· รายงานของอะโดบีคาดการณ์ว่าเทรนด์และธีม creative visual ทั่วโลก ได้แก่ ศิลปะแบบ Psychic Waves, Real is Radical, Retro Active, และศิลปะที่เกี่ยวกับสัตว์และอินฟลูเอนเซอร์ จะเป็นที่ต้องการและได้รับความสนใจอย่างมากในปี 2566
· รายงานแสดงให้เห็นว่าหลังจากความยากลำบากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคกำลังค้นหาแรงบันดาลใจ และความสบายใจผ่านธรรมชาติ ความคุ้นเคย และความสนุกสนาน ด้วยภาพที่กระตุ้นความคิดใหม่ๆ
· ผู้บริโภคมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและสร้างความก้าวหน้าโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และขับเคลื่อนสังคมผ่านภาพที่เกิดขึ้นจริง
· 46% ของ Gen Z กล่าวว่าพวกเขาวิตกกังวลและเครียดเกือบตลอดเวลา จึงมีความต้องการเห็นภาพที่ช่วยให้อารมณ์ดี
ซานโฮเซ แคลิฟอร์เนีย — อะโดบี (Nasdaq:ADBE) เผยรายงานด้านเทรนด์ครีเอทีฟจาก Adobe Stock ประจำปี 2566 (Adobe Stock 2023 Annual Creative Trends Forecast) ซึ่งเป็นรายงานที่นำเสนอเทรนด์ภาพ และธีมครีเอทีฟที่กำลังได้รับความนิยมโดยกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำหรับครีเอเตอร์ในการสร้างผลงานให้ตรงตามความต้องการ และสร้างความประทับใจแก่ผู้คนตลอดปี 2566 โดยปีนี้นับเป็นปีที่หกติดต่อกันที่อะโดบีได้วิเคราะห์ธีม visual cultural ที่เกิดขึ้นใหม่ และการออกแบบแคมเปญที่น่าสนใจในเซ็กเม้นต์ต่างๆ ตั้งแต่ผลงานของนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังไปจนถึงผลงานของครีเอเตอร์ในชีวิตประจำวัน และรวบรวมข้อมูลอุตสาหกรรม Stock เพื่อระบุเทรนด์การออกแบบและความสวยงามที่จะยึดพื้นที่ดิจิทัลในปีหน้า
อะโดบีเป็นผู้นำด้านครีเอทีฟตลอดระยะเวลา 40 ปี และยังคงนำเสนอประสบการณ์ และเทรนด์ที่น่าสนใจสู่อุตสาหกรรมครีเอทีฟอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้อะโดบีได้คาดการณ์ธีมครีเอทีฟที่น่าสนใจหลักๆ 4 ธีม ซึ่งครอบคลุมทั้งภาพ การออกแบบ และโมชั่นกราฟฟิก ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างคอนเทนต์ในการถ่ายภาพ การถ่ายทำวิดีโอ การเขียนงานครีเอทีฟ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย บล็อก และอื่นๆ ได้แก่ 'Psychic Waves,' 'Real is Radical,' 'Retro Active' และ 'Animals and Influencers' โดยธีมการออกแบบที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้คาดว่าจะเป็นแนวทางให้ Creator Economy ซึ่งมีจำนวนครีเอเตอร์กว่า 303 ล้านคนทั่วโลกใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างดิจิทัลคอนเทนต์ที่โดนใจผู้ชมในปี 2566
เบรนด้า มิลิส หัวหน้าฝ่ายพฤติกรรมผู้บริโภค และ Creative Insights ของอะโดบีกล่าวว่า “ในขณะเรากำลังฟื้นตัวจากความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาด ผู้คนต่างโหยหาคอนเทนต์ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแต่ “สดใหม่” และกระตุ้นความรู้สึกผ่านประสบการณ์ที่แท้จริง โดยไม่มีการแต่งเติมหรือใส่ filter ใดๆ เทรนด์เหล่านี้บ่งชี้ว่าครีเอเตอร์จะมองเห็นภาพและกำหนดทิศทางด้านศิลปะบนโลกอย่างไร และใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเพื่อแบ่งปันคอนเทนต์มาสู่ผู้คนทั่วโลกที่นำมาซึ่งความสุขที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา”
4 เทรนด์ที่สำคัญจากรายงาน Adobe Stock 2023 Creative Trends:
· Psychic Waves หลังการแพร่ระบาด มีการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น โดยได้มีการขับเคลื่อนแนวทางใหม่ในการสำรวจสุขภาพจิตผู้คน ธรรมชาติ และสุขภาพที่ดี โดย 46% ของ Gen Z กล่าวว่าพวกเขาวิตกกังวลและเครียด จึงเป็นที่มาของ Psychic Waves ที่ไล่ระดับสีสันที่สดใส เทรนด์ใหม่นี้เน้นที่ creative authenticity เพื่อเป็นช่องทางในการแสดงออก รวมถึงการหลีกเลี่ยงความจริงด้วยการไล่ระดับสี การใช้สีสันที่สดใส และความสวยงามที่ผสมผสานกับความเซอร์เรียลลิสม์เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ที่มองไม่เห็นและไม่สามารถจับต้องได้
· Real is Radical จากการที่ปัจจุบันมีคอนเทนต์ที่ถูกแชร์มาจากแหล่งต่างๆ มากมายหลายครั้ง หรือคอนเทนต์ที่ได้รับการปรับแต่งจากหลากหลายผู้เขียนนั้น ทำให้เทรนด์ Real is Radical ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างตรงไปตรงมา โดยที่แบรนด์ต่าง ๆ ได้เปิดรับแคมเปญที่รองรับทุกเชื้อชาติ เพศ อายุ ความสามารถ และขนาด — เปลี่ยนจาก curated content เป็น candid moments จากรายงาน Pinterest Body Neutrality Report ฉบับล่าสุด มีการค้นหาคำว่า "รักตัวเอง" 36% และการค้นหา "ทำอย่างไรให้มีความมั่นใจมากขึ้น" 32% โดยเทรนด์ดังกล่าวมีปรากฏอยู่ในโซเชียล แคมเปญของแบรนด์ และแอปใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่าง BeReal และ Locket ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่องความขัดแย้ง ความดื้อรั้น ความก้าวร้าว ไปจนถึงความเปราะบาง ดังนั้นวิช่วลแบบ Real is Radical จึงเป็นการสร้างการเชื่อมต่อที่ทรงพลัง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนผ่านช่องทางสื่อและแพลตฟอร์มต่างๆ
· Retro Active ได้รับแรงบันดาลใจจากครีเอเตอร์ Gen Z ที่กำลังเติบโตและหลงใหลในสุนทรียภาพยุคก่อน โดยเทรนด์ Retro Active ให้ความสำคัญกับสไตล์วินเทจ และการทำให้ร่วมสมัยมากขึ้น ทั้งครีเอเตอร์ Gen Z, Millennial และ Gen X กำลังศึกษาการกลับมาของเทรนด์นี้ โดยค้นหาความหมายของครีเอทีฟในยุค 90 และ Y2K เช่น ฉากสเก็ตบอร์ดย้อนยุคไปจนถึงแฟชั่นคัลเลอร์ฟูล วิทยุแบบ Boombox และวิดิโอเกมแบบคลาสสิก แม้ว่าครีเอเตอร์ Gen Z จะมีอิทธิพลในการพัฒนาเทรนด์เหล่านี้ แต่คนรุ่นมิลเลนเนียลยังคงเป็นครีเอเตอร์กลุ่มใหญ่ของ Creator Economy ที่แท้จริง คิดเป็น 42% ของ Creator Economy ที่ขับเคลื่อนเทรนด์นี้
· Animals and Influencers วิช่วลที่เกี่ยวกับสัตว์และอินฟลูเอนเซอร์ ธีมนี้เกิดขึ้นจากความรักและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคกับสิ่งมีชีวิตที่มีเสน่ห์และน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนขนปุกปุยในชีวิตจริงหรืออวาตาร์อนิเมะที่มีเสน่ห์ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ดึงดูด และสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในการสื่อถึงแบรนด์ โดยขยายไปในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นอะนิเมะ ภาพประกอบ (illustration) ภาพถ่าย และภาพ 3 มิติ ความรู้สึกที่กระตุ้นผู้บริโภคและครีเอเตอร์คือ “ความสุข การคิดบวก และความบันเทิง” ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความต้องการอนิเมะทั่วโลกเพิ่มขึ้น 118% ขณะเดียวกันกับที่เวอร์ชวลอินฟลูเอนเซอร์เติบโตและมีส่วนร่วมมากกว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นบุคคลจริงๆ ถึงสามเท่า (หลายคนพบว่าพวกเขาน่าเชื่อถือและเข้าถึงได้มากกว่า) แบรนด์ต่างๆ จึงใช้ประโยชน์จากเวอร์ชวลอินฟลูเอนเซอร์ในโฆษณามากขึ้นเรื่อยๆ
ในยุคปัจจุบัน ที่นักการตลาดต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย และในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการด้านระบบออโตเมชั่นสำหรับการตลาดแบบ B2B อะโดบีได้ สำรวจเทรนด์ และ ข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาด เพื่อศึกษาว่า ทีมงานฝ่ายการตลาดและฝ่ายปฏิบัติงานด้านการตลาดแบบ B2B ที่เชี่ยวชาญในปัจจุบัน ใช้เทคโนโลยี และกลยุทธ์อะไรบ้าง? เพื่อสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง
จากข้อมูลการศึกษาพบว่า แรงกดดันทางเศรษฐกิจส่งผลให้หลายองค์กรหันไปให้ความสำคัญกับ “การลงทุน” “การเติบโตของธุรกิจ” และ “ประสบการณ์ของลูกค้า” โดยถือเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดสำหรับฝ่ายการตลาด
จากการศึกษาอย่างเจาะลึกว่า องค์กรชั้นนำจัดการกับภารกิจที่ท้าทายเหล่านี้อย่างไร? และวันนี้ อะโดบีได้เผยแพร่ผลการศึกษาสถานะของการตลาดแบบออโตเมชั่น (The State of Marketing Automation) ซึ่งเผยเคล็ดลับความสำเร็จของทีมงานการตลาด B2B ที่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ทั้งสามข้อดังกล่าว ด้วยเทคโนโลยีด้านการตลาดและมายเซ็ทแบบ “automate & operationalize” แนวทางปฏิบัติของนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ นับเป็นคู่มือสำคัญในการนำเสนอแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในปี 2566 และปีต่อๆ ไป
รายงาน The State of Marketing Automation อ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง (double-blind) โดยทำการศึกษาผู้บริหารและผู้นำฝ่ายการตลาดที่มีบทบาทในการสร้างดีมานด์ และการดำเนินงานกว่า 600 คน
โดยผู้จัดการ ผู้อำนวยการ รองประธานและ CMO เหล่านี้ใช้แพลตฟอร์มการตลาด B2B แบบออโตเมชั่น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาด จากกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 98% ระบุว่า ระบบการตลาดแบบออโตเมชั่นมีความสำคัญอย่างมากถึงมากที่สุดต่อความสำเร็จของพวกเขา เพราะระบบดังกล่าวช่วยการทำ Personalization at Scale และ CustomerEngagement at Scale เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยศึกษาว่านักการตลาดเหล่านี้จัดการกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และจำแนกแนวทางปฏิบัติของนักการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้เราพบข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ของ Marketing Automation ดังนี้
เร่งการปรับใช้เทคโนโลยีและ AI
จากผลสำรวจพบว่าบริษัทชั้นนำ 91% มีความพึงพอใจอย่างมากถึงมากที่สุดต่อฟีเจอร์ต่างๆ ของระบบ marketing automation ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่พวกเขาใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งครอบคลุมกระบวนการด้านการตลาดทั้งหมด ตั้งแต่การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การติดต่อสื่อสาร ไปจนถึงการวัดผล ในแง่ของการปรับใช้เทคโนโลยี องค์กรชั้นนำมีแนวโน้มที่จะใช้แพลตฟอร์ม Marketing Automation สำหรับกลยุทธ์การตลาดทั้งแบบที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมาย และแบบที่มุ่งเน้นฐานลูกค้าที่มีอยู่ (แทนที่จะใช้กับกลยุทธ์แบบใดแบบหนึ่ง) นอกจากนี้ นักการตลาดยังได้ระบุรายการความสามารถมากมายที่จำเป็นสำหรับระบบ Marketing Automation ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และตอกย้ำถึงความต้องการความสามารถขั้นสูงเพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานหลักๆ ของระบบ Marketing Automation
การดำเนินงานด้านการตลาดต้องสอดคล้องกับงานขาย
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 98% ระบุว่าจำเป็นที่จะต้องมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายในช่วงเวลาหลายปีนับจากนี้ การดำเนินงานที่สอดคล้องกันนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เกิดระบบที่ครบถ้วนสมบูรณ์สำหรับการติดต่อสื่อสารและการวัดผล เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ที่กลมกลืนและการเติบโตของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทชั้นนำ 100% กล่าวว่าการดำเนินงานด้านการตลาดจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญก็คือ ฝ่ายการตลาดมีหน้าที่จัดการดูแลประสบการณ์ที่ช่วยสร้างรายได้ผ่านทุกช่องทาง รวมถึงช่องทางการขาย ความสามารถเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกด้านการขาย นับเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการสร้างสะพานเพื่อเชื่อมโยงการดำเนินงานทั้งสองส่วนนี้เข้าด้วยกัน
องค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงขับเคลื่อนประสบการณ์ Personalization ผ่านหลากหลายช่องทาง
จากการศึกษาดังกล่าว พบว่าสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงได้มากที่สุดก็คือ “ความสามารถในการปรับแต่งการติดต่อสื่อสารแบบเฉพาะบุคคลในขอบเขตที่กว้างขวาง” โดย 99% ขององค์กรชั้นนำใช้การสร้างประสบการณ์ Personalization ในระดับปานกลางหรือสูง โดยครอบคลุมหลากหลายช่องทางและกำลังใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดระเบียบข้อมูลบุคคล โอกาส และข้อมูลบัญชีที่รองรับ Personalization ไปจนถึงการปรับปรุงเวิร์กโฟลว์การสร้างคอนเทนต์ การนำเสนอคอนเทนต์แบบไดนามิก และการระบุแหล่งที่มาของรายได้ องค์กรเหล่านี้ทราบดีว่าการซื้อที่มีการพิจารณาอย่างรอบคอบมักจะเกี่ยวข้องกับยอดซื้อจำนวนมากและครอบคลุมระยะเวลานาน ด้วยเหตุนี้ จึงต้องอาศัยการติดต่อสื่อสารแบบ Personalization จำนวนมาก ซึ่งจะสามารถทำได้ด้วยระบบออโตเมชั่นและ AI เท่านั้น ข่าวดีก็คือเทคโนโลยีนี้ได้รับการพิสูจน์และพร้อมใช้งานแล้ว และหลายบริษัทกำลังนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานจริง
นักการตลาดเปลี่ยนลำดับความสำคัญของช่องทางที่สร้าง Engagement อย่างมีประสิทธิภาพ
การระบาดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมของผู้ซื้อ รวมถึงแนวทางการตลาด และเร่งการเปลี่ยนไปใช้ช่องทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของการจัด digital event และการสัมมนาออนไลน์แล้ว นักการตลาดยังระบุว่า เว็บไซต์ แชทบนเว็บไซต์ อีเมล โซเชียลมีเดีย และโฆษณาออนไลน์ มีความสำคัญมากขึ้น เมื่อถามถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 90% ของนักการตลาดวางแผนที่จะใช้งานหรือปรับปรุงการแชทบนเว็บไซต์ในปีหน้า นอกจากนี้ หลายองค์กรคาดว่าจะมีการจัดกิจกรรมแบบพบเจอกันโดยตรงอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโปรแกรมการสัมมนาออนไลน์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยทุกองค์กรกำลังใช้ประโยชน์จาก Marketo Engage หรือโซลูชั่นระบบการตลาดอัตโนมัติอื่นๆ เพื่อจัดการดูแลการติดต่อสื่อสารในทุกขั้นตอน โดยครอบคลุมหลากหลายช่องทางที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
การวัดผลดัชนีที่สำคัญ
องค์กรชั้นนำเพิ่มการระบุแหล่งที่มา (Attribution) เพื่อพิสูจน์และปรับปรุงผลกระทบทางการตลาด โดยพยายามที่จะตรวจวัดประสิทธิภาพด้านการขาย รายได้ และ ROI ของแคมเปญ ช่องทาง คอนเทนต์ และ Touchpoint ทั้งหมด เพื่อให้ทราบว่ามีกลยุทธ์ใดบ้างที่ใช้ได้ผลในแต่ละขั้นตอนและควรจะลงทุนที่ส่วนใดบ้างในอนาคต จากผลสำรวจความคิดเห็น พบว่าองค์กรชั้นนำ 71% ได้เปลี่ยนแนวทางการระบุแหล่งที่มาจากเดิมที่เป็นแบบ Single-touch ไปเป็นแบบ Multi-touch และองค์กรชั้นนำ 100% วางแผนที่จะปรับปรุงการระบุแหล่งที่มาในปีหน้า นอกจากนี้ ส่วนใหญ่รู้สึกว่ากระบวนการที่อ้างอิงตามแคมเปญในปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์และเป็นแบบ Manual มากเกินไป อันที่จริง 95% เห็นว่าการระบุแหล่งที่มาแบบอัตโนมัติมีความสำคัญหรือสำคัญมาก ผู้บริหารฝ่ายการตลาดสามารถสร้างการติดต่อสื่อสารอย่างเป็นระบบ และตอนนี้พวกเขากำลังดำเนินการวัดผลอย่างเป็นระบบโดยใช้แอปพลิเคชั่น SaaS
ปรับปรุงข้อมูลเพื่อรองรับประสบการณ์ที่ดีกว่า
การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพนับเป็นรากฐานสู่ความสำเร็จสำหรับฝ่ายการตลาดที่มีผลการปฏิบัติงานดีเยี่ยม เพราะข้อมูลรองรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม การติดต่อสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล และการวัดผลอย่างแม่นยำ แพลตฟอร์ม marketing automation ให้ข้อมูลด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง
ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้า อย่างเช่น Adobe Real-Time Customer Data Platform ได้เพิ่มความสามารถด้าน B2B โดยเฉพาะ และปัจจุบัน องค์กรชั้นนำได้ผสานจุดแข็งของระบบ marketing automation และ CDP เข้าด้วยกัน แม้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ยังไม่มี CDP ที่รองรับ B2B แต่เกือบหนึ่งในห้า (18%) ของนักการตลาด B2B ได้บูรณาการ CDP เข้ากับแพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติที่ใช้อยู่ ซึ่งช่วยให้ได้รับประโยชน์มากมาย เช่น การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำมากขึ้น และการปรับแต่งการติดต่อสื่อสารให้เป็นแบบเฉพาะบุคคล
แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทายสำหรับนักการตลาดในการสำรวจแนวทางต่างๆ แต่การสร้างสรรค์นวัตกรรมก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และองค์กรชั้นนำยังคงสร้างความแตกต่างและทิ้งห่างจากคู่แข่ง แต่จะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้ ไม่ว่าบริษัทใดก็ตามก็สามารถพลิกโฉมการตลาดและประสบการณ์สำหรับลูกค้า โดยอาศัยเทคโนโลยีออโตเมชั่นและ AI
ผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ marketing automation ทั้งข้อมูลผลการสำรวจ และข้อมูลเชิงลึก ทั้งหมดได้ในรายงาน The State of Marketing Automation จากอะโดบี