December 05, 2025

ในช่วง หลายปีที่ผ่านมา (มี.ค. 65 – พ.ค. 68) มีผู้แจ้งความคดีออนไลน์ผ่านศูนย์รับเรื่อง ThaiPoliceOnline กว่า 900,000 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสะสมสูงถึง 9 หมื่นกว่าล้านบาท หรือเฉลี่ยถึง 77 ล้านบาทต่อวัน โดยคดีที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ การหลอกซื้อสินค้าโดยไม่ได้รับของ การหลอกให้โอนเงินผ่านแอป และการหลอกให้กู้เงิน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ภัยไซเบอร์ได้กลายเป็นอาชญากรรมใกล้ตัว ที่ทุกคนอาจตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

ในช่วงที่อาชญากรรมเคลื่อนย้ายเข้าสู่โลกออนไลน์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) หรือ “ตำรวจไซเบอร์” จึงมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับภัยไซเบอร์อย่างรอบด้าน ทั้งการปราบปรามอาชญากรรมและการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อสร้างการ “รู้เท่าทัน” ซึ่งถือเป็นแนวป้องกันชั้นแรก

หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่มีบทบาทโดดเด่นด้านการสื่อสารกับสังคมคือ พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สารวัตรเติร์ก” ซึ่งมีผลงานด้านการให้ความรู้และเตือนภัยไซเบอร์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้จริง และต่อไปนี้คือ มุมมองจากประสบการณ์ทำงานของเขาที่เคยผ่านงานด้านสืบสวนสอบสวน และองค์ความรู้ทางด้านอาชญาวิทยา พร้อมข้อแนะนำในการป้องกันตัวเองจากภัยไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน และบทบาทของ True CyberSafe ในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วย “ปิดโอกาส” การเกิดอาชญากรรมไซเบอร์

จากอาชญากรรมบนท้องถนน (Street Crime) สู่อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime)

“อาชญากรรมในเวลานี้ไม่ได้อยู่จำกัดอยู่แค่บนท้องถนนอีกต่อไป แต่ย้ายเข้าสู่โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของทุกคน” พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ เกริ่นถึงการเปลี่ยนผ่านของโลกอาชญากรรมจากการ “ลัก วิ่ง ชิง ปล้น” แบบดั้งเดิม สู่การเข้าถึงในโลกออนไลน์ที่ทั้งแนบเนียน รวดเร็ว และสร้างความเสียหายมหาศาลยิ่งกว่าเดิม

ในอดีต อาชญากรรมบนท้องถนน (Street Crime) มักเกิดจากการเผชิญหน้ากับเหยื่อโดยตรง เช่น ชิงทรัพย์หรือปล้น ซึ่งต้องใช้กำลังและมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกจับหรือไล่ล่า แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) ได้กลายเป็นภัยที่แฝงตัวอยู่ในช่องแชต ลิงก์ปลอม หรือการโทรหลอกลวง ผู้ก่อเหตุสามารถซ่อนตัวได้จากทุกมุมโลก และเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากได้พร้อมกัน

“อาชญากรรมแบบดั้งเดิมทำให้เหยื่อเสียทรัพย์สินเพียงที่มีอยู่ติดตัว แต่อาชญากรรมไซเบอร์กลับหลอกลวงได้แนบเนียนกว่า และสร้างความเสียหายได้มากกว่า บางรายไม่เพียงแค่โอนเงินจนหมดบัญชี แต่ยังถูกหลอกให้กู้เงินเพิ่มมาโอนให้อีกด้วย ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเล่นกับจิตวิทยา มากกว่าการใช้กำลัง” พ.ต.ต.พากฤต อธิบาย

Cybercrime แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม

แม้อาชญากรรมทางไซเบอร์จะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพไม่ได้อิงแค่เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังออกแบบตามจิตวิทยาที่สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละประเทศ พ.ต.ต.พากฤต อธิบายว่า ในยุโรปมักพบ Romance Scam หรือการหลอกลวงเชิงความสัมพันธ์ เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปิดกว้างและความเชื่อเรื่องความรัก ขณะที่ในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย กลับมีเหยื่อจำนวนมากตกเป็นเป้าของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

“ความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อถือในเจ้าหน้าที่รัฐ หรือแม้แต่ความกลัวเกรงอำนาจของเจ้าหน้าที่ ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเชื่อและทำตามเมื่อมีคนมาอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ โดยโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กดดันหรือต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วน”

จากทฤษฎี Crime Triangle สู่การป้องกันที่เป็นรูปธรรมผ่าน True CyberSafe

เมื่ออ้างอิงตามทฤษฎีสามเหลี่ยมอาชญากรรม (Crime Triangle) การเกิดอาชญากรรมแต่ละครั้งจำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ อาชญากร โอกาส เหยื่อ ซึ่งอาชญากรรมแบบดั้งเดิมอาจป้องกันได้ด้วยการแสดงตัวของตำรวจในพื้นที่จริง เช่น จุดตรวจหรือสายตรวจ สำหรับในโลกออนไลน์มี "สายตรวจไซเบอร์" ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่ออนไลน์ที่มีความเสี่ยง เช่น เพจหลอกลวง เว็บพนัน หรือบัญชีม้า แต่การทำงานของตำรวจเพียงฝ่ายเดียวอาจไม่เพียงพอ ภาคเอกชนจึงเข้ามาเสริมกำลังในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น บริการอย่าง True CyberSafe ที่ทำการบล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อผู้ใช้เผลอกดลิงก์อันตรายจากมิจฉาชีพ ที่ส่งผ่าน SMS หรือ Web Browser สำหรับลูกค้าทรู ดีแทคทุกคน นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ปิดโอกาส” ไม่ให้อาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น

“แน่นอนว่า มิจฉาชีพต้องพยายามหาช่องทางต่างๆ แต่การที่มีบริการ True CyberSafe ถือว่าช่วยปิดช่องโหว่ เพื่อไม่ให้ผู้คนกับอาชญากรเชื่อมต่อกันได้ในเบื้องต้น” พ.ต.ต.พากฤต อธิบาย เพราะความรู้คือเกราะที่ดีที่สุด ตำรวจยุคใหม่ต้องสื่อสารให้ประชาชนรู้เท่าทัน

เมื่อถามถึงภัยไซเบอร์ที่ประชาชนควรต้องระวังต่อไป พ.ต.ต.พากฤตชี้ว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของมิจฉาชีพ “มิจฉาชีพเริ่มใช้ AI หรือ Deep Fake ที่เป็นการสร้างใบหน้าปลอมของคนรู้จักหรือคนใกล้ชิดมาหลอกลวง รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยี Voice Cloning เลียนเสียงให้เหมือน เพื่อสร้างความเชื่อถือให้เหยื่อหลงเชื่อ แล้วหลอกให้โอนเงินหรือทำตามคำสั่ง”

อย่างไรก็ดี พ.ต.ต.พากฤต ย้ำว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเพียงเครื่องมือที่มิจฉาชีพใช้ “เล่นกับจิตใจคน” ดังนั้น การป้องกันที่ได้ผลที่สุดจึงไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีตอบโต้ แต่คือ “การรู้เท่าทัน” ซึ่งต้องเริ่มจากการสื่อสารและให้ความรู้แก่ประชาชน และนับเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของตำรวจไซเบอร์ในยุคนี้

“มิจฉาชีพเปลี่ยนแปลงวิธีการตลอดเวลา ดังนั้นการสื่อสารให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ โดยมีตำรวจเป็นกระบอกเสียง หรือแม้แต่การที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ช่วย เป็นการส่งแรงกระเพื่อมให้กับประชาชนในวงกว้างได้รับทราบข้อมูล ซึ่งในเวลานี้คนก็เริ่มมีความตระหนักรู้เรื่องภัยไซเบอร์มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”

“กลัว โลภ หลง” จุดอ่อนที่เปิดช่องให้กับภัยไซเบอร์

แม้กลโกงของภัยไซเบอร์จะมีมากมาย และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ พ.ต.ต.พากฤต ยืนยันว่า อาชญากรไซเบอร์มักใช้ 3 สิ่งที่เล่นกับจิตใจของคนและได้ผลอยู่เสมอคือ

1. ความกลัว โดยสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินให้ตกใจ แล้วหลอกให้ทำตามโดยไม่ทันคิด เช่น อ้างว่าลูกประสบอุบัติเหตุ หรือเจ้าหน้าที่รัฐเรียกสอบสวน

2. ความโลภ หลอกเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนจำนวนมากอย่างง่ายดาย เช่น หลอกลงทุน กดไลค์แล้วได้เงิน

3. ความหลง สร้างตัวละครหรือสถานการณ์ที่น่าเชื่อถือ ทำให้คล้อยตาม เช่น ทำตัวเป็นคนรู้จัก หรือผู้เชี่ยวชาญ

“กลลวงอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ พรุ่งนี้อาจจะมีกลลวงใหม่ขึ้นมา แต่สามสิ่งนี้เป็นจุดร่วมที่มิจฉาชีพใช้เสมอ เราจึงต้องมีความสงสัยให้มาก ตั้งคำถามกับทุกสิ่งโดยเฉพาะในโลกออนไลน์”

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ได้ ผ่านการเป็นอาสาสมัครในโครงการ “Cyber Eye” เพื่อแจ้งเบาะแสเพจปลอม เว็บไซต์หลอกลวง และภัยออนไลน์อื่น ๆ ได้ที่ www.thaipoliceonline.go.th

สุดท้ายนี้ เขายังเชื่อมั่นว่า “ตำรวจต้องปรับตัวและการทำงานให้เข้าวิถีชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไป” โดยเฉพาะในยุคที่ภัยคุกคามเกิดขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ และการรู้เท่าทัน คือเกราะป้องกันชั้นแรกที่ทุกคนควรมี “และอยากให้ทุกคนคิดเสมอว่า ‘รีบโอน = โจรยิ้ม’ ” พ.ต.ต. พากฤต ทิ้งท้าย

ภัยไซเบอร์ในปัจจุบันมาไวกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ปลอม โทรศัพท์หลอกลวง หรือ SMS ชวนให้หลงกล หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าทุกคลิก ทุกสาย อาจหมายถึงข้อมูลส่วนตัวหรือเงินในบัญชีที่สูญหาย แต่วันนี้ ทรูร่วมเป็นอีกหนึ่งเกราะป้องกันให้คนไทยด้วย True CyberSafe — บริการป้องกันภัยไซเบอร์ที่ใช้ AI ขั้นสูง ช่วยสแกน บล็อก และเตือนภัยแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องสมัคร ไม่ต้องโหลดแอป และ ฟรี! สำหรับลูกค้าทรู ดีแทค และเน็ตบ้านทรูออนไลน์

สถิติตัวเลขที่สะท้อนการปกป้องอย่างต่อเนื่อง !

True CyberSafe ช่วยปกป้องลูกค้าจากการคลิกลิงก์แปลกปลอมได้แล้วถึง 819 ล้านครั้ง (โดยเฉลี่ย 7 ล้านครั้งต่อวัน) คิดเป็น 98.7% ที่ระบบสามารถปกป้องสกัดกั้นได้ทันเวลา นับตั้งแต่เริ่มให้บริการ 3 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568

ฟีเจอร์เด่น ของ True CyberSafe ที่ช่วยปกป้องคุณจากมิจฉาชีพและภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน!

1. บล็อกลิงก์อันตรายแบบเรียลไทม์ : ซึ่งมีหลักการทำงานง่ายๆ แต่พร้อมเซฟลูกค้าให้ทันท่วงที ดังนี้ เมื่อลูกค้าเผลอคลิกลิงก์จากข้อความ (SMS) ที่ได้รับ หรือเว็บไซต์แปลกปลอม

· ระบบจะบล็อกลิงก์ที่อยู่ในรายชื่อ Blacklist จากตำรวจไซเบอร์และภาครัฐทันทีที่ลูกค้าเผลอคลิก

· หากลิงก์ไม่อยู่ใน Blacklist แต่สุ่มเสี่ยง — ระบบจะแสดงข้อความเตือน “โปรดระวัง อาจเป็นเว็บไซต์อันตราย” ทันที พร้อมให้ลูกค้ารอตัดสินใจ 60 วินาทีก่อนยืนยันเข้าเว็บ

· ขณะนี้มีลิงก์สุ่มเสี่ยงในระบบ True CyberSafe มากกว่า 165,000 ลิงก์ และจะเพิ่มต่อเนื่อง

2. Call AI Filter คัดกรองหรือแจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพ

· ใช้ AI ประมวลผลข้อมูล

· ใช้ข้อมูลหมายเลขต้องสงสัยจากตำรวจไซเบอร์รวมกว่า 300,000 หมายเลข

· แจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพทันที

3. SMS AI Filter แจ้งเตือนเมื่อมี SMS ต้องสงสัย ซึ่งจะเปิดให้บริการภายในปี 2568

นอกจากนี้ ยังมี “บริการ 9777 แจ้งบล็อกสายมิจฉาชีพ Scam Report” โดยความร่วมมือของภาครัฐ-ภาคเอกชน-ภาคประชาชน ซึ่งได้มีการยกระดับการรายงานสายมิจฉาชีพได้ง่ายๆ แบบครบวงจร One Stop Service ผ่าน 3 ช่องทาง

ดังนี้

1. กด *9777# โทรออก แจ้งเบอร์ล่าสุดที่เพิ่งโทรเข้าภายใน 5 นาทีหลังรับสาย

2. กด *9777* ตามด้วยเบอร์ต้องสงสัย # โทรออก เพื่อแจ้งระบุเบอร์

3. แคปหน้าจอที่แสดงข้อความ หมายเลข และลิ้งก์ต้องสงสัย แล้วส่ง MMS ไปที่หมายเลข 9777

โดยจะมีทีมงานพิเศษ และระบบ AI คอยตรวจสอบ คัดกรองข้อมูล พร้อมแจ้งผลอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง หากเป็นมิจฉาชีพจริง จะบล็อกทันที ตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ฯ

ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมดูแลความปลอดภัยไซเบอร์ของลูกค้าทุกคน โดยมุ่งมั่นให้บริการระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่ดีที่สุด และเข้าใจถึงความกังวลของผู้บริโภค ด้วยบริการ "True CyberSafe" ฟรีสำหรับทุกคน

รายละเอียดเพิ่มเติม “True CyberSafe” ได้ https://www.true.th/services/true-cyber-safe

ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่างๆ ก็กลายเป็นเรื่องปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า บางแอปที่โหลดมานั้น อาจแฝงตัวเป็นภัยอันตรายที่พร้อมขโมยข้อมูลส่วนตัวได้ทุกเมื่อ! ทรู ร่วมกับ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ชี้ 5 แอปอันตรายที่อาจจะอยู่ในโทรศัพท์จากการดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว พร้อมแนะวิธีป้องกันและตรวจสอบแอปเหล่านี้ ก่อนที่จะโดยมิจฉาชีพจะขโมยข้อมูลส่วนตัว

1.แอปปลอม เลียนแบบแอปธนาคาร : มิจฉาชีพจะสร้างแอปที่เหมือนกับแอปธนาคารจริงๆ เพื่อให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว เมื่อกรอกข้อมูลไป ก็จะถูกส่งให้มิจฉาชีพเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี เช่น โอนเงินจากบัญชีธนาคารของเหยื่อ.

2.แอปหลอกกู้เงิน : แอปพวกนี้มักจะเสนอการกู้เงินง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้เอกสารหรือคำขอใดๆ แต่จริงๆ แล้วจะหลอกให้เหยื่อโอนเงินหรือขโมยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อไป

3.แอปแจกของฟรี : แอปที่อ้างว่าแจกเงินหรือของรางวัลฟรี แต่จริงๆ แล้ว จะหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้เหยื่อกดโฆษณาเพื่อหารายได้ให้กับมิจฉาชีพ

4.แอปดูดเงิน (Subscription Scam Apps) : แอปประเภทนี้มักจะให้บริการฟรีในตอนแรก เช่น แอปแต่งรูปหรือวอลเปเปอร์ แต่จริงๆ แล้วแอบสมัครบริการที่เสียเงินโดยอัตโนมัติ ทำให้เหยื่อถูกคิดค่าบริการเป็นรายเดือนโดยไม่รู้ตัว

5.แอปสอดแนม (Spyware & Stalkerware): แอปเหล่านี้จะถูกติดตั้งในโทรศัพท์มือถือเพื่อดักฟัง ดูพฤติกรรม หรือขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือแม้กระทั่งพิกัด GPS ของเหยื่อ

ทั้งนี้ ควรเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้ข้อมูลส่วนตัว ตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ โดยหมั่นตรวจสอบแอปแปลกปลอมในเครื่อง รวมทั้งดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่มาที่แหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น สำหรับลูกค้าทรูดีแทค ทรู

ออนไลน์ จะมี True CyberSafe ปกป้องภัยไซเบอร์ ให้ลูกค้าทุกคนอัตโนมัติ ไม่ต้องกดสมัคร ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากเผลอกดเข้าลิงก์ที่มีแนวโน้มอันตรายที่ส่งผ่านทาง SMS และ เว็บเบราว์เซอร์ ระบบ AI จะตรวจจับจากฐานข้อมูลที่มีการอัพเดตอย่างต่อเนื่อง และช่วยปกป้องลูกค้า 2 รูปแบบ

Ø แบบที่ 1 แจ้งเตือนทันที หากเผลอกดลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ที่อาจจะเป็นอันตราย ระบบจะนับเวลาถอยหลัง 60 วินาที เพื่อเป็นการป้องกันขั้นตอนสุดท้ายก่อนกดยืนยัน เพื่อต้องการเข้าสู่เว็บไซต์

Ø แบบที่ 2 บล็อกทันที หากลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์นั้นเป็นลิงก์อันตรายที่ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐแล้ว

ดังนั้น ควรต้องหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บที่ระบบมีการบล็อกหรือแจ้งเตือนนั้น เพื่อลดโอกาสถูกโจรกรรมข้อมูล

รายละเอียดเพิ่มเติม “True CyberSafe” ได้ https://www.true.th/services/true-cyber-safe

True CyberSafe เซฟลูกค้าทรู ดีแทค จาก SMS และเว็บไซต์อันตรายทันที ไม่มีค่าใช้จ่าย

ในยุคที่ธุรกรรมออนไลน์และการใช้บัตรเครดิตเป็นเรื่องปกติ มิจฉาชีพก็พัฒนากลโกงหลากหลายรูปแบบเพื่อหลอกลวงผู้ใช้บัตรเครดิต การป้องกันตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ! ทรู ร่วมกับ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แนะ 10 วิธี ใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัย ป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ

 1️. ปรับวงเงินบัตรเครดิตให้เหมาะสม

ตั้งวงเงินการใช้จ่ายตามความจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงหากบัตรถูกขโมยหรือถูกแฮกโดยมิจฉาชีพ

2. เก็บบัตรเครดิตไว้กับตัว อย่าให้คลาดสายตา

ระวังการให้พนักงานร้านค้า หรือบุคคลอื่นถือบัตรของคุณเป็นเวลานาน เพราะอาจมีการลักลอบถ่ายข้อมูลบัตรโดยที่ไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่ส่งให้ใช้งาน ต้องอยู่ในสายตาเสมอ ตัวอย่างเช่น การรูดบัตรในปั้มน้ำมัน

3. ไม่เปิดเผยข้อมูลบัตรเครดิตกับผู้อื่น

เลขบัตรเครดิต วันหมดอายุ และรหัส CVV (เลข 3 ตัวท้าย) เป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ควรบอกใคร แม้แต่เจ้าหน้าที่ธนาคาร ก็จะไม่รู้ข้อมูลทั้งหมดนี้ และเจ้าหน้าที่ตัวจริง ก็จะต้องไม่ขอข้อมูลนี้ผ่านทางโทรศัพท์หรืออีเมล

4. ปิดเลข CVV ด้านหลังบัตร

ใช้เทปกาวสีทึบ หรือเมจิกสีเข้มเขียนทับเลข CVV เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกลักลอบนำไปใช้

5. ใช้บัตรเครดิตกับร้านค้าที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

เลือกซื้อสินค้ากับร้านค้าที่มีระบบความปลอดภัยที่ดี และหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ดูไม่น่าไว้ใจ หรือหากเป็นลูกค้าทรู ดีแทค เมื่อมีการเข้าเว็บไซต์ที่ผิดปกติ และระบบ True CyberSafe มีการแจ้งเตือนให้ระวัง ควรต้องหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บนั้น เพื่อลดโอกาสถูกโจรกรรมข้อมูล

6. เปิดระบบแจ้งเตือนธุรกรรมทาง SMS และแอปพลิเคชันธนาคาร

สมัครบริการแจ้งเตือนการใช้จ่ายผ่าน SMS และแอปของธนาคาร เพื่อรับรู้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ หากมีการใช้จ่ายที่ไม่ได้ทำเอง จะสามารถระงับบัตรได้ทันที การแจ้งเตือนผ่านทั้ง 2 ทางจะช่วยให้ไม่พลาดการรับรู้ทุกการใช้จ่าย

7. หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตผ่าน Wi-Fi สาธารณะ

การกรอกข้อมูลบัตรเครดิตผ่านเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะอาจทำให้ข้อมูลของคุณถูกดักจับโดยแฮกเกอร์ ใช้อินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยหรือเครือข่ายมือถือของคุณเองแทน

8. ตรวจสอบรายการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ

เช็กใบแจ้งยอดบัญชีทุกเดือน และหากพบธุรกรรมที่ไม่คุ้นเคย ให้ติดต่อธนาคารทันทีเพื่อตรวจสอบและดำเนินการแก้ไข

9. ไม่บันทึกข้อมูลบัตรเครดิตในเว็บไซต์หรือแอปที่ไม่น่าเชื่อถือ

แม้ว่าการบันทึกบัตรจะช่วยให้ซื้อของออนไลน์ได้สะดวกขึ้น แต่หากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันไม่ปลอดภัย อาจถูกแฮกและขโมยข้อมูลได้ ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด ไม่ควรบันทึกบัตรในแอปช้อปปิ้ง ควรต้องยอมเสียเวลากรอกเลขบัตรทุกครั้งที่จะใช้งานผ่านแอป

10. รีบอายัดบัตรทันทีเมื่อพบความผิดปกติ

หากพบว่า บัตรสูญหาย ถูกขโมย หรือมีธุรกรรมที่ไม่ได้ทำเอง ให้ติดต่อธนาคารทันทีเพื่ออายัดบัตรและป้องกันความเสียหาย

"ป้องกันไว้ดีกว่าแก้" การใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวังและตระหนักถึงความปลอดภัยจะช่วยให้คุณใช้จ่ายได้อย่างมั่นใจ ห่างไกลจากมิจฉาชีพ

รายละเอียดเพิ่มเติม “True CyberSafe” ได้ https://www.true.th/services/true-cyber-safe

 

 

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click