

จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย คว้า 2 รางวัล “แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของไทย” ประจำปี 2025 (Marketeer No.1 Brand Thailand 2025) จาก Marketeer Group สำนักข่าวการตลาดชั้นนำของประเทศ ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคทั้งสาขาแพลตฟอร์มสั่งอาหารเดลิเวอรียอดนิยม (Food Delivery Platform) ซึ่ง GrabFood ได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และสาขาแอปพลิเคชันเรียกรถยอดนิยม (Ride-hailing App) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ งานมอบรางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2025 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 โดย บริษัท มาร์เก็ตเธียร์ จำกัด และ บริษัท มาร์เก็ตติ้งมูฟ จำกัด ภายใต้การนำของศาสตราจารย์วิทวัส รุ่งเรืองผล ภาควิชาการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยและสำรวจความนิยมของผู้บริโภคทั่วประเทศกว่า 6,500 กลุ่มตัวอย่างที่มีต่อแบรนด์ต่างๆ ครอบคลุมใน 11 หมวดผลิตภัณฑ์ เพื่อเฟ้นหา 90 แบรนด์สินค้าและบริการชั้นนำที่ครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ การตลาด ตลอดจนการมีความรับผิดชอบต่อสังคม
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ แกร็บ ประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วย การนำโซลูชัน GrabForBusiness มาใช้ในการจองบริการรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน Grab แอปเรียกรถ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ กฟภ. ในการเดินทางในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการปฏิบัติงานของ กฟภ. ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ผ่านระบบออนไลน์ทั้งยังช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนช่วยยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่มีเทคโนโลยีและมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากล
นายจักรี กิจบัญชา รองผู้ว่าการโลจิสติกส์และบริการองค์กร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ แกร็บ ในการทดลองเปลี่ยนมาใช้ระบบเรียกรถแบบ On-Demand ภายในองค์กร จากเดิมที่ใช้ระบบเช่ารถพร้อมพนักงานขับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งค่าจ้าง และค่าเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง รวมถึงไม่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานจริงที่มักเกิดขึ้นรายวัน การมีทางเลือกบริการของแกร็บนอกจากจะช่วยให้การเดินทางมีความยืดหยุ่น ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นระบบมากขึ้น และตอบโจทย์การใช้งานของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความโปร่งใส่ในองค์กร โดยเราให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้บริหาร และพนักงานปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้มาโดยตลอด โดย การจับมือกับแกร็บในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญขององค์กรภาครัฐในการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล มาใช้ในการเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ และช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น ตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่โปร่งใส”
นางสาวปุณณดา เหลืองอร่าม รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กรและงานโฆษณา แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 12 ปีในประเทศไทย บริการของแกร็บได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คนในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น บริการเรียกรถ บริการสั่งอาหาร-ของใช้ และส่งพัสดุ ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้บริการทั่วไป แต่ยังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าในองค์กรด้วย ดังนั้น แกร็บจึงได้ริเริ่มและพัฒนา GrabForBusiness ซึ่งเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับลูกค้าองค์กร ไม่ว่าจะเป็น การช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น การลดงานเอกสารและลดภาระในการสำรองจ่ายเงินของพนักงาน และการนำเสนอบริการของแกร็บที่มีมาตรฐานทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ แกร็บ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้สามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งานได้อย่างละเอียด ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นได้ในองค์กร”
แกร็บ ซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยข้อมูลและตัวเลขที่สะท้อนความสำเร็จของการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมา ผ่าน “รายงานความยั่งยืนประจำปี 2567” (ESG Report 2024) โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเปิดโอกาสให้คนขับและผู้ประกอบการร้านค้า-ร้านอาหารสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มแกร็บรวมกว่า 1.28 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.2 แสนล้านบาท ) อีกทั้งมีการการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและคนขับรวมกว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท) และมีการผลักดันการใช้ยานยนต์พลังงานสะอาดซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 128,000 ตัน รวมถึงการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกกว่า 936,000 ตันผ่านการจัดซื้อคาร์บอนเครดิต
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปีที่ผ่านมา แกร็บมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลใน 3 มิติหลัก อันได้แก่ ธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามพันธกิจ GrabForGood หรือ ‘แกร็บ…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ สำหรับในประเทศไทย นอกจากเราจะมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว แกร็บยังได้ริเริ่มและต่อยอดโครงการสำคัญต่างๆ โดยมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมการเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อร่วมผลักดันนโยบายลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐ โดยปัจจุบันมีคนขับที่ให้บริการด้วย EV บนแพลตฟอร์มแกร็บแล้วกว่า 10,000 คัน การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในประเทศไทยด้วยการปลูกป่าไปแล้วกว่า 200,000 ต้นจากเงินบริจาคที่ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมในโครงการชดเชยคาร์บอน ตลอดจนการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศด้วยการใช้แพลตฟอร์มของเราเพื่อสร้างโอกาสและรายได้ให้กับคนไทย ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.79 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 1% ของ GDP ประเทศไทย1 ทั้งนี้ เรายังคงเดินหน้าผลักดันโครงการต่างๆ เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรธุรกิจเพื่อร่วมส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง”
ล่าสุด แกร็บได้เผยแพร่ “รายงานความยั่งยืนประจำปี 2567” ซึ่งนำเสนอภาพรวมความสำเร็จในรอบปี พร้อมรายงานความคืบหน้าของโครงการและกิจกรรมด้านความยั่งยืนในหลากหลายมิติ อันได้แก่ การส่งเสริมและสร้างโอกาสให้กับคนในวงจรธุรกิจ (Partner) การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับความปลอดภัยและสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคน (Platform) รวมถึงการดูแลและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม (Planet) โดยมีไฮไลท์สำคัญ ดังนี้

PARTNER: การส่งเสริมและสร้างโอกาสให้กับคนในวงจรธุรกิจ
· คนขับและผู้ประกอบการร้านค้า-ร้านอาหารสามารถสร้างรายได้รวมผ่านแพลตฟอร์มของแกร็บมากกว่า 12.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.2 แสนล้านบาท)* เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า
· คนขับกว่า 99% ทั่วทั้งภูมิภาคมีรายได้ต่อชั่วโมงจากการให้บริการผ่านแพลตฟอร์มของแกร็บเท่ากับหรือสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำรายชั่วโมงของแต่ละประเทศ
· มีผู้ประกอบการรายย่อยหน้าใหม่กว่า 600,000 รายเข้าร่วมให้บริการบนแพลตฟอร์มแกร็บ โดยผู้ประกอบการเหล่านี้มีส่วนสร้างมูลค่าคำสั่งซื้อรวม (Gross Merchandise Value) ของ บริการ GrabFood และ GrabMart คิดเป็นสัดส่วนถึง 67%
· คนขับและผู้ประกอบการรายย่อยได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากแกร็บรวมกว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท)* เพิ่มขึ้นถึง 46% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

PLATFORM: การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับความปลอดภัยและสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคน
· 99.9% ของการให้บริการผ่านแกร็บเป็นไปอย่างปลอดภัย โดยไม่มีรายงานอุบัติเหตุเกิดขึ้น
· แกร็บจัดทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้ความคุ้มครองกับคนขับทุกคนในระหว่างการให้บริการ
· ฟีเจอร์ AudioProtect ที่ช่วยบันทึกเสียงระหว่างการเดินทาง มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2.4เท่า (เปรียบเทียบระหว่างเดือนมกราคมและธันวาคมของปีเดียวกัน)
· คนขับที่เป็นผู้หญิงกว่าครึ่งเลือกใช้ฟีเจอร์ “รับผู้โดยสารหญิงเป็นหลัก” (Women Passenger Preferred) นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นปี 2567
![]()
PLANET: การดูแลและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม
· ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 128,000 ตันจากการส่งเสริมให้คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์คาร์บอนต่ำหรือคาร์บอนเป็นศูนย์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด
· เงินบริจาคจากโครงการชดเชยคาร์บอนถูกนำไปใช้ในการปลูกต้นไม้กว่า 600,000 ต้น และจัดซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมอีกกว่า 936,000 ตัน
· ฟีเจอร์ “งดรับช้อนส้อมพลาสติก” ช่วยลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวไปแล้วกว่า 929 ล้านชุด หรือเทียบเท่าการลดขยะพลาสติกได้มากถึง 8,363 ตัน
· ร่วมมือกับพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อมในการรวบรวมขยะรีไซเคิลจำนวน 384,519 ชิ้น เพื่อเข้าสู่กระบวนการจัดการอย่างถูกต้องและยั่งยืน
และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกประจำปี 2568 แกร็บ ประเทศไทย ยังได้เดินหน้าสานต่อกิจกรรม “GrabForGood” เพื่อส่งเสริมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “From Waste to Wow” เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้การจัดการขยะอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรม เวิร์กชอปที่ตอกย้ำว่า “ขยะ” สามารถกลายเป็น “ทรัพยากรที่มีค่า” ได้ หากได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี โดยได้ร่วมกับกลุ่ม “Paklad Zero Waste” ณ ชุมชนปากลัด อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชุมชนต้นแบบด้านการคัดแยกและรีไซเคิลขยะที่แข็งแกร่ง มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางขับเคลื่อนการจัดการขยะในชุมชนอย่างยั่งยืน พร้อมจัดเวิร์กชอปแปรรูปกระดาษใช้แล้วให้กลายเป็นประติมากรรมกระดาษที่สามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ให้กับชุมชนได้จริง นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับกลุ่ม “ผักDone” วิสาหกิจเพื่อสังคมที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการขยะอินทรีย์ มาร่วมแนะนำวิธีเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยหมักอินทรีย์ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ที่บ้านได้ด้วยตนเอง
ไม่มีใครวางแผนที่จะเป็นหนี้ และไม่มีใครที่อยากจะเริ่มต้นใหม่ตอนอายุเกือบ 50 แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เรามีเวลาตั้งตัวเสมอไป สำหรับบางคน วันที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน และไม่มีใครให้พึ่งพิง คือวันที่พวกเขาต้องเลือกว่าจะ “ยอมแพ้” หรือ “ลุกขึ้น” แต่สำหรับ พี่ฮาท และ พี่อ้อ พวกเขาเลือกที่จะลุกขึ้น แม้ไม่มีอะไรอยู่ในมือเลยก็ตาม นอกจากความตั้งใจและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น

เริ่มจากศูนย์ สู่เทพแห่งเดลิเวอรี
พงษ์ศักดิ์ คันธโชติ หรือ “พี่ฮาท” คนขับ GrabFood วัย 50 ปี จากโคราช ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เขาคือหัวหน้าครอบครัวที่เคยต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่หนักหนาในชีวิต โดยก่อนหน้านี้ พี่ฮาทเคยทำงานในต่างประเทศ ทั้งลาวและเกาหลีใต้ มีรายได้ประมาณ 45,000 ต่อเดือน ซึ่งเพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่ลำบาก แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 รายได้ที่เคยมีกลับหยุดชะงัก ในช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินมากที่สุดในชีวิต กับการส่งลูกสาวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงไม่ใช่น้อย
“ตอนนั้นผมเครียดมากเลยครับ รายได้หายไปหมด ไม่มีเงินเข้ามาเลย ในขณะที่รายจ่ายยังรออยู่เต็มไปหมด ตอนนั้นคิดแค่ว่า จะทำอะไรก็ได้ให้มีรายได้เข้ามาก่อน” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเริ่มขับแกร็บตามคำแนะนำจากคนใกล้ตัว
“ผมเริ่มขับแกร็บครั้งแรกในวันครอบครัว (14 เมษายน) ยังจำออเดอร์แรกได้ไม่เคยลืม ต้มเลือดหมูเจ๊บ๊วย แถวสี่แยกคลองเตย ซึ่งจากตอนแรกคิดแค่ว่าจะลองขับเล่นๆ แต่สุดท้ายการขับแกร็บกลับกลายเป็นอาชีพหลักในการหารายได้ที่สามารถช่วยให้เราหาเลี้ยงครอบครัวได้จริง” พี่ฮาทกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พอเริ่มขับแกร็บ รายได้ก็เริ่มเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่มากในช่วงแรก แต่ก็พอให้พี่ฮาทตั้งหลักได้ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของลูกก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้ พี่ฮาทจึงได้ลองมองหาทางกู้เงินมาเสริม แต่ก็เจอแต่ปัญหาเดิมๆ อย่าง ไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ ไม่มีสลิปเงินเดือนตามที่ธนาคารต้องการ จะหันหน้าไปพึ่งพาญาติและคนรู้จักก็รู้สึกลำบากใจ จนสุดท้ายเขาได้รู้จักกับ “Grabการเงิน” ที่ให้คนขับอย่างเขามีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเนื่องจากมีข้อมูลการให้บริการอยู่แล้วในระบบ
“ไม่ถึง 5 นาที เงินก็เข้าเลยครับ ไม่ต้องมีเอกสารอะไรเพิ่ม เพราะแกร็บมีประวัติของเราครบถ้วนอยู่แล้ว” เขาได้รับสินเชื่อเงินสดกว่า 40,000 บาท ซึ่งกลายมาเป็นทุนหมุนเวียนใช้ในการทำงาน จ่ายค่าเทอมลูก ค่าครองชีพรายเดือน และเป็นทุนสำรองยามฉุกเฉิน

พี่ฮาทไม่เคยปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เขารับงานอย่างสม่ำเสมอ วิ่งงานเต็มที่ทุกวัน และตั้งใจให้บริการให้ดีที่สุด จนสามารถไต่ระดับเป็น “เทพแกร็บไบค์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูงสุด) ซึ่งทำให้เขาได้สิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น ทั้งส่วนลดอัตราดอกเบี้ยจาก Grabการเงิน ประกันรถมอเตอร์ไซค์ และประกันอุบัติเหตุ รวมไปสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย ที่มาคอยช่วยสนับสนุนคนขับ

"ขอแค่เรามีวินัย ขยัน และวิ่งงานให้สม่ำเสมอ อยู่ให้ถูกจุด ถูกที่ ถูกเวลา ออเดอร์ก็จะเยอะขึ้น และเป้าหมายก็จะชัดเจนขึ้นเอง” พี่ฮาทเล่าอย่างภาคภูมิใจพร้อมทิ้งท้ายว่า
“ตอนนี้ลูกผมเรียนจบหมอแล้วครับ สำหรับคนเป็นพ่อ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว”

ขับลุยทุกเส้นทาง เพื่อให้บ้านมีรอยยิ้ม
อีกหนึ่งเรื่องราวจาก ชุติกาญจน์ เผ่าผาง หรือ “พี่อ้อ” วัย 45 ปี คุณแม่ลูกหนึ่งจากกรุงเทพฯ ที่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อครอบครัวในวันที่ชีวิตเริ่มติดขัด ภาระค่าใช้จ่ายในบ้านสูงขึ้น งานประจำไม่มั่นคง และหนี้นอกระบบเริ่มก่อตัว สิ่งเดียวที่เธอเชื่อในตอนนั้น คือ เธอต้องลุกขึ้นมา “เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเอง”
ก่อนหน้านี้ พี่อ้อเคยทำงานเป็นพนักงานบัญชีในร้านทองมานานกว่า 10 ปี แต่เมื่อกิจการเริ่มขาดทุน ร้านจำเป็นต้องปลดพนักงานเกือบทั้งหมด เธอจึงผันตัวมารับงานบัญชีแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งพอเลี้ยงตัวเองได้ แต่ยังไม่พอสำหรับบ้านที่มีทั้งคุณแม่ พี่ชาย และลูกชายคนเดียวของเธอ
“รายได้ประจำไม่พอแน่ค่ะ ทั้งค่าเทอมลูก ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว บางเดือนถึงกับต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบมาใช้จ่าย” พี่อ้อกล่าว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเริ่มขับแกร็บเป็นอาชีพเสริมในช่วงปลายปี 2566 เพราะไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เชื่อถือได้ และสามารถจัดสรรเวลาทำงานเองได้หมด รายได้จากการวิ่งงานช่วยให้พี่อ้อสามารถประคองสถานการณ์ด้านการเงินในแต่ละเดือนได้มากขึ้น
แต่พอถึงช่วงเปิดเทอม พี่อ้อรู้ทันทีว่ารายได้ตอนนี้อาจไม่พอรับมือกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่กำลังมาถึง อีกทั้งยังมีหนี้นอกระบบราว 50,000 บาท ที่ยังต้องจ่ายค่อยดอกเบี้ยอีก พี่อ้อเลยตัดสินใจขอสินเชื่อกับ Grabการเงิน “เรามั่นใจว่าเราผ่อนได้แน่ๆ เพราะเราขับแกร็บอยู่แล้ว และเนื่องจากมีระบบแบบหักรายวัน เราจึงเชื่อว่าเราใช้หนี้หมดได้แน่นอน”

การขับแกร็บควบคู่กับงานบัญชี ช่วยให้พี่อ้อสามารถปลดหนี้นอกระบบได้หมดภายใน 3-4 เดือน ความคล่องตัวทางการเงินก็กลับคืนมา โดยมีรายได้จากแกร็บเป็นแรงหนุนหลักที่ช่วยให้บ้านหลังนี้ผ่านช่วงเวลาที่ยากๆ มาได้
พี่อ้อแบ่งเวลาจากงานบัญชีฟรีแลนซ์มาขับแกร็บทุกวัน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปจนถึงราวบ่ายโมงของทุกวัน จากนั้นจึงกลับไปทำงานบัญชีต่อในช่วงบ่ายถึงค่ำ ด้วยวินัยและการวางแผนที่ชัดเจน ทำให้พี่อ้อสามารถจัดการทั้งเรื่องรายได้และเวลาได้อย่างลงตัว รวมไปถึงการไต่ระดับผู้ขับขี่เป็น “เซียนแกร็บคาร์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูง) ได้สำเร็จ
พี่อ้อยังได้พูดถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจากการเป็นเซียนแกร็บคาร์ ที่รวมทั้งบัตรเติมน้ำมันฟรี หรือการผ่อนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ “การขับแกร็บช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้เสริมและมีสิทธิประโยชน์ที่ดี อีกทั้งยังถือเป็นอาชีพที่ปลอดภัยมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างเรา” พี่อ้อกล่าว
จากวันที่เคยกังวลว่าจะเลี้ยงครอบครัวไหวไหม วันนี้พี่อ้อมีคำตอบแล้วว่า...ไหว และไปต่อได้อีก “อยากบอกทุกคนที่มองหาอาชีพเสริม หรือรายได้ที่มั่นคง ว่าการขับแกร็บคือโอกาสที่เราสามารถคว้าไว้และจัดการได้ด้วยตัวเอง
เพราะต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน ทำให้หลายคนอาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว เพื่อพาตัวเองก้าวสู่ความสำเร็จ เหมือนเช่น “น้องกิ่ง” กัญญารัตน์ สีแดงน้อย สาวน้อยวัย 25 ปี ที่เคยต้องหยุดเรียนกลางคันเพราะปัญหาทางด้านการเงิน ชีวิตเคยมืดมนจนมองไม่เห็นอนาคต แต่แล้วก็ได้รู้จักกับ “แกร็บ” ที่เข้ามาเป็นแสงสว่างให้เธอมีรายได้เลี้ยงชีพ และเป็น “สะพาน” ที่พาเธอกลับเข้าสู่เส้นทางการศึกษา จนจบชั้นอนุปริญญาได้สำเร็จ
เมื่อความฝันต้องพักไว้ เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
“น้องกิ่ง” ชาวอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวที่ทำอาชีพรับจ้าง ด้วยชีวิตที่ยากลำบากและฐานะทางบ้านที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้พ่อแม่มีกำลังส่งเสียให้เธอเรียนหนังสือได้ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนรักการเรียนและมองว่าการศึกษาจะเป็นหนทางเปลี่ยนชีวิต สร้างอนาคตที่ดีให้กับเธอและครอบครัว
ด้วยอายุเพียง 18 ปี เธอต้องเลือกเดินออกจากเส้นทางการศึกษา และมุ่งหน้าสู่โลกการทำงานอย่างเต็มตัวเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว โดยได้ย้ายเข้ามาในตัวเมือง ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารที่มีรายได้เพียงวันละ 300 บาทซึ่งเพียงพอแค่สำหรับการใช้จ่ายในแต่ละวันเท่านั้น

ขับแกร็บเปลี่ยนชีวิต จากรายได้ขั้นต่ำสู่โอกาสทางการศึกษา
ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย ทำให้น้องกิ่งเป็นที่รักของทุกคนที่ได้รู้จัก รวมถึง “พี่ๆ คนขับแกร็บ” ที่ขับรถแวะเวียนมารับอาหารอยู่เป็นประจำ จนวันหนึ่งหลังจากที่น้องกิ่งทำงานที่ร้านอาหารได้ 3 ปี พี่คนขับแกร็บจึงได้ลองชักชวน พร้อมแนะนำน้องกิ่งให้มา “ขับแกร็บ”
แต่ในตอนนั้นเธอยังไม่ได้ตัดสินใจทันที และเลือกไปลองทำงานที่ร้านขายเครื่องดื่มในห้างเล็กๆ ก่อน แต่ไม่นานร้านนั้นก็ปิดตัวลง น้องกิ่งจึงว่างงานอยู่ราว 1 เดือน ท่ามกลางความไม่แน่นอนนั้นเอง เธอจึงตัดสินใจคว้าโอกาสที่เคยถูกยื่นให้ไว้
ด้วยมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่เธอเก็บเงินจากการทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ น้องกิ่งตัดสินใจสมัครขับแกร็บเพื่อส่งอาหาร “ก็ลองสมัครดูค่ะ แต่พอได้ขับจริงๆ มันกลับกลายเป็นโอกาสที่เปลี่ยนชีวิตหนูไปเลยค่ะ” น้องกิ่งกล่าว
รายได้ที่เธอได้รับจากการขับแกร็บเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากรายได้วันละ 300 บาทที่เคยได้รับจากการทำงานในร้านอาหาร กลายเป็น 400-500 บาทต่อวัน โดยที่ใช้เวลาทำงานเท่าๆ กัน นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอกล้ากลับมาฝันถึงการเรียนหนังสืออีกครั้ง
หลังจากขับแกร็บได้ประมาณ 1 ปี ทำให้มีรายได้มากขึ้นและสามารถจัดสรรเวลาได้ น้องกิ่งเลยตัดสินใจสมัครเรียนต่อระดับอนุปริญญาที่วิทยาลัยสารพัดช่างอุตรดิตถ์ พร้อมเลือกขับแกร็บในช่วงเย็นวันธรรมดา และขับเต็มวันในวันหยุด“มันอิสระดีค่ะ หนูเลือกเวลาทำงานได้ ไม่กระทบกับการเรียน แถมยังได้ใช้เวลาว่างให้เป็นรายได้อีกด้วย” น้องกิ่งกล่าว
สำหรับน้องกิ่งแล้ว รายได้จากแกร็บทำให้เธอสามารถจ่ายค่าเทอม ค่าเดินทาง ค่าหนังสือ ค่ากินอยู่ได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งยังแบ่งสันปันส่วนไปให้ครอบครัวได้อีกด้วย
“บางคนอาจคิดว่าขับแกร็บไม่มั่นคง รายได้ไม่แน่นอน แต่สำหรับหนู แกร็บคือสะพานที่ช่วยให้หนูไปถึงฝันได้” น้องกิ่งกล่าวด้วยความภูมิใจ
และเมื่อวันแห่งความสำเร็จมาถึง น้องกิ่งเรียนจบอนุปริญญาที่วิทยาลัยสารพัดช่างอุตรดิตถ์ ที่น่าตื้นตันไปมากกว่านั้น คือการที่พี่ๆ คนขับแกร็บ ที่ช่วยปูทางเดินให้กับเธอในวันนั้น ก็ได้มาร่วมแสดงความยินดีในวันแห่งความสำเร็จ ของเธอด้วย

จากเพื่อนร่วมอาชีพ สู่การเป็นอีกหนึ่ง “ครอบครัว”
น้องกิ่งยังติดต่อกับครอบครัวอยู่เสมอ และพยายามกลับบ้านในทุกเทศกาล แต่ระหว่างการเรียนและทำงานตัวคนเดียวที่อำเภอเมือง เธอก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเลย เพราะเธอได้พบกับอีกหนึ่ง “ครอบครัว” ที่มอบความห่วงใยไม่แพ้กัน
“วันรับปริญญาหนู พี่ๆ คนขับแกร็บก็มาร่วมแสดงความยินดีด้วย หนูรู้สึกปลื้มใจที่มีคนรักและเอ็นดู และรู้สึกว่า หนูไม่ได้มีแค่ครอบครัวที่บ้าน แต่ยังมีครอบครัวอีกกลุ่มที่อยู่เคียงข้างหนูเสมอ” น้องกิ่งกล่าว
แม้จะเรียนจบระดับอนุปริญญาแล้ว แต่น้องกิ่งยังมีความฝันจะเรียนต่อในระดับปริญญาตรีสาขาการบัญชีต่อไป ด้วยความมุ่งมั่น ความพยายาม และหัวใจที่ไม่เคยหมดไฟ และนั่นคือพลังของ “โอกาส” ที่แท้จริง