

ในวันที่พฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนผ่านจากหน้าจอทีวีสู่สมาร์ทโฟนและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่หลากหลาย “เรตติ้ง” จึงไม่ได้สะท้อนแค่ยอดผู้ชม แต่หมายถึง “ความสามารถในการเข้าใจผู้บริโภค” อย่างลึกซึ้ง จากแอปดูหนัง สู่แพลตฟอร์มแห่งคอนเทนต์ครบวงจร TrueID ขึ้นแท่นอันดับ 1 แพลตฟอร์มดิจิทัลของประเทศไทย ด้วยเรตติ้งสูงสุดจากนีลเส็นประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ตอกย้ำกลยุทธ์ “รู้ใจคนดู” ที่ไม่ได้มีแค่คอนเทนต์ดี แต่เข้าใจประสบการณ์ผู้ใช้แบบรอบด้าน
ล่าสุด รายงานข้อมูล การวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform Ratings) จากสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) หรือ ADTEB ประจำเดือน พฤษภาคม 2568 ได้เปิดเผยอันดับเรตติ้งของแพลตฟอร์มดิจิทัลทั่วประเทศ โดย TrueID คือแพลตฟอร์มไทยผู้ครองตำแหน่ง อันดับ 1 ด้วยเรตติ้ง 0.695% และยอดเข้าถึงผู้ชม (Reach) สูงถึง 13.02 ล้านคน ทิ้งห่างแพลตฟอร์มอันดับ 2 และ 3 กว่าเท่าตัว

นายวินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี ประธานฝ่ายดิจิทัลมีเดีย (ทรูไอดี) - ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป กล่าวว่า "ในสมรภูมิที่มีแพลตฟอร์มเป็นจำนวนมาก การที่ TrueID ครองใจผู้ชมกว่า 13 ล้านคน และคว้าอันดับ 1 จากการจัดอันดับครั้งนี้ได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากการวางกลยุทธ์รอบด้าน ที่หลอมรวมทั้ง “คอนเทนต์ เทคโนโลยี และประสบการณ์” เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และที่สำคัญที่สุดคือรู้ว่า “คนไทยอยากดูอะไร” และ “อยากดูอย่างไร” จากประสบการณ์ในฐานะแพลตฟอร์ม OTT รายแรก ๆ ของไทย TrueID สั่งสมความเข้าใจพฤติกรรมผู้ชมมาอย่างต่อเนื่อง และนำมาปรับใช้กับการพัฒนาคอนเทนต์และประสบการณ์การรับชมให้ตอบโจทย์มากที่สุด โดยให้ความสำคัญกับการคัดสรรคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการของคนไทยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นกีฬาระดับเอ็กซ์คลูซีฟ อย่าง วอลเลย์บอลลีก ภาพยนตร์ฮอลลีวูดและเอเชีย ซีรีส์ยอดนิยมจากจีน ข่าวสารรายวัน อนิเมะระดับตำนาน รวมถึง TrueID Original Series ที่ผลิตโดยทีมงานคนไทย เพื่อสะท้อนเสียงและความสนใจของผู้ชมไทยโดยตรง รวมถึง TrueID Short คอนเทนต์แนวตั้งแบบสั้น ที่กำลังเป็นเทรนด์ รองรับพฤติกรรม “ดูเร็ว–ดูไว” พร้อมระบบพากย์ไทยเต็มรูปแบบที่เข้าถึงง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ผ่าน ‘ประสบการณ์การรับชม’ ที่ไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นการรับชมผ่านสมาร์ทโฟน กล่อง TrueID TV หรือเว็บไซต์
ทุกช่องทางเชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์แบบภายใต้แนวคิดเดียวกัน พร้อมด้วยระบบ AI Recommendation อัจฉริยะที่ทำงานแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์พฤติกรรมการรับชม เช่น ความยาวในการดูและประเภทคอนเทนต์ที่ชื่นชอบ เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจเฉพาะบุคคล
"ที่สำคัญ TrueID ไม่ได้เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นหัวใจของระบบนิเวศดิจิทัลของทรู ที่เชื่อมโยงกับสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า เทคโนโลยีล้ำสมัย และบริการดิจิทัลต่าง ๆ อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสะสมและใช้ทรูพอยท์ผ่านแอป TrueID การเข้าถึงสิทธิพิเศษ หรือเชื่อมต่อกับบริการอื่น ๆ ของทรูได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งหมดนี้ทำให้ TrueID ก้าวข้ามความเป็น OTT สู่การเป็น Digital Lifestyle Platform อย่างแท้จริง ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทุกจังหวะชีวิตคนไทย ในรูปแบบที่เรียบง่าย และเข้าใจผู้ใช้มากที่สุด ที่มุ่งนําเทคโนโลยีเข้าถึงทุกคน และทําให้ชีวิตดียิ่งขึนในทุกวัน” นายวินท์รดิศ กล่าวทิ้งท้าย
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ แกร็บ ประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วย การนำโซลูชัน GrabForBusiness มาใช้ในการจองบริการรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน Grab แอปเรียกรถ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ กฟภ. ในการเดินทางในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการปฏิบัติงานของ กฟภ. ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ผ่านระบบออนไลน์ทั้งยังช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนช่วยยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่มีเทคโนโลยีและมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากล
นายจักรี กิจบัญชา รองผู้ว่าการโลจิสติกส์และบริการองค์กร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ แกร็บ ในการทดลองเปลี่ยนมาใช้ระบบเรียกรถแบบ On-Demand ภายในองค์กร จากเดิมที่ใช้ระบบเช่ารถพร้อมพนักงานขับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งค่าจ้าง และค่าเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง รวมถึงไม่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานจริงที่มักเกิดขึ้นรายวัน การมีทางเลือกบริการของแกร็บนอกจากจะช่วยให้การเดินทางมีความยืดหยุ่น ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นระบบมากขึ้น และตอบโจทย์การใช้งานของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความโปร่งใส่ในองค์กร โดยเราให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้บริหาร และพนักงานปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้มาโดยตลอด โดย การจับมือกับแกร็บในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญขององค์กรภาครัฐในการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล มาใช้ในการเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ และช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น ตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่โปร่งใส”
นางสาวปุณณดา เหลืองอร่าม รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กรและงานโฆษณา แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 12 ปีในประเทศไทย บริการของแกร็บได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คนในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น บริการเรียกรถ บริการสั่งอาหาร-ของใช้ และส่งพัสดุ ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้บริการทั่วไป แต่ยังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าในองค์กรด้วย ดังนั้น แกร็บจึงได้ริเริ่มและพัฒนา GrabForBusiness ซึ่งเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับลูกค้าองค์กร ไม่ว่าจะเป็น การช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น การลดงานเอกสารและลดภาระในการสำรองจ่ายเงินของพนักงาน และการนำเสนอบริการของแกร็บที่มีมาตรฐานทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ แกร็บ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้สามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งานได้อย่างละเอียด ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นได้ในองค์กร”
ส่งเสริมการสร้างอาชีพ - พัฒนาสิทธิประโยชน์ – ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ระหว่าง นางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายเอกชาติ นาคาไชย รองผู้อำนวยการ รักษาการแทน ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และ นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เป็นผู้ลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า “แพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นรูปแบบธุรกิจ ที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเสมือนตัวกลางที่อำนวยความสะดวกระหว่างผู้บริโภค ผู้ให้บริการ และผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานได้กำหนดนโยบาย ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงานให้ได้รับการดูแลสภาพการจ้าง สภาพการทำงาน รวมทั้งความปลอดภัยในการทำงาน กระทรวงแรงงาน จึงมีแนวคิดในการจัดทำบันทึกความร่วมมือ ว่าด้วยการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในสังกัดกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ในการหาแนวทางยุติปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างคนทำงานในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลกับผู้ให้บริการฯ หรือมีช่องทางในการบริหารจัดการกับปัญหาที่อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ชัดเจน รวมถึงการสร้างงาน ให้กับผู้สูงอายุ ที่ต้องการเลือกประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้ที่ต้องการหารายได้เสริม โดยได้ร่วมมือกับกรมการจัดหางาน ในการส่งตำแหน่งงานว่างเพื่อสร้างอาชีพ ตลอดจนส่งเสริมการทำงาน หรือสร้างมาตรฐานในการทำงาน ที่ปลอดภัย โดยร่วมกับสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งการลงนามร่วมกันในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ประกอบธุรกิจบริการระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลกับผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล และเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงอาชีพของ ผู้ว่างงานและผู้สูงอายุที่ประสงค์จะทำงานอีกด้วย”

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแพลตฟอร์มดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้นและกลายเป็นส่วนสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการทำงานในรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ผ่านการใช้เทคโนโลยี แกร็บให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลพาร์ทเนอร์คนขับ ซึ่งใช้แพลตฟอร์มของเรา เป็นช่องทางในการหารายได้ โดยที่ผ่านมาแกร็บมุ่งเน้นการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมและสอดคล้อง กับระบบอุปสงค์อุปทาน ทั้งยังพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานของพาร์ทเนอร์คนขับ และสร้างมาตรฐานให้กับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้คุ้มครองระหว่างการให้บริการ การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและเป็นไปตามข้อกำหนดของ ธปท. รวมไปถึงการจัดทำคอร์สอบรมเพื่อให้ความรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นผ่านโครงการ GrabAcademy เป็นต้น”
“การผนึกความร่วมมือกับกระทรวงแรงงานในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของแกร็บในการร่วมผลักดันมาตรฐานการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลให้เป็นรูปธรรม โดยเราพร้อมสนับสนุนและ ให้ความร่วมมือกับกระทรวงแรงงานในการพัฒนาแนวทางในการคุ้มครองแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแพลตฟอร์มเพื่อหารายได้ ตลอดจนดูแลให้แรงงานเหล่านี้ได้รับสิทธิประโยชน์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” นายวรฉัตร กล่าวเสริม

ทั้งนี้ บันทึกความร่วมมือระหว่าง แกร็บ ประเทศไทย และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน และสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในครั้งนี้มีเป้าหมายหลัก ที่จะส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลผ่านการดำเนินงานใน 3 ส่วนสำคัญ คือ
· การส่งเสริมการให้สิทธิประโยชน์ที่เป็นมาตรฐานกับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและแกร็บจะร่วมหาแนวทางในการสนับสนุนและจัดทำมาตรการในการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสม ซึ่งรวมไปถึงการกำหนดสิทธิประโยชน์ที่เป็นมาตรฐาน ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยที่ผ่านมา แกร็บให้ความสำคัญกับการจัดสรรสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมให้กับพาร์ทเนอร์คนขับ นอกเหนือจาก การบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสม โดยเฉพาะ การจัดทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้ความคุ้มครองพาร์ทเนอร์
คนขับทุกคนตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังให้บริการแล้ว โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ และวงเงินชดเชยสูงสุด 200,000 บาท ในกรณีเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการด้านสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพของพาร์ทเนอร์คนขับโดยมีวงเงินสูงสุด 100,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม โดยสามารถแบ่งชำระได้แบบรายวัน เป็นต้น
· การส่งเสริมการสร้างอาชีพและโอกาสในการหารายได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลให้กับผู้ที่ว่างงาน รวมถึงผู้สูงอายุ โดยแกร็บและกรมการจัดหางานจะร่วมกันส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ จากแพลตฟอร์มของแกร็บในการหารายได้ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน หรือ บริการด้านเดลิเวอรี ซึ่งที่ผ่านมา แกร็บเปิดโอกาสให้กับคนไทยหลายแสนคน สามารถเข้ามา เป็นพาร์ทเนอร์คนขับเพื่อหารายได้เสริม โดยไม่จำกัดเพศ วัย การศึกษา หรือแม้แต่ผู้ที่มีข้อจำกัด ทางด้านร่างกาย เช่น ผู้พิการทางการได้ยิน นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มโครงการ ‘แกร็บวัยเก๋า’ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยวัยเกษียณสามารถหารายได้และส่งเสริมคุณค่าในตัวเองผ่านแพลตฟอร์มของแกร็บ โดยปัจจุบันมีพาร์ทเนอร์คนขับกลุ่มนี้มากกว่า 13,000 คน
· การพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยสำหรับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยแกร็บและ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานจะร่วมกันพัฒนาแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในระหว่างการทำงานให้กับผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น การจัดอบรมเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงาน หรือการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อป้องกันภัยต่างๆ เป็นต้น โดยที่ผ่านมา แกร็บให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความปลอดภัย เป็นอันดับต้นๆ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนที่ใช้แพลตฟอร์มของแกร็บ โดยได้พัฒนาเทคโนโลยี และมาตรฐานด้านความปลอดภัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบตรวจสอบการเดินทางแบบเรียลไทม์ ฟีเจอร์ Safety Centre ที่ทั้งผู้โดยสารและพาร์ทเนอร์คนขับสามารถแชร์ข้อมูลการเดินทางให้กับเพื่อน หรือครอบครัวได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงสามารถขอความช่วยเหลือได้ในกรณีฉุกเฉิน และฟีเจอร์ Audio Protect ที่ช่วยบันทึกเสียงระหว่างการเดินทางเพื่อป้องกันเหตุร้ายและใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างการเดินทาง เป็นต้น
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผย ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่มีลักษณะตามมาตรา 16 ภายใต้กฎหมาย DPS จะต้องเตรียมประกาศข้อตกลงและเงื่อนไขการให้บริการ หรือ Terms & Conditions (T&C) อาทิ เงื่อนไขการให้บริการ การระงับ การคิดค่าบริการ การจัด Ranking การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ช่องทางรับเรื่องร้องเรียน ช่วยเหลือ ระงับข้อพิพาท ฯลฯ ให้ผู้ใช้บริการทราบอย่างชัดเจน เริ่มบังคับใช้พร้อมกัน 3 มกราคม 2567 นี้
นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA เปิดเผยว่า ตามที่ กฎหมาย DPS (Digital Platform Service) หรือ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 มาตรา 17 ได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่มีลักษณะบริการตาม มาตรา 16 คือ เป็นบริการแพลตฟอร์มที่มีลักษณะให้บริการโดยคิดค่าบริการ, ให้บริการเป็นสื่อกลางในการเสนอสินค้าหรือบริการ, ผู้ประกอบธุรกิจมีสัญญากับผู้ประกอบการในการเสนอสินค้าหรือบริการ หรือเป็นบริการ Search engine หรือ เป็นบริการสืบค้นแหล่งที่ตั้งของข้อมูลคอมพิวเตอร์ จะต้องดำเนินการแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเกี่ยวกับ "ข้อตกลงและเงื่อนไขการให้บริการ (Terms & Conditions: T&C)” ก่อนหรือขณะใช้บริการ
การแจ้ง T&C เป็นหนึ่งกลไกที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม ในการให้บริการของแพลตฟอร์มดิจิทัล ให้ผู้ใช้บริการมีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ ที่จะเลือกใช้งานแพลตฟอร์มและทราบผลที่จะเกิดขึ้นจากการใช้บริการแพลตฟอร์มนั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้มีการดูแลและปกป้องสิทธิของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ…

ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล มีแนวทางในการแจ้งประกาศ T&C ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับกฎหมาย DPS ทาง ETDA จึงได้ออกประกาศ สพธอ. ที่ ธพด. 4/2566 เรื่อง รายละเอียดการประกาศข้อตกลงและเงื่อนไขการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ผู้ใช้บริการทราบ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งตามประกาศดังกล่าว ระบุว่า T&C ที่ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลจะต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบนั้น อย่างน้อยต้องประกอบไปด้วย 8 เรื่อง ดังนี้ 1. เงื่อนไขในการให้บริการ การระงับหรือการหยุดให้บริการ และการคิดค่าบริการ 2. ปัจจัยหลักของอัลกอริทึมหรือของหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับ (Ranking) หรือ แนะนำรายการสินค้าหรือบริการ (Recommending) 3. ปัจจัยหลักของอัลกอริทึมหรือของหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการนำเสนอโฆษณาสินค้าหรือบริการแก่ผู้ใช้บริการ 4. ปัจจัยหลักของอัลกอริทึมหรือของหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินความพึงพอใจและการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้บริการ 5. การเข้าถึงและการใช้งานข้อมูลที่ได้รับจากการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ใช้บริการ 6. ช่องทางการให้ความช่วยเหลือ กระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียนและการระงับข้อพิพาทและกรอบระยะเวลาดำเนินการ 7. การจัดระดับการนำเสนอสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการแต่ละกลุ่ม และ
8. การดำเนินการกับสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล จะต้องดำเนินการแจ้ง T&C ให้ผู้ใช้บริการทราบ ตั้งแต่วันนี้ที่ 3 มกราคม 2567 เป็นต้นไป และต้องยื่นรายงาน T&C พร้อมการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจรายปี ให้ ETDA ทราบตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีบุคคลธรรมดา ภายใน 60 วัน นับจากวันสิ้นปีปฏิทิน (ภายใน 29 กุมภาพันธ์ 2567) กรณีนิติบุคคล ภายใน 60 วัน นับจากวันสิ้นปีบัญชี (ตามวันที่แจ้งกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์)
สามารถศึกษารายละเอียดประกาศ T&C ได้ที่ https://bit.ly/47vYJqY หรือขอคำปรึกษาเพิ่มเติม โทร 02-123-1234 (ติดต่อทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS) ในวันและเวลาราชการ (9.00-17.00 น.) หรือ อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.