February 22, 2025

หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

จังหวัดตรังเคยเป็นแหล่งปลูก “พริกไทยปะเหลียน” พืชพื้นเมืองที่ได้รับฉายาว่า “ทองคำดำ” หรือ Black Gold เพราะมีความต้องการสูงและราคาที่แพงมากในสมัยอยุธยา แต่เมื่อเวลาผ่านไป พริกไทยปะเหลียนกลับสูญเสียความสำคัญและเลือนหายไป ปัจจุบัน พริกไทยปะเหลียนกำลังกลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือระหว่างเกษตรกรผู้มุ่งมั่น นักวิจัยผู้พัฒนานวัตกรรม และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของพืชพื้นถิ่น โดยทั้งหมดทำงานร่วมกันภายใต้ “โครงการยกระดับพริกไทยพันธุ์ปะเหลียนด้วยห่วงโซ่คุณค่าใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่สู่ตลาดการแข่งขัน” ภายใต้แผนงานสำคัญ (Flagship) “มหาวิทยาลัยพัฒนาพื้นที่” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการท้องถิ่น (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียน ของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

ย้อนกลับไปในปี 2559 นายกิตติ ศิริรัตนบุญชัย นวัตกรชุมชน พริกไทยดำปะเหลียน ตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อกลับบ้านที่จังหวัดตรัง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูพืชพื้นถิ่นอย่างพริกไทยปะเหลียนให้กลับมา บนพื้นที่เพียง 2 ไร่ที่มีอยู่ “ผมอยากให้พริกไทยตรังกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งเหมือนในอดีตที่ เพราะพริกไทยปะเหลียนโดดเด่น มีกลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์ มีรสชาติเผ็ดร้อนที่เข้มข้นและลุ่มลึก ผลพริกไทยยังมีขนาดใหญ่เต็มเมล็ด สิ่งนี้ควรถูกเผยแพร่ไม่ใช่ปล่อยให้หายไป”

ความท้าทายในช่วงแรกคือการลองผิดลองถูก ที่ต้องเรียนรู้การจัดการน้ำ ดูแลดิน และควบคุมโรคด้วยตัวเอง ภายหลังได้นำหลักการปลูกส้มมาประยุกต์ใช้กับการปลูกซึ่งได้ผลดีขึ้น แต่คุณกิตติไม่หยุดแค่นั้นยังคงหาความรู้อย่างต่อเนื่องจนได้เข้าร่วมในโครงการสนับสนุนด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อย่างการปลูกแบบยั่งยืน การจัดการเกษตรกรรมสมัยใหม่ การแปรรูป และการทำตลาด เพื่อให้มีมาตรฐานการปลูกแบบ GAP (Good Agricultural Practices) ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ที่นำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในปัจจุบัน

“เราเริ่มเห็นผลผลิตที่มีคุณภาพ ได้รับการยอมรับในตลาดระดับพรีเมียม สามารถตั้งราคาได้สูงถึง 400 บาท ซึ่งราคาสูงกว่าพริกไทยทั่วไปถึง 3 เท่า มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อ และมุ่งมั่นจะชักชวนเกษตรกรในพื้นที่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกพริกไทยปะเหลียนไปด้วยกัน” คุณกิตติ กล่าว

นอกเหนือจากการสนับสนุนและพัฒนาผู้ปลูกพริกไทยรายย่อย ทั้งคุณกิตติและเกษตรกรอีกหลายรายแล้ว แล้ว มทร.ศรีวิชัย ก็ได้มีการสนับสนุนกลุ่มผู้จำหน่ายพริกไทยทำไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดการยกระดับของอุตสาหกรรมพริกไทยปะเหลียนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยการเข้าไปให้คำปรึกษากับเจ้าของพริกไทยปะเหลียนแบรนด์ “Black Gold Trang Pepper” ที่ลงทุนเปลี่ยนสวนปาล์มเก่าจำนวน 50 ไร่ มาปลูกพริกไทยปะเหลียนเมื่อปี 2562 จนประสบความสำเร็จแง่ของผลิตภัณฑ์

“ความช่วยเหลือของทีมวิจัยจาก มทร.ศรีวิชัย และคุณกิตติ ทำให้เรามีความมั่นใจที่เดินหน้าต่อในธุรกิจนี้ เราเห็นความเป็นไปได้ของพริกไทยปะเหลียนมาโดยตลอด เราเชื่อว่าโอกาสยังมีอยู่ หากเราพัฒนามาตรฐานและสร้างตลาดใหม่ที่มุ่งเน้นคุณภาพได้” น.ส.กันต์หทัย จิตรไมตรีเจริญ หรือ คุณทราย ผู้บริหารของบริษัท แบล็คโกลด์ เทรชเซอร์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “Black Gold Trang Pepper” กล่าว

การทำงานร่วมกันระหว่างทีมวิจัย คุณกิตติและผู้ประกอบการรายนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ฟื้นฟูพริกไทยปะเหลียนให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง โดยคุณกิตติใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการเพาะปลูก ขณะที่คุณทรายมีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด ทุกฝ่ายช่วยพัฒนาศักยภาพเกษตรกร วิสาหกิจ และผู้ประกอบการรวม 11 ราย ส่งผลให้มูลค่าพริกไทยตรังเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-33.33 รายได้ของกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.60 และลดหนี้สินลงร้อยละ 14.37

ดร.นภัสวรรณ เลี่ยมนิมิตร อาจารย์ประจำสาขาวิชาพืชศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย นักวิจัยผู้ร่วมพัฒนากล่าวว่า “ความสำเร็จในการทำงานครั้งนี้ของคุณกิตติคือการรวมเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้านได้อย่างลงตัว อย่างการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม การจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ และการควบคุมแมลงศัตรูพืช ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ขณะที่เดียวกันก็ได้ความเชี่ยวชาญด้านการตลาดของผู้ประกอบการมาเสริม ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้ผลผลิตมีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ตลาด ซึ่งสิ่งที่เรากำลังร่วมกันทำต่อไปคือ การส่งเสริมแนวทางการผลิตแบบออร์แกนิก ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะเพิ่มมูลค่าของพริกไทยปะเหลียนในอนาคต”

การปลูกพริกไทยปะเหลียนไม่ได้เป็นเพียงพืชพื้นถิ่นที่ฟื้นคืนชีพ แต่คือหัวใจของ "ตรังโมเดล" ต้นแบบแห่งความสำเร็จที่กำลังขยายไปยังชุมชนอื่น จนคว้ารางวัลระดับชาติและก้าวสู่เวทีนานาชาติ ทว่าความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายสำหรับคุณกิตติมากไปกว่าการได้เห็นเพื่อนเกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้น และการที่โลกได้ลิ้มรสพริกไทยตรังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“นี่คือความภูมิใจของคนตรัง และเป็นบทพิสูจน์ว่าเมื่อทุกคนร่วมมือกัน ความฝันเล็ก ๆ ก็สามารถส่งต่อในระดับโลกได้” ดร.นภัสวรรณ กล่าวสรุป

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (เคทีซี)  ร่วมด้วย บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว 55 จังหวัดทั่วประเทศ หวังยกระดับการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชนเพื่อเป็นแรงผลักดันให้รายได้การท่องเที่ยวในประเทศโตตามเป้าหมายที่ 1.2 ล้านล้านบาท พร้อมมอบสิทธิพิเศษผ่านแคมเปญ ‘ขับรถเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว) กับบัตรเครดิตเคทีซี’ รับเครดิตเงินคืน4% เมื่อเติมน้ำมันที่ พีทีที สเตชั่น ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 

นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า ททท. ขานรับนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว หรือ เมืองรอง 55 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) นำรายได้กระจายสู่ชุมชน และยังถือเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์  IGNITE THAILAND’S TOURISM ของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Tourism Hub ที่สำคัญของโลก จึงได้ร่วมมือกับร่วมมือกับ เคทีซี หรือ บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท  
ปตท. นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และพันธมิตรอีกหลายรายออกแคมเปญ ‘ขับรถเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว) กับบัตรเครดิตเคทีซี’ รับเครดิตเงินคืน 4% เมื่อเติมน้ำมันที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และได้รับเครดิตเงินคืนกับสถานีบริการน้ำมันอีกหลายราย รวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ อีกมากมาย โดยตั้งเป้าหมายการออกแคมเปญในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ไม่ต่ำกว่า 70,000,000 บาท  

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดการท่องเที่ยวทั้งประเทศเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 เติบโตที่ 12% โดยยอดการเติบโตส่วนใหญ่มาจากหัวเมืองใหญ่จังหวัดท่องเที่ยว สะท้อนได้ว่าการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ยังต้องการแรงผลักดันจากรัฐบาลและภาคเอกชนในการกระตุ้นการท่องเที่ยวและนำรายได้สู่ชุมชนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เคทีซีพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยให้บรรลุตามเป้าหมายของรัฐบาลโดยมอบสิทธิพิเศษด้านการท่องเที่ยวครอบคลุมทั้งสถานีบริการน้ำมัน / ส่วนลดและแลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนร้านอาหารและร้านกาแฟ 136 ร้านค้า / ส่วนลดที่พัก 41 โรงแรม และส่วนลด 9 พันธมิตรรถเช่า ทั้ง 55 จังหวัดเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/tat  

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า แคมเปญดังกล่าวถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต   เคทีซีที่วางแผนขับรถท่องเที่ยวไปยังเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) 55 จังหวัดใช้บริการที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และชำระค่าน้ำมันผ่านบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า และบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด รับเครดิตเงินคืน 4% โดยมีเงื่อนไขข้อมูลจังหวัดที่อยู่ตามที่ระบุในใบแจ้งยอดของสมาชิกฯ ต้องไม่ตรงกับจังหวัดที่ตั้งของสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ทำรายการ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยเที่ยวต่างถิ่น และกระจายรายได้สู่ชุมชน สมาชิกสามารถรับสิทธิ์ดังกล่าวได้ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567  นอกจากนี้ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซียังสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวน 169 คะแนน แลกรับเครดิตเงินคืน 20 บาท เมื่อมียอดการใช้จ่ายที่ร้าน คาเฟ่ อเมซอน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 

นายถนัดผล ดุละลัมพะ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และการตลาดค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท.น้ำมัน  และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า ปัจจุบันสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ภายใต้การกำกับดูแลของ OR ใน 55 จังหวัดเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,093 สถานี ความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและเคทีซีในครั้งนี้จะเป็นส่วนช่วยให้คนไทยสนใจขับรถท่องเที่ยวเส้นทางเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) มากยิ่งขึ้นด้วยสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า พร้อมได้ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพจาก พีทีที สเตชั่น ซึ่งครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น “Super Power” น้ำมันเกรดพรีเมียมคุณภาพสูง ที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแรง รู้สึกได้ทันทีที่เติม พร้อมทำความสะอาด ปกป้องเครื่องยนต์ สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการน้ำมันที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยมีทั้ง Super Power ดีเซล และ Super Power GSH95 และสำหรับผู้บริโภคที่เน้นเรื่องความประหยัดคุ้มค่า ขอแนะนำ “Xtra Save” น้ำมันเกรดมาตรฐานสูตรใหม่ที่ทำให้ขับไปได้ระยะทางไกลกว่าเดิม ด้วย “สารเพิ่มพลังเครื่องยนต์ มากขึ้น 1.5 เท่า” เพิ่มอัตราเร่งได้เต็มกำลัง ปกป้องเครื่องยนต์ และลดการสิ้นเปลืองน้ำมัน มอบความคุ้มค่าแก่ผู้บริโภคทุกคน โดยมีน้ำมันครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มดีเซล กลุ่มเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ น้ำมันทุกชนิดของ พีทีที สเตชั่น ได้รับรองมาตรฐาน EURO 5 ซึ่งมีปริมาณกำมะถันลดลงถึง 5 เท่า ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลง อากาศสะอาดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันอย่างละเอียดเป็นประจำในทุกสาขา เพื่อควบคุมคุณภาพและส่งมอบน้ำมันที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคสอดคล้องกับพันธกิจหลักของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในมิติแห่งความยั่งยืน 

ศึกษาข้อมูลรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pttor.com/th/news/promotion และติดตามโปรโมชันและกิจกรรมอื่น ๆ ได้ที่ Facebook Fanpage: PTT Station หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1365 Contact Center หรือ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ   

X

Right Click

No right click