December 05, 2025

Nium ผู้นำระดับโลกด้านบริการชำระเงินระหว่างประเทศแบบเรียลไทม์ ได้ประกาศเข้าร่วมโครงการนำร่องใหม่ของวีซ่า คือการทดลองให้พาร์ทเนอร์ที่ได้รับเลือกอย่าง Nium สามารถให้บริการชำระเงินผ่านวีซ่าด้วยสเตเบิลคอยน์ได้โดยตรงผ่านระบบบล็อกเชนที่รองรับการนำสเตเบิลคอยน์มาใช้ในระบบของ Nium ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับการโอนเงินระหว่างประเทศให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งจะทำให้การชำระเงินมีทั้งความรวดเร็วยิ่งขึ้น ปลอดภัยกว่าเดิม และยังสามารถตั้งโปรแกรมหรือกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินล่วงหน้าได้อีกด้วย

การเข้าร่วมโครงการกับวีซ่าในครั้งนี้ ช่วยต่อยอดศักยภาพให้ Nium อย่างมาก เพราะทำให้การชำระระหว่างประเทศไม่จำกัดเพียงแค่เงินเฟียตอีกต่อไป แต่สามารถรับชำระด้วยสเตเบิลคอยน์ได้โดยตรง รวมถึงเหรียญ USDC ที่ออกโดย Circle ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการชำระเงินดิจิทัลกับวีซ่าที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะเปลี่ยนจากการชำระเงินแบบเก่าที่ต้องรอประมวลผลเป็นรอบ มาเป็นการใช้สเตเบิลคอยน์บนบล็อกเชน ช่วยลดอุปสรรคและลดความล่าช้าในการชำระเงินข้ามพรมแดน อาทิ การงดให้บริการในช่วงสุดสัปดาห์ ความล่าช้าจากเขตเวลาที่ต่างกัน และขั้นตอนการกระทบยอดที่ใช้เวลานาน

อเล็กซ์ จอห์นสัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการชำระเงินของ Nium กล่าวว่า "การที่ Nium เข้าร่วมโครงการนำร่องของ วีซ่า ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการเคลื่อนย้ายเงินระดับองค์กร ที่ผ่านมาภาคธุรกิจถูกจำกัดด้วยรอบการชำระเงินที่ขึ้นอยู่กับธนาคาร ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเร็วของการค้าขายทั่วโลก การใช้สเตเบิลคอยน์ชำระเงินกับวีซ่าจะทำให้การจ่ายเงินของเราเร็วเทียบเท่าความเร็วอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่ความเร็วของระบบเดิมๆ อีกต่อไป"

นิชชินท์ สังฮาวี หัวหน้าฝ่ายสกุลเงินดิจิทัล วีซ่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "สเตเบิลคอยน์กำลังจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการโอนเงินในยุคปัจจุบัน โครงการนำร่องของเราถูกออกแบบมาเพื่อให้พาร์ทเนอร์มีศักยภาพในการทำธุรกรรมได้ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ก้าวทันโลกการค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ วีซ่ายินดีที่ได้ขยายความร่วมมือกับ Nium เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้เสริมแกร่งให้กับภาคธุรกิจในระบบนิเวศการเงินต่อไป"

Nium มีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์อยู่แล้ว ทำให้การเข้าร่วมโครงการนำร่องครั้งนี้กับวีซ่าจะช่วยให้ลูกค้าและบริษัทฟินเทคต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกับช่องทางการชำระเงินดิจิทัลที่รวดเร็วยิ่งขึ้นได้เลย โดยไม่ต้องสร้างระบบสเตเบิลคอยน์ของตัวเอง

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากที่วีซ่า และ Nium ได้ทำงานร่วมกันมาหลายปีเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินระหว่างประเทศให้ทันสมัย สำหรับประเทศไทย โครงการนี้จะช่วยเร่งผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วขึ้น ปลดล็อกการทำธุรกิจข้ามพรมแดนและการโอนเงินกลับประเทศ สามารถชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์ที่ รวดเร็ว ไร้รอยต่อ และทำได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

รายงานล่าสุดจาก IDC บริษัทวิจัยข้อมูลตลาด ซึ่งจัดทำตามคำสั่งของ 2C2P แพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก และแอนทอม (Antom) คาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตจนมีมูลค่าสูงถึง 11.21 ล้านล้านบาท (หรือราว 325,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2571 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการชำระเงินดิจิทัลและการทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการปลดล็อคเพิ่มโอกาสของธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนให้มากขึ้นกว่าเดิม

รายงาน “How Southeast Asia Buys and Pays 2025” ในปีนี้ เป็นรายงาน IDC InfoBrief ฉบับที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2564 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 600 รายในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยตรวจสอบภูมิทัศน์การชําระเงินดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งภาพรวมและในแต่ละตลาด ในฐานะที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของโลก แนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับแรงขับเคลื่อนโดยภาคอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยหนุนจากการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

รายงานฉบับนี้สำรวจภูมิทัศน์การชำระเงินดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปในภูมิภาค ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการชำระเงินในแต่ละตลาด รวมถึงข้อมูลเชิงลึกว่าแนวโน้มต่างๆ เหล่านี้จะมีส่วนช่วยพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ และวางรากฐานสำหรับโอกาสการเติบโตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตได้อย่างไรบ้าง?

ประเด็นสำคัญจากรายงาน:  การทำความเข้าใจภาพรวมของภูมิทัศน์การชำระเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างครบถ้วน เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงเศรษฐกิจที่มีมูลค่าถึง 11.21 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงตลาดท้องถิ่นจำเป็นต้องนำเสนอวิธีการชำระเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับประสบการณ์โดยรวมของผู้บริโภค แต่ยังเพิ่มแนวโน้มในการซื้อสินค้า (conversion rate) อีกด้วย

· การเติบโตของการชำระเงินดิจิทัลในอีคอมเมิร์ซ: คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 การชำระเงินดิจิทัลจะมีสัดส่วนถึง 94% ของการชำระเงินทั้งหมดในตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการเติบโตที่สำคัญที่สุดจะเป็นช่องทางการชำระเงินภายในประเทศ (97.9%) และกระเป๋าเงินดิจิทัล (94.9%) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคที่มีการใช้บัตรเครดิตน้อยกว่า

· การเพิ่มขึ้นของการชำระเงินแบบเรียลไทม์ (RTPs): การชำระเงินแบบเรียลไทม์จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2571 โดยคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 379.5 ล้านล้านบาท (หรือราว 11 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งเริ่มเห็นการเติบโตของ RTPs อย่างชัดเจนแล้วในสิงคโปร์ เช่น PayNow เป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับสาม จากผลสำรวจผู้ค้าในปี 2567 การเติบโตของการชำระแบบเรียลไทม์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับแรงผลักดันจากโครงการริเริ่มของรัฐบาลที่มุ่งลดการพึ่งพาเงินสดและส่งเสริมวิธีการชำระเงินที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งตอบสนองความต้องการของทั้งผู้บริโภคและผู้ค้า

· กระเป๋าเงินดิจิทัลและช่องทางการชำระเงินภายในประเทศครองความนิยม: กระเป๋าเงินดิจิทัลและช่องทางการชำระเงินภายในประเทศเป็นที่นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2566 กระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ขณะที่ช่องทางการชำระเงินภายในประเทศครองความนิยมในสิงคโปร์ และไทย แนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2567 โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับสองจากผลสำรวจผู้ค้าในสิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ และเป็นอันดับสามในอินโดนีเซียและไทย

นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสำคัญอีกมากมายจากธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

· โอกาสในตลาดของธุรกิจการค้าข้ามพรมแดน: คาดว่าธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่าสูงถึง 5.04 แสนล้านบาท (หรือราว 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2571 ซึ่งนับว่าเติบโตขึ้น 2.8 เท่าจากปี 2566 อีกสิ่งที่น่าสนใจคือมูลค่าเฉลี่ยของการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อผู้บริโภค 1 คนมักจะมีมูลค่าสูงกว่าการทำธุรกรรมภายในประเทศ ยกเว้นที่เวียดนามและอินโดนีเซีย สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในภูมิภาคนี้

· การขับเคลื่อนธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนด้วยโครงการ Regional Payment Connectivity (RPC): ธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากโครงการ RPC ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศทั้ง 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและปรับปรุงระบบชำระเงินระหว่างประเทศให้มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และคุ้มต้นทุนยิ่งขึ้น

· ธุรกรรมข้ามพรมแดนให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น: จากการสำรวจพบว่า 62% ของผู้ค้าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนสามารถทำรายได้จากธุรกรรมดังกล่าวสูงกว่าธุรกรรมภายในประเทศ โดยเฉลี่ย 21% ดังนั้น ผู้ค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้จากการมองหาตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน

· ศักยภาพของการค้าภายในภูมิภาคที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่: แม้ว่าการค้าภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังมีการใช้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควรในแต่ละตลาด ดังนั้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ผู้ค้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ พร้อมทั้งใช้ข้อได้เปรียบร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม ธุรกิจสามารถปลดล็อกศักยภาพของการค้าภายในภูมิภาคและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้

แอกเนส ฉัว (Agnes Chua) กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของ 2C2P กล่าวว่า "ภูมิทัศน์ของ อีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้ค้าต่างตระหนักถึงโอกาสมหาศาลจากการเติบโตนี้ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนรายได้จากอีคอมเมิร์ซ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ เช่น การให้บริการแก่ผู้บริโภค การแก้ไขปัญหา การผสานระบบช่องทางชำระเงิน และปัญหาทางเทคโนโลยี 2C2P ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ โดยนำเสนอโซลูชันการชำระเงินที่ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน เพิ่มศักยภาพให้แก่ธุรกิจการค้าข้ามพรมแดน และขับเคลื่อนการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคนี้ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ค้าสามารถปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง”

แกรี่ หลิว ผู้จัดการทั่วไปของแอนทอม - แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านดิจิทัลคอมเมิร์ซและนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยระบบธุรกรรมที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพในการขยายการเติบโตข้ามพรมแดน และเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แอนทอมมองว่าระบบการชำระเงินไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นตัวเร่งการเติบโตของธุรกิจ เราได้ทำงานร่วมกับ 2C2P และบริษัทอื่นๆ ในเครือข่ายของแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ค้าด้วยการมอบโซลูชันส์ด้านการชำระเงินดิจิทัลที่ครบวงจร ในขณะเดียวกัน ยังค้นหาโอกาสใหม่ๆ ด้านบริการระบบบัญชี การจัดหาเงินทุน และการบริหารการเงินระดับโลก เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต บริษัทของเรายังได้ประสานงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลระดับท้องถิ่นและพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจทุกขนาด ช่วยให้พวกเขาเติบโตท่ามกลางเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง"

ธนาคารกรุงไทยร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023 โชว์ศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ ชูบริการ “PromptBiz” ตอบโจทย์การทำธุรกิจจนถึงซัพพลายเชน และ “เป๋าตัง” ซูเปอร์แอปฯ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน

ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทันสมัยอย่างทั่วถึง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นได้ในทุกวัน โดยธนาคารเข้าร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Building Ecosystem for Responsible Innovation หรือ การพัฒนาระบบนิเวศการเงินดิจิทัลอย่างรับผิดชอบ ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2566 ที่ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ภายในงาน ธนาคารตอกย้ำศักยภาพบริการทางการเงินดิจิทัลด้วยแนวคิด "Empower Infinite Innovation for All Thais" โดยนำเสนอบริการ “PromptBIZ” ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม Krungthai BUSINESS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการทำธุรกรรมการค้าและการชำระเงินรูปแบบดิจิทัล ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้ในที่เดียว ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน จัดการเอกสารการค้าได้ครบวงจร พร้อมจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการทำรายการหักและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องออก 50 ทวิให้กับคู่ค้า ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวก รวดเร็วภายใต้ต้นทุนที่เป็นธรรม

ธนาคารยังนำเสนอศักยภาพของ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซูเปอร์แอปฯ ที่ถูกพัฒนาเป็น Thailand Open Digital Platform เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนใช้บริการได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ ผ่าน G-Wallet และปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ทั้งการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ผ่านบริการ “วอลเล็ต สบม.” บริการซื้อขายหุ้นกู้ดิจิทัล บริการซื้อขายทองคำ ผ่าน “Gold Wallet” พร้อมบริการด้านสุขภาพ ผ่าน “Health Wallet” เชื่อมต่อกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ให้ประชาชนตรวจสอบและเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ

นอกจากนี้ บริษัท อะไรส์ บาย อินฟินิธัส จำกัด (Arise by Infinitas) องค์กรสำหรับคนดิจิทัล ได้นำเสนอโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาตนเอง ด้วย Program Talent Incubator ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับคนไทยทั้งประเทศ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยให้คนไทยมีประสบการณ์การใช้บริการดิจิทัลที่ดี ภายใต้แนวคิด Make Digital Life Possible for ALL

 เนื่องในวันการกุศลสากล Binance Charity หรือหน่วยงานการกุศลของ Binance ผู้นำบล็อกเชนอีโคซิสเต็ม (Blockchain Ecosystem) ระดับโลก ได้เผยผลสำรวจล่าสุดจากผู้คนกว่า 1,126 ราย ที่มาจากตัวแทนของผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Binance และสาธารณชนในวงกว้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของการบริจาคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อเป็นแนวทางให้กับ Binance Charity ในการริเริ่มสิ่งใหม่ที่สอดคล้องกับความคิดเห็นและความต้องการของสาธารณชนในด้านการกุศลได้ดียิ่งขึ้น

ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ

● ถึงแม้ว่าการบริจาคด้วยวิธีดั้งเดิม อย่างเช่น การใช้เงินสด เช็ค และบัตรเครดิต จะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยคิดเป็น 43% ของผู้ตอบแบบสอบถาม แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนอีก 32% ได้ให้คำตอบว่าพวกเขาชื่นชอบที่จะทำการกุศลด้วยการบริจาคเหรียญคริปโตมากกว่า

● การสำรวจยังเผยให้เห็นถึงรากฐานอันแข็งแกร่งของการบริจาคและการทำการกุศลด้วยคริปโต เพราะถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่กว่า 71% จะยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริจาคสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการกุศล อย่างไรก็ตาม อีกกว่า 29% ของผู้ตอบแบบสอบถามนั้นได้เริ่มนำแนวทางใหม่ในการบริจาคมาใช้แล้ว

· ผู้ตอบแบบสอบถามได้ชี้ให้เห็นถึง 3 จุดแข็งหลักของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทำให้คริปโตได้รับความนิยมยิ่งขึ้น โดยกว่า 37% ได้กล่าวชมความสามารถในด้านความโปร่งใส 32% ชื่นชอบประสิทธิภาพต่างๆ ซึ่งรวมถึงความคุ้มค่าของเหรียญคริปโต นอกจากนี้กว่า 28% ได้มองเห็นความสามารถอันแสนเฉพาะตัวของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มอบความเชื่อมั่นให้กับผู้บริจาค เนื่องจากพวกเขาสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินได้ด้วยตนเองอีกด้วย

● ผลการสำรวจของ Binance Charity ยังได้เผยให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้คนในการเลือกสนับสนุนกองทุนการกุศลต่างๆ ดังนี้

o ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ: ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 27% ยืนยันอย่างชัดเจนว่าการมีจริยธรรมและการรายงานแบบเปิดถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่สามารถสร้างความเชื่อใจให้กับผู้บริจาคได้

o วัตถุประสงค์ขององค์กรการกุศล: เกือบ 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามร่วมบริจาคเพราะพันธกิจขององค์กร ซึ่งสิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนนั้นมีพลังในการดึงดูดผู้คนได้อย่างมหาศาล

o ผลกระทบทางสังคม: ผู้คนกว่า 18% ให้ความสนใจในด้านผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับ ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเช่นทุกวันนี้

● เมื่อลงรายละเอียดถึงประเภทองค์กรการกุศลที่ผู้คนให้ความสนใจ ผลสำรวจได้ชี้ให้เห็นว่า

o การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม: 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามตระหนักถึงความสำคัญของการมอบความช่วยเหลือให้กับผู้คนที่ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีใน

o การศึกษา: 20% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีความปรารถนาที่จะช่วยยกระดับสังคมผ่านการให้ความรู้และการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส

o ด้านสุขภาพ: 19% เล็งเห็นถึงการมอบโอกาสทางสุขภาพเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสนับสนุนด้านการศึกษา

· นอกจากนี้ ผลสำรวจยังได้แสดงให้เห็นถึงระดับการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในด้านการกุศล โดยพบว่าผู้คนส่วนใหญ่กว่า 51% จะเข้าร่วมงานการกุศลเมื่อมีเวลาและทรัพยากรที่เอื้ออำนวย ในขณะที่ อีกกว่า 20% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่าพวกเขามีความมุ่งมั่นและแสวงหาโอกาสที่จะมอบความช่วยเหลือให้กับผู้ด้อยโอกาสอย่างสม่ำเสมอ

องค์กรการกุศล Binance Charity กับการขับเคลื่อนและส่งต่อพลังอันดีให้กับโลกใบนี้

ผลสำรวจของ Binance Charity ได้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของการบริจาคเพื่อการกุศล ซึ่งสะท้อนถึงกระแสของการนำ คริปโตมาใช้ในบริจาคเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการริเริ่มสิ่งใหม่ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่โลกใบนี้ ซึ่ง Binance Charity จะพยายามนำความสามารถของเทคโนโลยีบล็อกเชนมาพัฒนาและสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านการทำการกุศล ทั้งในด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภาวะฉุกเฉิน การสนับสนุนด้านการศึกษา ไปจนถึงการพัฒนาด้านสาธารณสุข

ที่ผ่านมา Binance ได้บริจาคเงินจำนวน 10 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศยูเครน พร้อมทั้งยังได้เปิดตัวบัตร Binance Refugee Card เพื่อให้การโอนเงินอย่างเร่งด่วนไปยังผู้ที่ต้องการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ถูก และปลอดภัย นอกจากนี้ Binance ยังได้บริจาคเงินโดยตรงกว่า 5 ล้านดอลลาร์ให้กับเหยื่อที่เผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศตุรกีเพื่อช่วยบรรเทาความสูญเสียให้กับเหยื่อเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ Binance Charity ยังได้ริเริ่มโครงการด้านการศึกษา ด้วยการสนับสนุนของ Binance Academy รวมถึงสถาบันการศึกษาและสถาบันอาชีวศึกษาชั้นนำ อย่าง Women in Tech และ Utiva เพื่อมอบทุนการศึกษาด้านเทคโนโลยีและบล็อกเชน รวมถึงการส่งเสริมผู้หญิงในอุตสาหกรรมคริปโตเพื่อช่วยลดช่องว่างที่เกิดขึ้น โดยที่ผ่านมามีผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการดังกล่าวกว่า 57,000 คนจาก 5 ทวีปทั่วโลก

ไม่เพียงเท่านั้น Binance Charity ยังได้บริจาคเงินกว่า 5.7 ล้านดอลลาร์ผ่านแคมเปญ Crypto Against Covid ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อช่วยเหลือด้านสาธารณสุข ผ่านการส่งมอบชุด PPE จำนวนกว่า 2 ล้านชุดและวัคซีนอีกกว่า 500,000 ยูนิตทั่วโลก

Binance Charity ถือเป็นผู้บุกเบิกในด้านการบริจาคคริปโตเพื่อการกุศล พร้อมส่งเสริมและผลักดันให้องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรทั่วโลกยอมรับการบริจาคโดยคริปโตผ่านการใช้งาน Binance Pay หรือ แอปพลิเคชัน DeFi Wallet

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG)

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click