กระแสของกัญชากลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากที่มีแนวโน้มว่าโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่จะมีพรรคภูมิใจไทยรวมอยู่ในสมการนั้นด้วย หลังจากที่ชะงักไปบ้างเมื่อครั้งการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่ใน MOU ระบุจะนำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษโดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา ซึ่งเท่ากับว่านโยบายกัญชาเสรี ของรัฐบาลชุดที่แล้วซึ่งผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทยมีแนวโน้มว่าจะได้ไปต่อ

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า นโยบายการเปิดเสรีกัญชามีทั้งคุณและโทษ หลายเรื่องยังเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในสังคมไทย โดยเฉพาะประเด็นทางด้านสังคมและระบบสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปลดล็อกกัญชาโดยไม่มีการควบคุมและยังไม่มีมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน  แต่หากพิจารณาในด้านเศรษฐกิจแล้ว กัญชาเป็นพืชที่สามารถทำรายได้ได้จริง จากข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งมีการประเมินมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ณ ปี 2565 นับตั้งแต่ต้นน้ำถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ มีมูลค่ารวมถึงกว่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นน้ำมูลค่า 9,615 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์กลางน้ำ 14,690 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ 3,750 ล้านบาท แบ่งเป็น ยารักษาโรคและอาหารเสริม มูลค่า 1,500 ล้านบาท อาหารและเครื่องดื่ม 1,200 ล้านบาท เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล 800 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่มและของใช้ส่วนตัว 250 ล้านบาท และยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้า จะโตได้ 10-15% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 42,800 ล้านบาท

 

และจากการเก็บรวบรวมข้อมูลในสังคมออนไลน์โดยใช้เครื่องมือ DXT360 ของ บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ที่มีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2566 พบว่ามีการพูดถึงทั้งหมด 902 ข้อความ และได้รับการมีส่วนร่วม หรือ Engagement ถึง 12,358 ครั้ง ซึ่งเห็นได้ว่าผู้คนบนสังคมออนไลน์ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกัญชา-กัญชงไม่น้อย และถ้าดูจากสัดส่วนการโพสต์ลงบนโซเชียล แยกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้

· ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย มีการโพสต์ขายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศและต่างประเทศ ที่ใช้ส่วนประกอบอย่างเส้นใยของกัญชามาช่วยปรับปรุงคุณภาพของสินค้าให้มีความแข็งแรงขึ้น โดยพบว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีสัดส่วนการโพสต์บนโลกออนไลน์มากที่สุดคิดเป็น 57.43%

· ผลิตภัณฑ์ยา/การแพทย์ มีการโพสต์ส่วนใหญ่เป็นการใช้สารสกัดจากน้ำมันกัญชามาใช้เป็นส่วนประกอบของยาเพื่อการรักษาต่าง ๆ เช่น ประกอบการรักษาในผู้ป่วยโรคมะเร็ง รักษาอาการปวดท้อง และรักษาอาการปวดเรื้อรัง เป็นต้น โดยสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีถึง 27.05%

· ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีการโพสต์ขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและการทำความสะอาดโดยใช้ส่วนประกอบเป็นสารสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สบู่ และยาสระผม เป็นต้น ซึ่งสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีมากที่สุดคิดเป็น 8.43%

· ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม พบว่ามีการนำกัญชามาเป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นขนม ผงเครื่องดื่ม และเครื่องดื่มบรรจุขวด ซึ่งส่วนผสมที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นสารสกัดน้ำมันกัญชาและใบกัญชา โดยสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีมากที่สุดคิดเป็น 6.54%

· ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกจากผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ข้างต้น พบว่ามีการโพสต์ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 0.55% เช่น สินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง คือ อิฐ และ เฮมป์พาร์ทิเคิลบอร์ด หรือแผ่นกั้นผนังห้อง เป็นต้น ซึ่งในอนาคตอาจมีแนวโน้มว่าจะมีการนำสารสกัดจากกัญชาและกัญชงมาใช้แปรรูปหรือพัฒนาเป็นสินค้าหรือนวัตกรรมที่มีความหลากหลายในด้านของรูปแบบสินค้าและประเภทของสินค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ เมื่อดูความคิดเห็นบนโซเชียล พบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

 

จากข้อมูลพบว่าผู้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์จะมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อผลิตภัณฑ์ยา/การแพทย์ โดยมีการพูดถึงในเรื่องของการยอมรับการใช้กัญชามาประกอบการรักษามากขึ้นด้วย โดยเฉพาะการรักษาหรือบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง ถึงแม้ในความเป็นจริงจะยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์รองรับว่าสามารถรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้

แต่หากมองในมุมของผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและเครื่องดื่มพบว่า ผู้คนบนโซเชียลได้มีการแสดงความคิดเห็นที่สื่อถึงความกังวลและความคิดเห็นไปในทิศทางเชิงลบ โดยเฉพาะความกังวลในเรื่องการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสารสกัดจากกัญชา-กัญชง ที่อาจได้รับเกินปริมาณที่กำหนดจนทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ หรือนำไปสู่การเสพติดไปจนถึงทำให้เกิดการเสียชีวิตได้

กล่าวได้ว่า นับแต่มีการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2565 และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่น่าจะมีพรรคภูมิใจไทยเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล การใช้กัญชาจึงยังคงอยู่ในสถานะที่ถูกเปิดช่องให้ใช้ได้อย่างเสรี โดยไม่ได้ถูกจำกัดเพียงการใช้ทางการแพทย์ ไปจนกว่า

จะมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมการเข้าถึงและการใช้อย่างเหมาะสม เรื่องของกัญชาจึงได้กลายเป็นวาระในการถกเถียงของคนทุกระดับในสังคมไทย

CR :  Inforquest

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ สนธิสมบัติ อาจารย์และนักวิจัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ร่วมกับ นายสุกฤษฎิ์ กรึมสูงเนิน ต่อยอดงานวิจัย อนุภาคนาโน/ไมโครซิลค์ สู่ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สบู่ไหมดีโปรตีน และ กรดอะมิโน 18 ชนิด ลดการเกิดสิว ลดสิวเสี้ยน กระชับรูขุมขนสมานแผลที่เกิดจากสิว ผิวนุ่มชุ่มชื้น ผลัดเซลล์ผิว ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดโรคผิวหนัง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ เผยว่า “อนุภาคนาโน/ไมโครซิลค์” มีสมบัติที่เด่นหลายประการ คือ เป็นอนุภาคที่ละเอียด (อนุภาคเล็กที่สุดมีขนาดเท่ากับ 800 นาโนเมตร) มากกว่ากาวไหมที่จำหน่ายในท้องตลาด ทำให้เกิดการแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนำมาสัมผัสกับผิวหนังจะทำให้เกิดการสมานแผล แผลจากสิว และรอยแผลเป็นให้จางลง นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวหนังผู้ใช้ชุ่มชื้นตลอดวัน เพราะสมบัติของไหมที่สามารถดูดความชื้นได้ โดยนวัตกรรมอนุภาคนาโน/ไมโครซิลค์ ได้รับอนุสิทธิบัตร เลขที่สิทธิบัตร 9418 วันที่ออกสิทธิบัตร06/01/2558 และอนุสิทธิบัตร เลขที่สิทธิบัตร 17272 วันที่ออกสิทธิบัตร 29/01/2564 กรรมวิธีการผลิตผงอนุภาคไมโครซิลค์ (ไฟโบรอินและเซริซิน) เพื่อใช้ในงานด้านสิ่งทอ สิ่งทอทางการแพทย์ และเครื่องสำอาง

ทางด้าน นายสุกฤษฎิ์ กรึมสูงเนิน เล่าว่า สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท จากสาขาวิศวกรรมเคมีและสีสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในระดับปริญญาโท ได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับสมบัติของอนุภาคนาโน/ไมโครซิลค์ ที่มาจากเส้นใยไหมไทย (สีเหลือง) และเส้นใยไหมอีรี่ (สีขาว) มีความคิดที่อยากจะต่อยอดธุรกิจ จึงได้ปรึกษากับทาง ผศ.ดร.อภิชาติ สนธิสมบัติว่าเราสามารถนำไปทำอะไรได้อีกบ้าง จึงทราบว่า เราสามารถนำผงไหมอนุภาคไมโคร/นาโนเมตร มาทำเป็นเวชสำอางได้อีกด้วย เพราะ ไหมไทยพันธุ์พื้นบ้านนางน้อยศรีสะเกษ-1 อนุภาคไมโคร/ นาโนเมตร มีคุณสมบัติที่มีโปรตีนที่สูง และมีกรดอะมิโนที่คล้ายกับผิวหนังของมนุษย์ หลังจบการศึกษาได้มาทำธุรกิจขนส่งเป็นของตนเอง จนได้เจอกับหุ้นส่วนคือ คุณทิพย์สุดา ศรีลาชัย อดีตข้าราชการที่ผันตัวมาทำธุรกิจขายออนไลน์ที่อยากมีแบรนด์เป็นของตนเอง เพื่อตอบโจทย์ให้กับคนผิวแพ้ง่าย จึงทดลองวิจัยผลิตสบู่ไหมดี ซึ่งมาจากอนุภาคไมโครซิลค์จากเส้นใยไหมไทยสีเหลือง

สบู่ไหมดี มีโปรตีนจากเส้นใยไหมไทยสีเหลือง มีกรดอะมิโน 18 ชนิด ซึ่งกรดอะมิโนจำเป็นนี้ทั้งมนุษย์และสัตว์ไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ลดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และต่อต้านอนุมูลอิสระส่วนผสมหลัก ๆ ในสบู่ประกอบด้วย อนุภาคผงไหมไมโครซิลค์ ที่มาจากกาวไหม (เซริซิน) และเส้นใย (ไฟโบรอิน) และส่วนผสมอื่นๆ ทั้งนี้ สบู่ไหมดี ได้รับการจดแจ้ง จาก อย. หมายเลขจดแจ้ง 65-1-6500031240 และผลิตจากบริษัทผลิตเครื่องสำอางที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน จากสาธารณะสุขจังหวัด และสาธารณะสุขแห่งประเทศไทย (FDA THAILAND) ซึ่งทำให้เป็นจุดแข็งระหว่างการนำผลงานวิจัย (อนุภาคไมโครซิลค์ไหมไทยสีเหลือง) มาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ โดยมีลูกค้ามารีวิวจำนวนมาก เช่น สิวแห้งไว ใช้แล้วหน้านุ่มหน้าเนียน หน้าไม่แห้ง กลิ่นหอมละมุนความมันบนใบหน้าลดลง หน้าใสขึ้น สิวเสี้ยนลดลง รอยดำ รอยแดง ที่เกิดจากสิว จางลง และ ฝ้า กระ จางลง และในอนาคตต่อยอดเป็นเซรั่ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับอนุภาคไมโครซิลค์ตามมาในปีนี้อย่างแน่นอน

ผู้สนใจสบู่ไหมดี ราคาก้อนละ 159 บาท ช่วงโปรโมชั่นเปิดตัว ซื้อ 3 แถม 1 ก้อน หรือต้องการซื้อจำนวนมาก ทางสบู่ไหมดี มีส่วนลด และตอนนี้กำลังรับตัวแทนจำหน่ายจำนวนมาก สามารถติดต่อได้ในTikTok : Mhai’De ไหมดีแบรนด์ เพจเฟซบุ้ค Page Facebook : Mhai’de Official เพจหลักบริษัท ไอจี IG : mhaide__Official ไลน์ Line : @kruthip27 โทรศัพท์ : 0874565562

X

Right Click

No right click