ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มั่นใจมาถูกทางกับการสร้างโซลูชันทางการเงินเพื่อคนรักบ้าน หลังยอดสมัครบัตรเครดิต ttb Global House เติบโตทะลุเป้าที่ตั้งไว้เกือบเท่าตัว ตอกย้ำการขับเคลื่อนธุรกิจที่มุ่งสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้านให้กับคนไทย มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายการขึ้นเป็น Top 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ภายใน 3 ปี

จากที่ ทีทีบี มุ่งมั่นขับเคลื่อนพันธกิจให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านกลยุทธ์หลัก Ecosystem Play ต่อยอดจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าสู่โซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้า หลังจากเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทีทีบีได้จับมือกับสยามโกลบอลเฮ้าส์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสดร่วม ttb Global House เพื่อส่งมอบสิ่งดี ๆ และสิทธิประโยชน์ให้กับทั้งลูกค้าของทั้งสองฝ่าย พร้อมเพิ่มกำลังซื้อให้กับลูกค้าโกลบอลเฮ้าส์ผ่านบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ด้วยข้อเสนอที่คุ้มค่าและตรงใจ โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งได้ช่วยสร้าง Brand Loyalty ให้กับทั้งโกลบอลเฮ้าส์ และทีทีบี จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีจำนวนผู้สมัครบัตรเครดิต ttb Global House มากกว่า 50,000 ราย สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 40,000 บัตร

การตอบรับที่ดีจากตลาดต่อบัตรเครดิตร่วม ttb Global House สะท้อนว่า ทีทีบี สร้างสรรค์โซลูชันการเงินได้ตอบโจทย์และตรงใจกลุ่มคนรักบ้านอย่างแท้จริง ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดบ้านเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับหมวดอื่น ๆ ผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ เพื่อบ้านที่รักควรสมัครบัตรเครดิต ttb Global House เพื่อรับสิทธิประโยชน์เหนือระดับที่ให้ความคุ้มค่ายิ่งกว่า ซึ่งบัตรเครดิต ttb Global House นี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโซลูชันการเงินหลักที่จะช่วยให้ ทีทีบี ขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Top 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ภายใน 3 ปี

บัตรเครดิต ttb Global House เป็นบัตรเครดิตที่ผนวกจุดแข็งระหว่าง ทีทีบี และโกลบอลเฮ้าส์ เพื่อสร้าง Home Owner Ecosystem ส่งมอบโซลูชันการเงินที่ตอบโจทย์และตรงใจ ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปเพื่อบ้านที่คุ้มค่าที่สุดให้กับลูกค้า รวมถึงสิทธิประโยชน์อีกมากมายที่ผู้ถือบัตรจะได้รับจากโกลบอลเฮ้าส์ ทั้งส่วนลดพิเศษ สิทธิประโยชน์จากรายการส่งเสริมการขาย หรือจากรายการแบ่งชำระค่าซื้อสินค้า เพื่อให้ลูกค้าที่มีบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นรอบด้าน

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่โดดเด่น บัตรเครดิต ttb Global House มอบส่วนลดเพิ่ม 3% เมื่อช้อปผลิตภัณฑ์ใด ๆ ยกเว้นวัสดุก่อสร้าง ส่วนลด 5% เมื่อใช้บริการใดๆ ที่โกลบอลเฮ้าส์ สิทธิประโยชน์จากการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน ที่โกลบอลเฮ้าส์ และยังทำรายการแบ่งจ่าย 0% นาน 3 เดือน ได้ด้วยตัวเองผ่านแอป ttb touch ได้ทุกรายการใช้จ่ายที่มียอดตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไป / เซลล์สลิป กับบริการ ttb so goood สิทธิประโยชน์จากการสะสมคะแนน ทุก 25 บาท รับ 1 คะแนน รวมถึงวัสดุก่อสร้าง และรับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่ายที่ร้านค้าอื่น ๆ อีกมากมาย

ผู้สนใจสามารถสมัครบัตรได้ 3 ช่องทาง คือสมัครที่สยามโกลบอลเฮ้าส์ หรือทีทีบี ทุกสาขา สมัครทางแอป ttb touch และสมัครทางเว็บไซต์ ttbbank.com ผู้สมัครบัตรใหม่ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ รับฟรี กระเป๋าเดินทางมูลค่า 3,990 บาท และคูปองส่วนลด สยามโกลบอลเฮ้าส์ มูลค่า 500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร  5,000 บาทขึ้นไป ภายใน 30 วันหลังบัตรอนุมัติ นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันต้อนรับลูกค้าใหม่ ให้ใช้จ่ายที่โกลบอลเฮ้าส์ได้คุ้มที่สุด คุ้ม 1 ทุกยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ttb Global House ที่สยามโกลบอลเฮ้าส์ จนถึง 31 ธันวาคม 2566 นี้ รับคะแนนสะสมเพิ่ม 3 เท่า และคุ้ม 2 รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 5,000 บาท / เดือน เพียงมียอดใช้จ่ายสะสมที่โกลบอลเฮ้าส์ผ่านบัตรเครดิต หรือ บัตรกดเงินสด ttb Global House ครบ 200,000 บาทขึ้นไป / เดือน จำกัดเครดิตเงินคืนสำหรับบัตรเครดิต 5,000 บาท / บัญชีบัตรหลัก / เดือน  สูงสุด 30,000 บาทตลอดรายการ และสำหรับบัตรกดเงินสด 5,000 บาท / เดือน สูงสุด 30,000 บาทตลอดรายการ

ปัจจุบันผู้ประกอบการจะสนใจแต่การทำกำไรและทำการตลาดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย โดยโฟกัสไปที่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งในวันนี้ได้อัปเกรดความรุนแรงจาก “ภาวะโลกรวน” ไปเป็น “ภาวะโลกเดือด” เรียบร้อยแล้ว

finbiz by ttb จึงหยิบยกประเด็นสำคัญจากการจัดงานสัมมนา Sustainable Growth - The Way to Business of the Future ซึ่งได้เชิญ คุณธาดา วรุณโชติกุล ผู้จัดการ สำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO มาให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบาย Net Zero ของประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยตรง เพื่อก้าวเดินสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืนอย่างมั่นใจ

นโยบายและเป้าหมายต่อสู้กับ Climate Change

เทรนด์โลกที่ผ่านมาเราได้เห็นประเทศต่าง ๆ จริงจังกับการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตนให้ลดลง โดยมี 97 ประเทศที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ตามปีเป้าหมายที่กำหนด เช่น เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาคือปี 2050 ส่วน Net Zero ของจีนคือปี 2060  ส่วนประเทศไทย นอกจากจะตั้งใจบรรลุ Net Zero ในปี 2065 เราก็ยังต้องการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 แต่เป้าหมายที่ใกล้กว่านั้น คือปี 2530 ต้องลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 30-40%

สถานการณ์ปัจจุบันของไทย

  • ปี 2023 นี้ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 350-360 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คือ หน่วยที่ใช้ชี้วัดก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดว่าเทียบเท่ากับคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณเท่าไหร่ เพราะก๊าซเรือนกระจกประกอบด้วยก๊าซหลายชนิด) และหากปล่อยโดยที่ไม่มีการควบคุมไปจนถึงปี 2025 คาดว่าเราจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดคือ 380 กว่าล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หลังจากนั้นก๊าซเรือนกระจกจะต้องถูกควบคุมให้ลดลงมาเรื่อย ๆ
  • ในระดับประเทศ ภาคที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดคือ ภาคพลังงาน ขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคการจัดการของเสีย โดยคาดว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเต็มที่ไม่เกิน 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่วนภาคการดูดกลับหรือภาคป่าไม้ เราดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ 80 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • โจทย์คือทำอย่างไรให้ “ปล่อย” น้อยลง และ “ดูดกลับ” เพิ่มขึ้น ภาครัฐได้ออกนโยบายและประกาศใช้มาตรการสำคัญต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าอย่างน้อย 68% ในปี 2040 และ 74% ในปี 2050 รวมทั้งสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 69% ในปี 2035 เป็นต้น
  • ภาคเอกชนมีการตื่นตัว นำนโยบายของภาครัฐไปตั้งเป็นเป้าหมาย Net Zero ให้กับธุรกิจของตน ทั้งยังนำนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาใช้ เช่น เทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture Utilization Storage) เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อขยับตัวเลขการดูดกลับจาก 80 เป็น 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • คาดการณ์ว่าปี 2065 ก๊าซเรือนกระจกจะถูกลดปริมาณลงเหลือต่ำกว่า 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และถูกดูดกลับ 120 ล้านตันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน

ผู้ประกอบการสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองนโยบายดังกล่าวของภาครัฐได้ โดยช่วยกันประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกแบบ Bottom-up ขึ้นไป เพื่อช่วยชาติบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังสามารถขยายผลนำไปสู่การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กรของเราได้ 

สรุป 6 แนวทางขับเคลื่อนภายในประเทศ

  1. ด้านนโยบาย

มีการบูรณาการและกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เข้าสู่แผนระดับประเทศ รวมทั้งขับเคลื่อน BCG Model โดยมองเรื่อง Bio-Economy เน้นสร้างมูลค่าเพิ่ม, Circular Economy ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสูญเสีย และ Green Economy เน้นดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมภาคการเกษตรในการลดก๊าซเรือนกระจก ชาวนาต้องปรับตัวมาทำนาวิถีใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ข้อนี้สำคัญมากเพราะข้าวของไทยมีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าข้าวของญี่ปุ่นถึง 4 เท่า หากมีการคิดภาษีคาร์บอนในสินค้าการเกษตร จะทำให้ราคาข้าวของเราสูงกว่า การแข่งขันทางการค้าก็จะยากลำบากยิ่งขึ้น จึงได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่าปุ๋ยให้เหมาะกับสภาพดิน การปลูกเปียกสลับแห้ง ซึ่งข่าวดี คือ ทาง TGO ได้พัฒนาระเบียบวิธีการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซมีเทนในนาข้าว หากลดมีเทนได้เท่าไร ก็นำมาขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้ จึงอาจเห็นชาวนาขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต

  1. ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี

ธุรกิจใดที่มีการเผาไหม้อยู่ จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโดยตรงไม่ได้อีก โดยอาจพิจารณาติดตั้งเทคโนโลยี CCUS ไว้ดักจับคาร์บอน นำมาอัดลงดินหรือหลุมอย่างถาวร แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน หากมีการใช้งานมากขึ้น และนำมาขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศในรูปของคาร์บอนเครดิต บวกกับแรงสนับสนุนจากภาครัฐ คาดว่าค่าใช้จ่ายอาจจะต่ำลงได้

  1. ด้านการค้า/การลงทุน

ปัจจุบัน BOI ส่งเสริมเรื่องการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กรณีโรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ ถ้าใช้เทคโนโลยี CCUS จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็นที่หันมาเปลี่ยนใช้สารทำความเย็นลดก๊าซเรือนกระจกต่ำ หรือกลุ่มปิโตรเคมีใช้เทคโนโลยี CCUS จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และ 8 ปี ตามลำดับ อีกมาตรการที่มีผู้ยื่นใช้สิทธิจำนวนมากคือ มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ถ้าผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ร้อยละ 50 ของเงินลงทุน หากต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันสามารถบริจาค e-Donation เพื่อสนับสนุนป่าชุมชน ใบเสร็จนำไปยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2023 – 31 ธันวาคม 2027

  1. ด้านการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิต

TGO มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ โดย “ผู้ซื้อ” เป็นภาคที่มีการรายงานข้อมูลและต้องการจะชดเชย ส่วน “ผู้ขาย” คือผู้ที่พัฒนาโครงการการลดก๊าซเรือนกระจก

  1. ด้านการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก

เป้าหมายคือเพิ่มพื้นที่กักเก็บให้ได้ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปัจจุบันมีหลายบริษัทเข้าร่วมปลูกและดูแลรักษาป่าในพื้นที่ของรัฐภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย T-VER เพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คำนวณเป็นคาร์บอนเครดิตได้เท่าไร บริษัทผู้พัฒนาโครงการรับไป 90% และแบ่งปันเครดิตให้กับภาครัฐ 10%  

  1. ด้านกฎหมาย

ผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับแรกของไทย ในเบื้องต้นจะบังคับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่สูงก่อน โดยให้มีการรายงานข้อมูล เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. นี้ในปี 2024 นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อดูแลด้าน Climate Change โดยตรง

ดังนั้น หากเราจะเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เช่น ภาคเอกชนนำนโยบายของภาครัฐและเรื่องที่เกี่ยวกับ Climate Change เช่น แนวคิด ESG เข้าไปอยู่ในนโยบายขององค์กร ตั้งเป้าหมายระยะยาวและพยายามลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเอง เช่น ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรม ส่วนที่ลดไม่ได้ก็ชดเชยจากคาร์บอนเครดิตที่ TGO ให้การรับรอง เพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero ตามเป้าหมาย

พร้อมเปิดโพยเด็ดกองทุนลดหย่อนภาษี รับโค้งสุดท้ายปลายปี เพื่อการลดหย่อนภาษีที่คุ้มค่า พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี

ทีทีบี มอบความคุ้มค่าช่วงโค้งสุดท้ายของปี พร้อมเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี ในแคมเปญ “เทศกาลลดหย่อนภาษี ดีเวอรรร์!!” พบกับผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษี อาทิ ประกันชีวิตและสุขภาพ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ประกันชีวิตบำนาญ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย และกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี มาพร้อมกับโปรโมชันคุ้มเกินต้านส่งท้ายปี รับเงินคืนสูงสุด 32% พร้อมสิทธิพิเศษถึง 3 คุ้ม และรับของสมนาคุณต่าง ๆ มากมาย ณ บูธกิจกรรม ‘เทศกาลลดหย่อนภาษี ดีเวอรรร์!!’ ที่ ทีทีบี ตลอดเดือนธันวาคม 2566 นี้

ลูกค้าที่สมัครผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตจาก พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ร่วมรายการผ่าน ทีทีบี ทุกสาขา หรือแอป ttb touch จะได้รับโปรโมชันพิเศษตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566 ดังต่อไปนี้

รับเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝาก สูงสุด 32% ได้แก่

  • รับเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝาก สูงสุด 26% ของเบี้ยประกันภัยรายปี ปีแรก
  • รับเงินคืนเพิ่ม 5% สำหรับลูกค้าบัญชีเงินเดือน ทีทีบี
  • รับเพิ่ม! เงินคืน 1% ของค่าเบี้ยประกันรายปี ปีแรก เมื่อซื้อประกันภัยที่ร่วมรายการ และมียอดซื้อสะสมกองทุน SSF RMF ttb smart port SSF ขั้นต่ำ 10,000 บาท / เดือน ภายในเดือนเดียวกับที่ซื้อประกัน

รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอีก 3 คุ้ม

  • คุ้มที่ 1 ชำระผ่านบัตรเครดิต ทีทีบี รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% หรือรับคะแนนสะสม ttb rewards plus สูงสุด 10 เท่า และรับสิทธิแบ่งชำระเบี้ยประกัน 0% นาน 6 เดือน
  • คุ้มที่ 2 รับ iPhone 15 Pro Max มูลค่า 48,900 บาท หรือ iPhone 15 Plus มูลค่า 41,900 บาท หรือบัตรกำนัลจากเครือ BDMS สูงสุด 7,500 บาท
  • คุ้มที่ 3 รับดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด25% ต่อปี

นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อีแวลู เซฟเวอร์ 12/5 (ttb e-value saver 12/5) ผ่านแอป ทีทีบี ทัช โดยชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบรายปี ปีแรก พร้อมรับโปรโมชันและของสมนาคุณต่าง ๆ มากมาย โดยระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566

  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 30,000-59,999 บาท รับบัตรกำนัลโลตัส มูลค่า 1,000 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 60,000-99,999 บาท รับลำโพง Marshall Willen สีดำ มูลค่า 3,990 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 100,000-199,999 บาท รับ Huawei Smart Watch GT4 (46mm) สีน้ำตาล มูลค่า 7,990 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 200,000-499,999 บาทขึ้นไป รับ Apple Watch Series 9 (45mm) สี Starlight มูลค่า 16,900 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป รับมือถือ Samsung Z Flip มูลค่า 39,900 บาท

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/ba-tax-festival-2023 หรือ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/e-value-saver-12-5 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ ttb contact center 1428

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ถือบัตรเครดิต ttb ร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จับมือ 6 ศูนย์การค้าชั้นนำ ได้แก่ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี  เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ เอ็มสเฟียร์ ไอคอนสยาม และสยามพารากอน มอบเครดิตเงินคืนสูงสุด 18% ด้วยการใช้คะแนนสะสมแลกเท่ายอดใช้จ่าย เมื่อช้อปปิ้งสินค้าใด ๆ ที่ 6 ศูนย์การค้าดังกล่าว ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 ดังนี้

วันเสาร์-อาทิตย์ บัตรเครดิต ttb reserve infinite รับเครดิตเงินคืน 18% บัตรเครดิต ttb reserve signature รับเครดิตเงินคืน 13% และบัตรเครดิต ttb ประเภทที่มีคะแนนสะสม รับเครดิตเงินคืน 12%

วันจันทร์-ศุกร์ บัตรเครดิตทุกประเภทที่มีคะแนนสะสม รับเครดิตเงินคืน 10% จำกัดการแลกคะแนนสะสมเพื่อรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 150,000 คะแนน / หมายเลขบัตรหลัก รวมทุกศูนย์การค้าที่ร่วมรายการ ตลอดรายการส่งเสริมการขายนี้ และการแลกคะแนนสะสมแต่ละครั้ง ต้องไม่เกินยอดใช้จ่ายต่อเซลล์สลิป

รับสิทธิ์ ณ จุดลงทะเบียนของแต่ละศูนย์การค้าภายในวันที่ซื้อสินค้า โดยธนาคารจะนำเครดิตเงินคืนเข้าบัญชีบัตรหลักภายใน 5 วันทำการ

X

Right Click

No right click