ โดยเข้ายื่นประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ ในทุกรอบที่ภาครัฐเปิดประมูล ภายใต้เป้าหมายระยะยาวคือ เพิ่มกำลังการผลิตไปให้ถึง 2,000 เมกะวัตต์ และ เพิ่มระดับรายได้ที่ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2580 สอดคล้องกับกรอบเวลาของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยปี 2567-2580 (PDP2024)”
ทั้งนี้ หุ้นกู้ WEH ครั้งที่ 1/2568 จะเสนอขายผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยมี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ และ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้