October 16, 2024

กรุงเทพฯ 10 ตุลาคม 2567 – Bridgewise (บริดจ์ไวส์) แพลตฟอร์มข้อมูลข่าวสารการลงทุนทางการเงินสำหรับหลักทรัพย์ทั่วโลก ประกาศเปิดตัว BRIDGETTM เครื่องมือการลงทุนด้วย AI แบบสนทนา ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับภาคการลงทุนสถาบัน รวมถึงโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการซื้อขาย โดยนำเทคโนโลยี AI โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM - Large Language Model) ที่สามารถประมวลผลภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด BRIDGETTM ช่วยพลิกโฉมการรายงานข้อมูลการลงทุนแบบดั้งเดิม ให้กลายเป็นการสนทนาแบบโต้ตอบและให้คำแนะนำการลงทุน ผ่านแพลตฟอร์มที่ปรับแต่งได้หลากหลายภาษา ปัจจุบันบริดจ์ไวส์ มีให้บริการกว่า 25 ภาษา ใน 15 ตลาด และครอบคลุมเครื่องมือทางการเงินทั่วโลกมากกว่า 50,000 รายการ

การเปิดตัวในครั้งนี้ ได้รวมถึงการประกาศความสำเร็จในการระดมทุนได้ถึง 21 ล้านดอลลาร์ มีการเปิดตัว Bridgewise Funds (FundWise) และการแต่งตั้งบุคคลากรในอุตสาหกรรมตลาดทุนอีกหลายท่านเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและนวัตกรรมของบริดจ์ไวส์อย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2019 โดยมีสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาปัจจุบันหลากหลายท่าน หลากหลายประสบการณ์ อาทิ คริสเตียน รูส (อดีต CEO ของตลาดหลักทรัพย์สวิส) ดาโต เนโต (อดีตกรรมการผู้จัดการของ Banco Model ประเทศบราซิล) เดวิด เลนชัส (กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ HC Wainright) เดวิด ซีเกล (อดีต CEO ของ Investopedia และประธานของ Seeking Alpha) และ โยไค คอร์น (อดีตหัวหน้าฝ่ายข้อมูลตลาดและการวิจัยทั่วโลก Interactive Brokers)

คุณ เคลวิน ฟัว ผู้อำนวยการทั่วไปของบริจ์ไวส์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะนำ BRIDGETTM มาสู่เอเชีย ซึ่งเราเห็นศักยภาพมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงการลงทุนด้วยข้อมูลข่าวสารทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI บริดจ์ไวส์มองว่าตลาดเอเชียแปซิฟิกเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ เห็นได้จากเรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการขยายตัวในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย พร้อมทั้งการขยายไปสู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย เราเชื่อว่าเทคโนโลยีของบริดจ์ไวส์ และความสามารถด้านข้อมูล

ข่าวสารทางการเงิน AI สามารถปฏิวัติวิธีการดำเนินงานของตลาดทุนเอเชียแปซิฟิก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายการเข้าถึงของภูมิภาคนี้ในตลาดทุนโลก”

จากงานวิจัยได้มีการประเมินว่า Generative AI (Gen AI) สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมได้ตั้งแต่ 200,000 ล้านดอลลาร์ ถึง 340,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 2.8 ถึง 4.7 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของอุตสาหกรรมในภาคการธนาคารทั่วโลก ท่ามกลางศักยภาพการเติบโตสูงนี้ Gen AI ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมและการพลิกโฉมอุตสาหกรรม เสริมพลังให้สถาบันการเงินสามารถให้บริการได้มากกว่าความคาดหวังของลูกค้าและนักลงทุนในปัจจุบัน ที่มีความต้องการบริการที่รวดเร็ว สะดวก และทันสมัยมากขึ้น เนื่องจากกฎระเบียบ ข้อปฏิบัติระหว่างประเทศมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

คุณ กาเบรียล ดิอาแมนต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของบริดจ์ไวส์ กล่าวว่า “BRIDGETTM ของบริดจ์ไวส์ เป็นตัวช่วยการลงทุนด้วย AI แบบสนทนาที่นำเสนอการพลิกโฉมที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการลงทุนและหลักทรัพย์ระดับโลก โดยการผสาน AI ขั้นสูงเข้ากับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เราไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น แต่ยังทำให้มั่นใจว่าการตัดสินใจเหล่านี้เกิดขึ้นภายในกรอบที่ปลอดภัยและสอดคล้องกับกฎระเบียบ ในฐานะหนึ่งในแพลตฟอร์มข้อมูลข่าวสารการลงทุนทางการเงินเพียงไม่กี่แห่งของโลกที่มุ่งให้บริการแก่ภาคการลงทุนสถาบัน เราสามารถปรับแต่ง BRIDGETTM ให้ตรงกับมาตรฐานและข้อกำหนดเฉพาะของสถาบัน เครื่องมือนี้นับเป็น Game Changer สำหรับสถาบันการเงินที่ต้องการอยู่แถวหน้าในภาคการเงินที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ช่วยให้ผู้วิเคราะห์และนักลงทุนได้รับข้อมูลที่เฉียบคมจากการโต้ตอบกับระบบในรูปแบบที่ใช้งานง่าย พร้อมมีข้อมูลเชิงลึก ส่งผลให้กระบวนการตัดสินใจมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

การแก้ไขปัญหาสำคัญ

ในสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ผู้วิเคราะห์และนักลงทุนเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้รับข้อมูลที่ล้นหลาม ข้อจำกัดด้านเวลา และความต้องการข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและสามารถนำไปใช้ได้จริง BRIDGETTM ของบริดจ์ไวส์ มอบข้อมูลเชิงลึกในการลงทุน รวมถึงคำแนะนำการซื้อ/ขายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับหุ้น BRIDGETTM ยังแก้ไขข้อบกพร่องที่เกี่ยวข้องกับแชทบอท AI หลายประการ เช่น

· การขาดคำแนะนำการลงทุน: แชทบอทแบบดั้งเดิมไม่สามารถแนะนำการลงทุนในหุ้นตัวใด ๆ ได้ ในขณะที่ BRIDGETTM ให้คำแนะนำที่สามารถนำไปใช้ได้ รวมถึงคำแนะนำการซื้อ/ขายที่เฉพาะเจาะจง

· ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน: BRIDGETTM ใช้ Micro Language Model (MLM) เฉพาะสำหรับการสนทนาเกี่ยวกับการลงทุนและตลาดทุน

· การวิเคราะห์ข้อมูลที่ผิดพลาด: แชทบอทอื่น ๆ มักสร้างข้อเสนอแนะที่ไม่ถูกต้องหรือไร้เหตุผล เช่น แนะนำหุ้นที่ไม่มีอยู่จริงหรือหุ้นที่มีพื้นฐานไม่ดี BRIDGETTM ได้รับการออกแบบเพื่อลดข้อบกพร่องเหล่านี้ เนื่องจาก MLM ของบริษัทได้รับการฝึกอบรมโดยเฉพาะเพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขความละเอียดของหัวข้อเฉพาะการลงทุน

เมื่อพูดถึงการหลอกลวงทางการเงิน หลายคนอาจคิดถึงฉากที่มิจฉาชีพสวมหมวกปีกกว้างและแว่นดำ คอยมองหาผู้ที่พร้อมจะ "รวยทางลัด" แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการเหล่านี้กลับแยบยลและทันสมัยกว่าที่คุณคิดมาก ลองนึกภาพดิไอคอนกรุ๊ปที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ความวาววับ และการนำเสนอการลงทุนที่ฟังแล้วเหมือนฝันที่คุณสามารถแตะต้องได้ แม้ว่าความเป็นจริงจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

ในกรณีของดิไอคอนกรุ๊ป การตลาดที่ใช้ไม่ใช่แค่การนำเสนอว่าคุณสามารถทำกำไรได้เร็ว แต่ยังสอดแทรกด้วยภาพลักษณ์ของความสำเร็จที่ดูจับต้องได้ ตัวอย่างเช่น การจัดงานหรูหรา ใช้รถหรูเป็นรางวัล และให้ความรู้สึกว่า "ถ้าคุณไม่ลงทุนตอนนี้ คุณอาจจะพลาดโอกาสทอง" นี่คือจุดเริ่มต้นของความหวังในการทำกำไรอย่างรวดเร็วที่เป็นกับดักสำคัญสำหรับหลายคน ผู้ลงทุนจำนวนมากจึงก้าวเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงหรือที่มาของเงินทุน

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าดึงดูดยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ การสร้างบรรยากาศ "ความสำเร็จทันตาเห็น" ผ่านการใช้คนดังและสังคมออนไลน์ นักแสดงที่เราคุ้นเคยหรือผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์มักเป็นหน้าตาของการลงทุนเหล่านี้ ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่แค่คุณที่ลงทุน แต่คนดังเหล่านี้ก็ทำเหมือนกัน!

ยิ่งไปกว่านั้น กรณีของดิไอคอนกรุ๊ปยังเน้นหนักไปที่การทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการลงทุนนี้เป็นเรื่องง่าย มีคนลงทุนแล้วสำเร็จมาแล้วมากมาย ผลตอบแทนสูงและมีการชักชวนแบบ "ถ้าคุณไม่เข้าร่วม คุณอาจจะพลาดอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่" ซึ่งส่งผลให้หลายคนรู้สึกกดดันที่จะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ตกกระแส การหลอกลวงในลักษณะนี้จึงเปรียบเสมือนการนำเสนอการเดินเข้าสู่โลกของผู้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะเป็น

แม้ว่าการขาดความรู้ทางการเงินและการลงทุนจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ แต่เสน่ห์ของการตลาดที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลก็ไม่สามารถมองข้ามได้ ความรู้สึกว่าคุณกำลังเข้าใกล้กับ "การเป็นเศรษฐีคนใหม่" ทำให้ผู้คนหลงลืมความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในนั้น บางคนอาจจะคิดว่า "ก็มีคนที่ได้รับผลตอบแทนจริงๆ นี่นา" แต่ความจริงคือการลงทุนลักษณะนี้มักดำเนินไปในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยผู้ที่เข้ามาในช่วงแรกอาจได้รับผลตอบแทน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การจ่ายผลตอบแทนจะกลายเป็นเรื่องยากเมื่อไม่มีผู้ลงทุนใหม่เข้ามาเพิ่มเติม

สิ่งสำคัญที่ทำให้ดิไอคอนกรุ๊ปดูมีเสน่ห์เกินกว่าจะต้านทานได้ คือบรรยากาศของ "โอกาสที่พลาดไม่ได้" งานเปิดตัวอลังการที่เปล่งประกาย รางวัลรถหรู และการโฆษณาที่ดูเหมือนทุกคนกำลังประสบความสำเร็จอยู่แล้ว หากคุณไม่เข้าร่วมก็เหมือนกับการปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ซึ่งกดดันให้หลายคนต้องเข้าร่วมโดยไม่มีเวลาคิดให้รอบคอบ

สุดท้ายนี้ ความหลงใหลใน "ความสำเร็จที่ง่ายดาย" ที่หลายคนเห็นผ่านคนดังหรือภาพลักษณ์หรูหราของการลงทุน เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถต้านทานการตัดสินใจร่วมลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่แท้จริงต้องมีการตรวจสอบ การศึกษา และประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด เพื่อลดโอกาสในการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงที่ดูหรูหราเกินจริง

 

บทความนี้เขียนโดย นายกลาง

วันที่่ 14/10/2567

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้ปรับราคาพื้นฐานของหุ้น WICE ขึ้นเป็น 7 บาท พร้อมคงคำแนะนำ "ซื้อ" เนื่องจากเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของอัตราค่าขนส่งทั้งทางทะเลและทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะเติบโตตามเป้า หลังจากอัตราค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้น และปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น

WICE มีโครงการใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งจาก สปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อนำส่งต่อไปยังญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจาก OR ที่ใช้ยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังเติบโตตามเป้าหมาย

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ WICE เปิดเผยว่า บริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วหลังค่าระวางเรือและปริมาณการขนส่งเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและจีน นอกจากนี้ WICE ยังเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านการจัดตั้งบริษัทย่อยในฟิลิปปินส์และจีน ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและขยายบริการในต่างประเทศ คาดว่ารายได้ทั้งปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของธุรกิจและการฟื้นตัวของตลาดขนส่ง

นอกจากนี้ นายชูเดช ยังมั่นใจว่า สถานการณ์ธุรกิจขนส่งจะกลับมาสู่ภาวะปกติหลังจากที่ช่วงหลังโควิดค่าระวางเรือปรับขึ้นอย่างรุนแรงและปรับลงในปี 2566 โดยครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ส่งผลให้ผลประกอบการของ WICE เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

ณุศาศิริ” เดินหน้าฟ้องอดีตกรรมการและผู้บริหารเพิ่มเติม หลังดำเนินการฟ้องไปแล้ว 3 คดี ทั้งทางแพ่งและอาญา โดยเป็นคดีหมายเลข อ1747/2567, พ1882/2567 และ พ1775/2567 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้บริหารในหลายข้อหา ทางบริษัทมั่นใจว่าการกล่าวโทษจาก ก.ล.ต. จะช่วยเร่งกระบวนการเรียกคืนทรัพย์สินของบริษัทได้เร็วขึ้น และยืนยันว่ากระบวนการเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ บริษัทติดตามและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ย้ำว่าธุรกิจยังแข็งแกร่ง ฐานการเงินมั่นคง มีสภาพคล่องเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในอนาคต

นายณัฐพศิน เชฏฐ์อุดมลาภ กรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เปิดเผยว่าตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกข่าวฉบับที่ 198/2567 และกล่าวโทษกรรมการ อดีตกรรมการ และผู้บริหารของ NUSA ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในกรณีธุรกรรมที่เข้าลงทุนซื้อโรงแรมในต่างประเทศในราคาที่ไม่สมเหตุสมผล รวมถึงการขายห้องชุดของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน การผ่องถ่ายเงินจากบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัว และการแสดงข้อมูลเท็จต่อเจ้าหน้าที่

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับกรรมการและอดีตกรรมการของบริษัททุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายคืนให้แก่บริษัท โดยทางทนายความกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอย่างเป็นทางการ

ทางบริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าบริษัทมีแผนธุรกิจที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เพื่อสร้างยอดขาย สร้างรายได้ และเดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนในอนาคต พร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

SCB  WEALTH  เปิดตัว “No Gain No Pay” แนวคิดใหม่ของการลงทุน ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมหากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนด นำร่องส่งกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 อายุ 8 เดือน เสนอขายวันที่ 14-28 สิงหาคมนี้  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว กองทุนนี้ไม่คิดค่าธรรมเนียมการขายและบริหารจัดการ  หลังจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนภายใน 8 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 10.82 บาทต่อหน่วย  กองทุนคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 2% แต่หากหลังจาก 8 เดือนมูลค่าหน่วยลงทุน ต่ำกว่า 10.10 บาทต่อหน่วย ไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่นี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  สุเนต์ตา , CFA  รองผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product  กลุ่มธุรกิจ Wealth  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB WEALTH  ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา  และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ไว้วางใจให้ธนาคารบริหารสินทรัพย์ และมั่นใจในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีคุณภาพ มานำเสนอให้กับนักลงทุน เพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง จึงได้นำร่องเปิดตัว No Gain No Pay  แนวคิดใหม่ของการลงทุน ที่ยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front end fee) และค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back end fee) ที่มีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย  เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารให้การดูแลลูกค้าเสมือน Thought Partner และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน 

SCB WEALTH  ยึดมั่นในหลักการของ Open architecture  ในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ และคัดเลือก  Best in class ให้กับลูกค้า โดยเราจะคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนจากภายนอกธนาคารมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลาย  รวมทั้งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเหมาะสมในแต่ละภาวะการลงทุน    ล่าสุด เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดทิสโก้  ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1)บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ทิสโก้  จำกัด  ซึ่งธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว  ในระหว่างวันที่ 14 - 28   สิงหาคม  2567  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท   

กองทุน TTARGET8M1มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ / หรือตลาดเอ็มเอไอ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี  มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี  คัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีระดับราคาน่าสนใจ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 

สำหรับการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติ ภายใน 5  วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้  คือ  ภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.82 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป  และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.60 บาทต่อหน่วย  

อย่างไรก็ตาม หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ  และเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาท   ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด  สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.20 บาทต่อหน่วย  โดยบริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2% ก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเป้าหมาย ที่ราคาไม่ต่ำกว่า  10.82   ติดต่อกัน 3  วัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  แต่หากหลังครบระยะเวลา 8  เดือน บริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.10 บาท ในอัตรา 0.5% และ หากมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10.10 บาท จะไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและรับซื้อคืน  ทั้งนี้ กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่ของการลงทุนนี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  กล่าวต่อไปว่า  ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะสนับสนุนให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  มีดังนี้คือ 1) SCB CIO คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เพื่อให้สอดคล้องกับ ศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง และ ภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจากสถิติในอดีต หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้น และจะได้อานิสงส์ด้านผลประกอบการ รวมถึง งบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง นอกจากนี้ แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดจะเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจเร่งขยายตัว  2) ดิจิทัล วอลเล็ต จะส่งผลบวกในหุ้นภาคการบริโภค  หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และ ให้ร้านค้าลงทะเบียน วันที่ 1 ต.ค. นี้ คาดว่าโครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4 ได้ ช่วยหนุนผลประกอบการหุ้นที่เกี่ยวกับภาคการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มอาหาร เป็นต้น   3) กองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์  โดยครม.ได้อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน ThaiESG ให้ผู้ซื้อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเพิ่มเป็นไม่เกิน 300,000 บาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน  พร้อมขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมเพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล ส่งผลให้ครอบคลุมหุ้น ในดัชนี SET/mai เพิ่มขึ้น บวกกับแผนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมา โดยปรับเกณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย  

นอกจากนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Consensus   ณ วันที่   30 กรกฎาคม  2567 คาดการณ์ว่า EPS ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% เทียบปีก่อนหน้า ส่วนในเชิง Valuation ของดัชนี ก็ถือว่าซื้อขายในระดับที่ไม่แพง โดยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward PE) อยู่ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทย และมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนได้อย่างถูกจังหวะ  

Page 1 of 8
X

Right Click

No right click