November 05, 2024

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องการลงทุนซื้อสถานประกอบการ ผ่านโครงการสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ทางธุรกิจ

การลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่กำลังตัดสินใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ทางธุรกิจ เช่น โรงงาน โกดัง อาคารพาณิชย์ ฯลฯ จาก SAM ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจเพื่อลงทุนในสถานประกอบการของธนาคารยูโอบี พร้อมกับอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และเงื่อนไขพิเศษจากธนาคาร

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Business Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารเล็งเห็นถึงความต้องการของธุรกิจเอสเอ็มอี ในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ สำหรับต่อยอดการเติบโตของธุรกิจ ความร่วมมือกับ SAM ครั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ทางธุรกิจกับทาง SAM สามารถขอรับพิจารณาสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 30 ปี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น”

นายสุรงค์ สุวรรณวานิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่าง SAM และธนาคารยูโอบี ในโครงการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ทางธุรกิจ ในครั้งนี้ นอกจากช่วยสนับสนุนและสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการซื้อทรัพย์สินรอการขายหรือ NPA ของ SAM ที่มีอยู่จำนวนมากและหลากหลายในทำเลดีทั่วประเทศ ให้ได้มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน และมีทางเลือกในการยื่นขอสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นการช่วยทำให้เกิดการนำทรัพย์ NPA ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กลับสู่ระบบเศรษฐกิจและถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ อันจะนำมาซึ่งความเข้มแข็งและความเติบโตของประเทศโดยรวม” 

ในช่วงที่เหลือของปี 2567 และต่อเนื่องไปถึงปี 2568 มีความเสี่ยงสำคัญ 3 ประการที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ 1. ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และดันราคาพลังงานให้สูงขึ้น 2. ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนว่าจะเพียงพอต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือไม่ และ 3. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากที่สุด

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อัตราดอกเบี้ย และค่าเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ผลกระทบดังกล่าวอาจส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเศรษฐกิจโลก รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

ผลสำรวจความคิดเห็นชี้ว่านางกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบคณะผู้เลือกตั้งของสหรัฐฯ ผลการลงคะแนนเสียงในรัฐที่ไม่ได้เป็นฐานเสียงของพรรคใดจะเป็นตัวกำหนดผลการเลือกครั้งนี้ ซึ่งผู้สมัครทั้งสองมีคะแนนสูสีมากในหลายรัฐดังกล่าว จึงยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้

นโยบายของทรัมป์อาจดันเงินเฟ้อสูงขึ้น  นักวิเคราะห์หลายท่านระบุถึงความเสี่ยงที่นโยบายของทรัมป์อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ประกาศสนับสนุนให้มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าหลายรายการ โดยเสนอให้เพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอย่างมีนัยสำคัญสูงสุดถึงร้อยละ 60 หรือภาษีนำเข้ารถยนต์จากเม็กซิโกในอัตราร้อยละ 200 นอกเหนือจากการเสนอให้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทในอัตราร้อยละ 10  ทรัมป์ยังเสนอว่ารายได้จากการเก็บภาษีนำเข้าสามารถนำมาทดแทนการลดภาษีได้ โดยให้ลดภาษีนิติบุคคลสำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าภายในสหรัฐฯ จากร้อยละ 21 เหลือร้อยละ 15

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายดังกล่าวอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อ เนื่องจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ทรัมป์ยังต้องการส่งตัวผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศ ซึ่งอาจทำให้ตลาดแรงงานตึงตัวและผลักดันค่าแรงสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออีกทางหนึ่ง

แม้จะดูเหมือนว่านโยบายของทรัมป์จะช่วยยืดอายุวงจรการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่การดำเนินการนโยบายเหล่านี้แม้เพียงบางส่วนอาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้ออีกครั้งในสหรัฐฯ สถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สันเตือนว่า ข้อเสนอภาษีนำเข้าของทรัมป์อาจทำให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของชาวอเมริกันทั่วไปเพิ่มขึ้นกว่า 2,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

เงินเฟ้อที่สูงขึ้นนี้อาจส่งผลทำให้แผนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดไม่ลงลึกเท่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เราคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะลดลงจากร้อยละ 5 ในปัจจุบัน ลงเหลือร้อยละ 3.5 ภายในสิ้นปีหน้า แต่หากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เราก็ไม่อาจคาดเดาการดำเนินการอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้

แฮร์ริสเสนอนโยบายเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายชัดเจนและไม่สุดโต่งเท่า ในขณะเดียวกัน นางกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ได้นำเสนอนโยบายในภาพรวมกว้างๆ โดยเฉพาะในด้านการค้า แฮร์ริสน่าจะยังคงดำเนินนโยบาย “สนามเล็ก รั้วสูง” ตามแนวทางของรัฐบาลไบเดน โดยจัดเก็บภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่สุดโต่งเท่านโยบายที่ทรัมป์เสนอ ในด้านนโยบายภาษี แฮร์ริสเสนอให้เพิ่มภาษีรายได้สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สูงสุด รวมถึงภาษีสำหรับกลุ่มการเก็งกำไรสูงสุด และภาษีนิติบุคคล โดยสงวนการลดภาษีให้กับอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์และอุตสาหกรรมสะอาด

ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตมีเป้าหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจขนาดเล็กและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยรับมือกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น โดยรวมแล้ว นโยบายเศรษฐกิจของแฮร์ริสมีเป้าหมายชัดเจนและไม่สุดโต่งเท่านโยบายของทรัมป์ และน่าจะมีผลกระทบด้านเงินเฟ้อน้อยกว่าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นอกจากนี้ แฮร์ริสยังสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงมีอิสระในการดำเนินนโยบาย ซึ่งแตกต่างจากข้อเสนอของทรัมป์ที่ต้องการให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินมากขึ้น แฮร์ริสยังไม่ได้เสนอมาตรการให้ลดค่าเงินดอลลาร์เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ทรัมป์กล่าวถึงบ่อยครั้ง  ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความสำคัญต่อการจัดการหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่านี้

ที่น่าผิดหวังคือ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสองฝ่ายไม่ได้ให้ความสำคัญนักกับแนวโน้มการคลังของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวแย่ลงอย่างมาก ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 หนี้สาธารณะคงค้างของสหรัฐฯ อยู่ที่ต่ำกว่า 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันกลับเพิ่มขึ้นเป็น 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำนักงานงบประมาณรัฐสภา ซึ่งไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองข้างใด คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะคงค้างอาจพุ่งขึ้นอีก และอาจแตะระดับ 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 120 ของจีดีพีสหรัฐฯ ภายในปี 2577 ซึ่งหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนี้สินที่สูงขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากรายได้ที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จัดเก็บได้จะถูกนำไปใช้ชำระดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้น แทนที่จะใช้เพื่อความต้องการทางโครงสร้างในระยะยาวของเศรษฐกิจ

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งระบุว่าอาจมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในระยะกลาง หากหนี้สาธารณะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไร้การควบคุม  ไม่ว่าชัยชนะจะตกเป็นของฝ่ายใด ประธานาธิบดีคนถัดไปจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามในการจัดการหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น

นโยบายของผู้สมัครทั้งสองฝ่ายส่งผลต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไร ?

สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาค นโยบายของทรัมป์อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง นโยบายต่างประเทศและนโยบายด้านการค้าแบบเผชิญหน้าของทรัมป์ต่อจีนอาจเพิ่มความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่แม้จะมีความเป็นไปได้น้อย แต่ทรัมป์อาจทำให้การฟื้นตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการไหลของการค้าในจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชะลอตัวลง สิ่งนี้อาจทำให้รัฐบาลและธนาคารกลางในภูมิภาคจำต้องปรับทิศทางนโยบายการคลังและนโยบายการเงินในปี 2568

ในปัจจุบัน แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงสดใส เนื่องจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในภาคการค้าปลีก และการส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาค คาดว่าจีดีพีของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคจะปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินจะแข็งค่าขึ้นในปี 2568 ในระยะยาว ปัจจัยเชิงบวก อาทิ ประชากรวัยหนุ่มสาวในภูมิภาค การขยายตัวของชนชั้นกลาง การประสานการค้าข้ามพรมแดน และการบูรณาการอุตสาหกรรมในภูมิภาคในเชิงลึก จะเป็นรากฐานเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เราคาดว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 38 อยู่ที่ 3.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 และเพิ่มขึ้นเป็น 3.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศอันเป็นผลมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สิ่งสำคัญที่เราต้องพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เป็นข้อตกลงทางการค้าที่สำคัญระหว่างประเทศในอาเซียนกับจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เราคาดว่าอาเซียนจะปรับปรุงข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่มีมายาวนานกับจีนอีกด้วย

ประเทศไทย: ความต้องการจากต่างประเทศที่พุ่งสูงจะช่วยขับเคลื่อนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

ศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นชัดเจนมาก คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้นและการใช้จ่ายภาครัฐหลังการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ค่อนข้างราบรื่น

ในการประชุมเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย สวนการคาดการณ์ของตลาดด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน และคาดว่าในอนาคตยังมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เพื่อกดให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ร้อยละ 2 ต่อปีในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยรวมแล้ว เราคาดการณ์ว่าจีดีพีของไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 และร้อยละ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับร้อยละ 1.9 ในปี 2566  แม้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ แต่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังคงเป็นโอเอซิสแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและโอกาสทางการค้าที่แข็งแกร่ง

 

บทความ : เฮง คุน เฮา  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ยูโอบี

 

 

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้เปิดตัวฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยใหม่ UOB Money Lock ซึ่งเป็นบริการเพื่อความปลอดภัยใหม่ล่าสุดสำหรับลูกค้ายูโอบีที่มีบัญชีเงินฝากเพื่อป้องกันการโอนเงินออกผ่านออนไลน์ ลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ

จากข้อมูลจากรายงานการหลอกลวงในเอเชียประจำปี 2023[1] เผยว่าเอเชียกำลังเป็นเป้าหมายสำคัญของเหล่าอาชญากร ที่มีแนวโน้มใช้เทคโนโลยี AI สร้างเครือข่ายหลอกลวงได้ง่าย รวดเร็ว และดำเนินการในต่างประเทศเพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบและจับกุม ในบรรดาประชากรเอเชียทั้งหมด ประชากรไทยมีแนวโน้มตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางโทรศัพท์มากที่สุด (ร้อยละ 88) โดยเป็นการหลอกลวงออนไลน์ผ่าน Facebook, LINE และอีเมล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการฉ้อโกง รวมถึงการขโมยข้อมูลส่วนตัวและหลอกให้ลงทุน

ฟีเจอร์ UOB Money Lock จะช่วย "ล็อค" บัญชีเงินฝากที่กำหนดไม่ให้สามารถเกิดการโอนเงินออกจากบัญชีผ่านช่องทางแอปพลิเคชันหรืออินเทอร์เน็ตแบงกิ้งของธนาคาร เพื่อลดความเสี่ยงการถูกหลอกลวงให้ทำรายการโดยมิจฉาชีพ สำหรับการถอนเงิน ลูกค้าจะต้องไปที่สาขาของธนาคารยูโอบี เพื่อยืนยันตัวตน หรือถอนเงินจากตู้ ATM โดยใช้บัตรเดบิต โดยบัญชีที่ถูกล็อกจะยังสามารถรับเงินโอนเข้าได้ทุกช่องทาง และลูกค้ายังสามารถดูธุรกรรมของบัญชีผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ ในการขอปลดล็อกบัญชีนั้นลูกค้าจะต้องไปที่สาขาของธนาคารเพื่อทำการยืนยันตัวตน เพื่อความปลอดภัยของบัญชีของท่าน

นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า "ฟีเจอร์ UOB Money Lock นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินของลูกค้า ให้สอดคล้องกับนโยบายการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยยกระดับความปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น และแม้ว่า UOB Money Lock จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง แต่ลูกค้ายังคงต้องระมัดระวังในการใช้งานบัญชี และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนทำธุรกรรมอยู่เสมอ"

ลูกค้าสามารถสมัครใช้งานฟีเจอร์ UOB Money Lock ผ่านธนาคารยูโอบีทุกสาขา บริการ Live Chat บนแอป UOB TMRW หรือ UOB Contact Center ได้ที่หมายเลข 02-285-1555 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และเงื่อนไขและข้อกำหนดของบริการ UOB Money Lock ได้ที่เว็บไซต์ของ UOB


[1] https://files.gogolook.com/2023-asia-scam-report.pdf

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 25 ปีของการดำเนินงานในประเทศไทยด้วยแคมเปญสุดพิเศษที่มอบสิทธิประโยชน์และโปรโมชันมากมายแก่ลูกค้ารายบุคคล และลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี

ความผันผวนทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้ทดสอบความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากรายงานผลสำรวจ UOB Business Outlook Study 2024 ที่ได้จากการสำรวจบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า ประมาณ 9 ใน 10 บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 62 ระบุว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 50 ระบุว่าต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มทางเศรษฐกิจเหล่านี้เชื่อมโยงกับความยั่งยืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  อาทิ ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นอาจเกิดจากการขาดแคลนทรัพยากร และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) ซึ่งเป็นมาตรการที่มีผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปรวมถึงผู้ส่งออกของไทย ก็เป็นตัวกระตุ้นต่อการเติบโตและการอยู่รอดของ SMEs ด้วยเช่นกัน

ด้วยแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ที่เป็นความท้าทายสำคัญสำหรับธุรกิจ SMEs แต่ยังมีโอกาสจะพลิกสถานการณ์และเพิ่มความยืดหยุ่นได้ หากผนวกความยั่งยืนเข้าไปในธุรกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย โดย ยูโอบี ฟินแล็บ จึงได้ดำเนินโครงการ Sustainability Innovation Programme หรือ SIP ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ,องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, PwC Thailand เป็นต้น เพื่อสนับสนุน SMEs กว่า 200 รายให้สามารถปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนได้ ด้วยการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เชิงลึก รวมถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจยั่งยืน ให้สามารถยืดหยุ่นและเติบโตได้

นายบัลลังก์ ว่องธวัชชัย Head of Digital Engagement and FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ SIP ได้ทำงานกับพันธมิตรหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยเหลือ SMEs ให้ปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืน เพราะเราเข้าใจดีถึงการสนับสนุนที่ SMEs ต้องการได้รับจากธนาคารและภาครัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและความยั่งยืน อาทิ เทรนด์ความรู้ แนวทางปฏิบัติ คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานด้าน ESG การเชื่อมต่อกับบริษัทที่อยู่ในระบบนิเวศอุตสาหกรรมเดียวกัน รวมถึงโซลูชันทางการเงินสีเขียวที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย”

นางสาวนรีรัตน์ สันธยาติ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการลงทุนอย่างยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวเสริมว่า  “ประเด็นด้าน ESG ได้กลายเป็นเรื่อง Do or Die เพราะเป็นเรื่องของความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว ทุกธุรกิจจึงต้องกลับมาคิดทบทวนว่า จะปรับตัวให้อยู่รอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทายได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ SMEs และธุรกิจครอบครัวจะสามารถส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างไร SMEs จึงต้องเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อติดอาวุธให้ตัวเอง โดยควรพัฒนาความรู้ความเข้าใจและบริหารจัดการประเด็น ESG ที่สำคัญเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจให้ตอบโจทย์ทิศทางของโลกเรื่อง ESG ก็มีให้เห็น เช่น การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถย่อยสลายและกลับคืนสู่ระบบนิเวศน์ได้อย่างสมบูรณ์ หรือการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ ให้สามารถชี้แจงที่มาของวัตถุดิบ ตั้งแต่แหล่งกำเนิดของสินค้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า สอดรับกับ EU Deforestation Regulation เพื่อจับกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมชั้นนำในระดับโลก เป็นต้น”

5 แนวทางการปรับตัวทางธุรกิจ

ดร.ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์  นักวิชาการด้านการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แนะนำ 5 แนวทางให้กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการทำธุรกิจในแนวทางของ  ESG  ดังนี้ 1. รู้บริบทธุรกิจ – เพื่อประเมินผลกระทบของธุรกิจของเรา 2. รู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย – เก็บข้อมูลว่าแต่ละรายได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง 3. รู้ประเด็นไหนสำคัญ – งานหรือสิ่งไหนที่มีผลกระทบสูงต่อธุรกิจและผู้มีส่วนได้เสีย 4. รู้ว่าทำประเด็นไหนก่อน - คัดจากประเด็นที่สำคัญว่าอันไหนสำคัญที่สุด เรียงลำดับความสำคัญ แล้วค่อยทยอยปรับเปลี่ยนแนวทาง และ 5. รู้สื่อสาร- ต้องสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร เผื่อผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทาง ESG อย่างต่อเนื่อง

ประเมินความพร้อมของธุรกิจด้วยเครื่องมือใหม่ UOB Sustainability Compass

นางสาวกุลธิดา วิรัตกพันธ์  หุ้นส่วนด้านความยั่งยืน ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส ได้กล่าวว่า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการธุรกิจเอสเอ็มอี พีดับบลิวซี  ได้ร่วมกับ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย พัฒนา UOB Sustainability Compass ซึ่งเป็นเครื่องมือในรูปแบบของแบบประเมินออนไลน์ ที่จะช่วยวัดระดับและประเมินความพร้อมด้านความยั่งยืนของบริษัทว่าอยู่ในระยะใด บริษัทสามารถลงทะเบียนเพื่อทำแบบสอบถาม และรับรายงานที่รวบรวมแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน โดยรายงานมีการรวบรวมข้อมูลจำเพาะของกฎระเบียบ บรรทัดฐาน และมาตรฐานที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนที่จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทของแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับโซลูชันทางการเงินที่เหมาะสมให้แก่บริษัททั้งนี้ รายงานความยั่งยืนจะเปรียบเสมือนคัมภีร์เล่มสำคัญที่สะท้อนภาพลักษณ์ของการดำเนินธุรกิจของกิจการในระยะยาว  

ออกแบบโมเดลธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วย S-BMC (Sustainable Business Model Canvas)

ดร.รณกร ไวยวุฒิ สถาบันนวัตกรรมบูรณาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงการออกแบบโมเดลธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วย S-BMC  (Sustainable Business Model Canvas) ว่า สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงในการนำ Innovation มาพัฒนาร่วมกันกับ ESG ประกอบด้วย 1.ความต้องการอยากใช้นวัตกรรมของลูกค้า 2.ความคุ้มค่าทางธุรกิจ และ 3.สามารถทำได้จริง  นับเป็น 3 องค์ประกอบหลักการสร้างนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในโลกปัจุบัน ครอบคลุม เรื่องของ Human Value , Business และ Technology

โดยทั้ง 3 องค์ประกอบ ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ความต้องการของลูกค้าไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ดังนั้นการสร้าง Innovation ในยุคนี้จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งรอบข้าง อย่างไรก็ดีควรนำ Social, Environmental และ Economic มาพัฒนารวมกัน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ และสามารถทำได้จริงและวัดผลได้

ด้านนางสาวอโณทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO) เล่าว่า SMEs ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ หลังนโยบายทั้งไทยและต่างประเทศมุ่งเป้าจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พบว่ามีหลายๆ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายสู่ Net Zero มากขึ้น แต่ไม่มีความรู้ที่แน่ชัดว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหน ทาง TGO จะเข้ามาช่วย เสริมโครงการ SIP ในจุดนี้ได้ ด้วยการสนับสนุน SMEs ทั้งในเรื่องของแพลตฟอร์มการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งแพลตฟอร์มการขอขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต กับ TGO ตลอดการให้คำปรึกษาและข้อแนะนำต่างๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสและเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจ SMEs สามารถรุกตลาดคาร์บอนเครดิตต้องทำยังไง ทั้งเป็นหน่วยงานกลางให้ความรู้เทคนิควิชาการเรื่องการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตสินค้าให้มีการลดการใช้พลังงาน ลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero ของธุรกิจ อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการติดต่อสอบถามและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้เว็บไซต์ฉลากคาร์บอน https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/

สำหรับโครงการ SIP จะจัดมีเวิร์กชอปเกี่ยวกับด้านความยั่งยืนให้กับ SMEs อย่างต่อเนื่อง ตลอดปี พ.ศ. 2567 นี้ ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมของ โครงการ Sustainability Innovation Programme สามารถคลิกได้ที่นี่

Page 1 of 11
X

Right Click

No right click