December 15, 2025

กรุงเทพฯ 2 ธันวาคม 2568 - จากสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องชาวใต้เป็นวงกว้าง จนต้องเร่งฟื้นฟูให้ทุกคนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าภารกิจสำคัญในการดูแลช่วยเหลือคนไทย โดยล่าสุด คณะผู้บริหารทรู จัดทัพเดินทางลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อร่วมรับฟังปัญหาในพื้นที่จริง ส่งต่อความห่วงใยไปยังเยาวชนจิตอาสา แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางวิกฤต รวมถึงพนักงานและเพื่อนคู่ค้า พร้อมนำศักยภาพขององค์กรเข้าไปสนับสนุนการทำงานของทุกภาคส่วนให้ก้าวผ่านความยากลำบากครั้งนี้ไปด้วยกัน

จากภาพซ้ายไปขวา : คุณโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย, คุณประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ, คุณศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล, นายแพทย์วิโรจน์ โยมเมือง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหาดใหญ่, คุณมนัสส์ มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านประสบการณ์ลูกค้าและธุรกิจรีเทล และ คุณฮากุน บริวเซ็ท เชิร์ล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลยุทธ์และทรานส์ฟอร์มเมชั่น

เติมพลังจิตอาสา หนุนคนรุ่นใหม่ ร่วมดูแลชาวใต้ในพื้นที่

หนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูพื้นที่หลังวิกฤตน้ำท่วม คือ กลุ่มนักศึกษาจิตอาสาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) หาดใหญ่ ซึ่งทุ่มเทเสียสละช่วยทีมเจ้าหน้าที่ดูแลศูนย์อพยพที่ให้บริการประชาชนในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา โดยผู้บริหารได้พบปะน้องๆจิตอาสา ส่งกำลังใจให้ทุกความมุ่งมั่น พร้อมมอบซิมทรู 5G จำนวน 200 ซิม สำหรับใช้งานนาน 12 เดือน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานและการติดต่อสื่อสารในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะเดียวกันยังมอบซิมเติมเงินแก่ผู้ประสบภัยที่พักพิงในศูนย์อพยพม.อ. เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ยังไม่สามารถกลับเข้าพักอาศัยที่บ้านได้

 

เสริมกำลังนักรบชุดขาว ร.พ.หาดใหญ่

ท่ามกลางภารกิจอันหนักหน่วงของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่น้ำท่วม คณะผู้บริหารทรู ได้เดินทางไปยัง ร.พ.หาดใหญ่ ส่งมอบสมาร์ทโฟน 12 เครื่องสำหรับใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารหลักในการประสานงานด้านการแพทย์ ทั้งภายในโรงพยาบาลและกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ทรู ยังจัดบูธทรูคอฟฟี่ มอบเครื่องดื่มหลากหลายเมนูกว่า 10,000 แก้ว ตลอด 10 วัน เพื่อเติมพลังใจและความสดชื่นให้ทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคนที่ยืนหยัดดูแลสุขภาพทั้งกายและใจให้ประชาชนตลอดช่วงเวลาอันยากลำบากนี้

 

เคียงข้างพนักงานชาวทรูและเพื่อนคู่ค้า

ด้วยความห่วงใยที่มีต่อคนในครอบครัวทรู ผู้บริหารได้เข้าพื้นที่พบพนักงานที่ประสบอุทกภัย มอบ “ถุงกำลังใจ” พร้อมรับฟังสถานการณ์ ความเดือดร้อน เพื่อวางแผนบรรเทาทุกข์และจัดสรรความช่วยเหลือที่จำเป็นเพิ่มเติมตามความต้องการจริง โดยมีมาตรการดูแลรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น การลาฉุกเฉินโดยไม่หักวันลา การสนับสนุนค่าที่พักชั่วคราว เงินช่วยซ่อมบ้านและยานพาหนะ รวมถึงสวัสดิการและประกันสุขภาพ ตอกย้ำความเป็น People Organization องค์กรที่ให้ความสำคัญและคำนึงถึงพนักงานเป็นอันดับแรก

ปฏิบัติการลงพื้นที่ภาคใต้ของคณะผู้บริหารทรู คอร์ปอเรชั่น ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งภารกิจจากใจ.... ถึงใจ ด้วยความห่วงใยพี่น้องคนไทยในยามวิกฤต ซึ่งทัพผู้บริหารทรูจะยังคงอยู่ใน อ.หาดใหญ่ ลุยเข้าทุกพื้นที่ เพื่อร่วมฟื้นฟู พร้อมเคียงข้างพี่น้องชาวใต้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติ

สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย พร้อมด้วย สำนักงานพาณิชย์อิตาเลียนประจำ ประเทศไทย ร่วมกับ ช้อปปี้ (Shopee) ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไต้หวัน และบราซิลด้วยการเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำความสำเร็จของ “Best of Italy” แคมเปญที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดงานใหญ่  Best of Italy: All in One at Shopee - ยกอิตาลีมาให้ช้อป ครบคุ้มที่ Shopee ส่งมอบประสบการณ์ความน่า อภิรมย์ในแบบฉบับอิตาเลียนให้ผู้บริโภคชาวไทยแบบไร้รอยต่อ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่อเนื่องสู่อีเวนท์ On-Site ให้นักช้อปชาวไทยและเหล่าอิตาเลียนเลิฟเวอร์ได้เปิดประสบการณ์ช้อปแบบคุ้มค่า

 

คุณเปาลา กุยด้า ข้าหลวงพาณิชย์ประจำสำนักงานพาณิชย์อิตาเลียนประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ITA รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Shopee อย่างต่อเนื่องในการผลักดันสินค้าอิตาลีคุณภาพสู่ผู้บริโภคชาวไทย ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพ ปีนี้มีแบรนด์อิตาลีเข้าร่วมกว่า 99 แบรนด์บนออนไลน์ และอีก 19 แบรนด์ร่วมโชว์เคสในงาน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของสินค้าจากอิตาลีและความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคไทยความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการอิตาลี แต่ยังช่วยเชื่อม โยงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบอิตาเลียนให้ใกล้ชิดผู้บริโภคไทยมากยิ่งขึ้น”

 

ภายในงานครั้งนี้ยังอัดแน่นด้วยความสนุกสนานกว่าที่เคยโดยมีศิลปินหนุ่มซี้สุดฮอต หยิ่น–อานันท์ ว่อง และ วอร์–วนรัตน์ รัศมีรัตน์ มาร่วมเสิร์ฟความฟินด้วยการโชว์สกิลทำอาหารอิตาเลียนพร้อมด้วย มินิคอนเสิร์ต สุดประทับใจจากวงลิปตา

 

สำหรับบรรยากาศภายในงานกิจกรรม Best of Italy: All in One at Shopee - ยกอิตาลีมาให้ช้อป ครบคุ้มที่ Shopee ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 – 30 พฤศจิกายน 2568 ณ พาราไดซ์ ฮอลล์ ชั้น G ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เต็มอิ่มไปด้วยความสุขสนุกสนานอย่างครบรส ประเดิมวันแรกด้วยศิลปินหนุ่มคู่ซี้สุดฮอต หยิ่น อานันท์ และ วอร์ วนรัตน์ ที่ทั้งคู่ต่างเป็นเป็นคนที่หลงใหลในงานศิลปะตัวจริง มาร่วมชมหลากหลายสินค้าพรีเมียมแบรนด์ชั้นนำ Made in Italy ในหลากหลายหมวดหมู่ อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม ความงาม แฟชั่น ของใช้ในบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ ทั้งสองหนุ่ม หยิ่น-วอร์ ยังมาเสิร์ฟความสุขอย่างสนุกสนาน ด้วยการร่วมสวมบทบาทเป็นเชฟมือใหม่ทำอาหารเมนูอิตาเลียน ที่บอกเลยว่าถูกอกถูกใจทั้งสองหนุ่มเป็นอย่างมาก เพราะได้ลองทำเมนูสไตล์อิตาเลียนแท้ โดยใช้วัตถุดิบ เครื่องปรุง เครื่องครัว จากแบรนด์อิตาลีที่มาวางจำหน่ายทั้งในงาน และสามารถช้อปออนไลน์ในช้อปปี้ เรียกได้ว่าทั้งสองหนุ่มได้ซึมซับกับวัฒนธรรมและสัมผัสกลิ่นอายความเป็นอิตาเลียนอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการมอบความสุขโดยทั้งสองหนุ่มมาโชว์มินิคอนเสิร์ และวันถัดมายัง ก็ยังเต็มไปด้วยความสนุกโดยศิลปินวง ลิปตา ที่มาแสดงมินิคอนเสิร์ต มอบความบันเทิงอย่าง เต็มอรรถรสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ช้อปปิ้งหลากหลายสินค้าชั้นนำแบรนด์จากแบรนด์อิตาลีท่ามกลางเพลงฮิตแบบฟินๆ

 

โดยหนุ่ม หยิ่น-อานันท์ ว่อง ได้เผยถึงความประทับใจที่ได้ร่วมแคมเปญ Best of Italy: All in One at Shopee ครั้งนี้ว่า “วันนี้รู้สึกดีใจและสนุกมากครับที่ได้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Best of Italy: All in One at Shopee อิตาลีเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกาแฟ ส่วนตัวผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวและชอบลองอะไรใหม่ ๆ อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่ เคยไปมาแล้วรู้สึกประทับใจมาก ทั้งวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ ทุกอย่างสะท้อนเสน่ห์เฉพาะตัวได้อย่างชัดเจน ทำให้ได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นอิตาลีอีกครั้ง ได้ช้อปสินค้าที่นำเข้าจากอิตาลีอย่างสะดวกและมั่นใจได้ว่า เป็นของแท้แน่นอนครับ”

 

ส่วนหนุ่ม วอร์-วนรัตน์ รัศมีรัตน์ ก็แชร์ความประทับใจที่มีต่อ แคมเปญ Best of Italy: All in One at Shopee ว่า “ส่วนตัวเป็นคนที่เรียนจบสถาปัตย์มา และชอบงานศิลปะ ชอบทำงานปั้นเซรามิคและวาดภาพ สนใจฝีมือต่างๆ ด้วย เลยยิ่งชอบความเป็นอิตาเลียนอยู่แล้ว ซึ่งรู้สึกว่าสิ่งของต่างๆ ทั้งของใช้อาหารมันมี เอกลักษณ์และมีความเป็นงานศิลป์สูง แคมเปญนี้จึงถือว่าช่วยเปิดโอกาสให้เข้าถึงสินค้าจากประเทศอิตาลี ได้ง่ายมากขึ้น และยังมีโปรโมชันต่างๆ ที่ทำให้สามารถช้อปได้ในงานในราคาที่คุ้ม สำหรับใครที่ไม่ได้มา ในงานนี้ก็ยังสามารถช้อปออนไลน์ก็ได้สินค้าจากอิตาลี มีให้เลือกช้อปได้ตลอดทั้งปีเช่นกัน”

หากใครพลาดงานครั้งนี้ไม่ต้องเสียใจ ยังสามารถมาร่วมฉลองเสน่ห์ของอิตาลีไปกับ ITA X Shopee ส่งท้ายปีนี้กับสินค้าอิตาลีพรีเมียมหลากหลายหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารและเครื่องดื่ม ความงาม แฟชั่น ของใช้ในบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ พร้อมประสบการณ์ช้อปปิ้งสนุกสุดคุ้มบน Shopee

แคมเปญปีนี้รวบรวมสินค้าอิตาลีพรีเมียมไว้อย่างครบครัน โดยมี 99 แบรนด์อิตาลี เข้าร่วมในแคมเปญออนไลน์บน Shopee ติดตามแคมเปญ “Best of Italy ยกอิตาลีมาให้ช้อป” พร้อมหลากหลายกิจกรรมอื่นๆ ได้ที่ https://shopee.co.th/Italian-trade-agency

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ EVEANDBOY ผู้นำธุรกิจค้าปลีกบิวตี้มัลติแบรนด์ มุ่งเป้าขยายฐานการใช้จ่ายในเซกเมนต์ความงามและเครื่องสำอาง ผ่านแคมเปญ "พลังพอยท์ รูด ช้อป คุ้ม" ในงาน "EVEANDBOY END YEAR GRAND SALE 2025" ที่ 59 สาขาทั่วประเทศ

มองโอกาสท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว ตลาดบิวตี้กลับยังคงเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการดูแลตนเองตามเทรนด์ “Self-Investment in Beauty” หรือ “ความสวยรอไม่ได้” การผนึกกำลังกับ EVEANDBOY ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำบทบาทของเคทีซีในธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดยมุ่งมอบ “คุณค่าสูงสุด” (Superior Value) ให้แก่สมาชิกผ่านกลไกการใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งหลักของเคทีซี โดยเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยผลักดันยอดการใช้จ่ายโดยรวมในตลาดบิวตี้ให้เติบโตตามเป้าหมายได้อย่างมั่นคง

รายละเอียดแคมเปญ

สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท รับสิทธิพิเศษเมื่อช้อปที่ร้าน EVEANDBOY เฉพาะช่วง END YEAR GRAND SALE 2025 เพียงแลกคะแนน KTC FOREVER ผ่านแอป KTC Mobile รับส่วนลดทันทีสูงสุด 70% (สิทธิ์นี้เฉพาะการช้อปที่หน้าร้าน ไม่รวมช่องทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน – วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ผู้สนใจสามารถติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ โปรโมชั่นช้อปที่ร้าน EVEANDBOY กับบัตรเครดิต KTCสำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

การโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้กับทุกองค์กร ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก องค์กรจึงไม่ควรหยุดอยู่แค่การ “ป้องกันไม่ให้ถูกโจมตี” เท่านั้น แต่ต้องเร่งปรับตัวทั้งมุมมอง กระบวนการ และเครื่องมือ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริง แล้วองค์กรจะเริ่มตรงไหนดี และสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว

ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป โดยคุณฐิติรัตน์ ศิริพัฒนาเลิศ หัวหน้าสายงานด้านไซเบอร์ ซิเคียวริตี้ ได้แบ่งปันมุมมองที่เป็นประสบการณ์จากเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นจริง พร้อมสรุปเป็นบทเรียนและแนวทางเสริมสร้าง “ภูมิต้านทานทางไซเบอร์ (Cyber Resilience)” ที่ทุกองค์กรควรนำไปปรับใช้ในการรับมือกับภัยคุกคามในปัจจุบันได้อย่างเป็นรูปธรรม

1. ภัยไซเบอร์เกิดขึ้นถี่และเร็วเกินกว่าจะ “รอให้ปัญหาเกิดก่อนค่อยแก้”ทั่วโลกมีการโจมตีทางไซเบอร์ทุก ๆ 39 วินาที และใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 62 นาที ตั้งแต่เริ่มต้นจนเจาะระบบสำเร็จ ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนว่า หัวใจสำคัญขององค์กรต้องมีระบบตรวจจับและตอบสนองแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่รอให้เหตุเกิดก่อนค่อยแก้ไข

2. ตรวจจับ–วิเคราะห์–หยุดภัย ให้จบภายใน 1 ชั่วโมง การรับมือกับภัยไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพ ต้องกำหนดเป้าหมายด้านเวลาในการหยุดกัยที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความเสียหาย

· ตรวจจับให้ได้ภายใน 1 นาที

· วิเคราะห์สาเหตุ ความรุนแรง และกำหนดวิธีการแก้ไขสถานการณ์ภายใน 10 นาที

· ตัดสินใจและหยุดภัยให้ได้ภายใน 60 นาที โดยมีศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยไซเบอร์ หรือ ศูนย์ SOC และทีม Incident Response ที่พร้อมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลาม

3. รูปแบบการโจมตีซับซ้อนและเปลี่ยนไปตลอดเวลา จากเดิมที่ภัยไซเบอร์มักมาในรูปแบบมัลแวร์หรืออีเมลหลอกลวง (Phishing) ปัจจุบันผู้ร้ายหันมาใช้ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Windows ร่วมกับเทคนิคขั้นสูงอย่าง Social Engineering, Deepfake และ Supply Chain Attack ทำให้การตรวจจับยากขึ้น องค์กรจึงจำเป็นต้องอัปเดตระบบ Patch อยู่เสมอ ซึ่ง Patch เปรียบเหมือน “ตัวปะรูรั่วหรือตัวซ่อมระบบ” ที่ผู้พัฒนาปล่อยออกมาเพื่ออุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ลดโอกาสถูกเจาะจากจุดอ่อนเดิม 

4. การขโมยข้อมูลและตลาดมืด (Dark Web) เติบโตขึ้นกว่า 112%  เมื่อข้อมูลกลายเป็นสินค้าที่ซื้อ-ขายได้ในตลาดมืด ผู้ร้ายจึงมีแรงจูงใจทางการเงินสูงขึ้น องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันข้อมูลอย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีการเข้ารหัสข้อมูลสำคัญ และเสริมระบบป้องกันหลายชั้น ไม่พึ่งพิงเพียงแค่ Firewall หรือ Antivirus เท่านั้น

 5. Ransomware ยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรง

ผู้ร้ายมีการปรับตัวตลอดเวลา ทั้งวิธีโจมตีและวิธีเรียกค่าไถ่ องค์กรที่ตอบสนองช้าหรือขาดการเตรียมพร้อมทั้งด้านการป้องกันและการสำรองข้อมูล มักต้องเผชิญกับการสูญเสียทั้งข้อมูล ระบบ รวมถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากการจ่ายค่าไถ่หรือการหยุดชะงักของธุรกิจ

 6. ควรเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง การโจมตีมักเกิดช่วงเวลากลางคืนหรือวันหยุด องค์กรควรมีศูนย์เฝ้าระวังหรือระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ เพื่อเป็นเกราะป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าองค์กรรู้เร็วเท่าไร ก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์และจำกัดวงความเสียหายได้เร็วขึ้น 

7. Incident Response Plan คือ อาวุธสำคัญยามวิกฤติ สิ่งที่องค์กรต้องมีคือ แผนปฏิบัติการและขั้นตอนที่ชัดเจน เมื่อเกิดเหตุผิดปกติ มีขั้นตอนการทำงาน คนรับผิดชอบ มีการตรวจสอบ และจะตัดการเชื่อมต่อได้โดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้การโจมตีลุกลาม

8. รู้จักทรัพย์สินดิจิทัลของตัวเองให้ครบ

องค์กรต้องมีรายการทรัพย์สิน (Asset Inventory) และแผนผังเครือข่าย(Network Diagram) ให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าองค์กรมีระบบอะไร เชื่อมต่อกันอย่างไร และใครดูแล รับผิดชอบบ้าง เมื่อเกิดเหตุผิดปกติ สามารถติดตามตัวผู้รับผิดชอบได้อย่างรวดเร็ว ปิดช่องโหว่ให้ตรงจุด และจำกัดวงการโจมตีได้ทันท่วงที

9. ความประมาทของคน คือจุดอ่อนใหญ่ที่สุด

แม้ว่าระบบจะถูกออกแบบมาดีแค่ไหน แต่ความประมาทของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรหัสผ่านง่าย ๆ ใช้เครื่องส่วนตัวเชื่อมต่อระบบบริษัทโดยไม่มีมาตรการป้องกัน หรือเปิด Remote Desktop Protocol (RDP) ให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจมตี จึงควรกำหนดให้มีการใช้การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน ( Multi Factor Authentication) และจัดให้มีการสร้างความตระหนักรู้กับผู้ใช้งานในการตั้งค่ารหัสผ่านที่แข็งแกร่ง ยากต่อการคาดเดา

 10. ความเสี่ยงจากพาร์ทเนอร์ก็ไม่ควรมองข้าม

แม้องค์กรเราจะมีระบบความปลอดภัยที่แข็งแรง แต่หากพาร์ทเนอร์ ถูกโจมตีระบบที่เชื่อมต่อกันก็อาจกลายเป็นช่องทางรั่วไหลได้โดยไม่รู้ตัว องค์กรจึงต้องมีการประเมินความเสี่ยง (Vendor Risk Assessment) และกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำร่วมกัน

11. องค์กรที่มองข้ามสัญญาณเตือน ไม่ตรวจสอบต่อ มักตกเป็นเหยื่อ หลายองค์กรมีระบบแจ้งเตือนอยู่แล้ว และเมื่อมีสัญญาณเตือนสิ่งผิดปกติ องค์กรอาจจะมองข้าม ไม่ตรวจสอบต่อ หรือขาดการสื่อสารระหว่างทีมไอทีและผู้ดูแลระบบ อาจทำให้กลายเป็นเหยื่อการถูกโจมตีในที่สุด และนำไปสู่ความเสียหาย เช่น บริการหยุดชะงัก สูญเสียรายได้มหาศาล หรืออาจสูญเสียเงินกว่าพันล้านบาทจาก Ransomware หรือค่าไถ่ซอฟต์แวร์

12. Cybersecurity ต้องผสาน People + Process + Technology

การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่พอ หากต้องมีคนที่เข้าใจ และกระบวนการที่พร้อมใช้งานจริง องค์กรต้องออกแบบให้ คน กระบวนการ และเทคโนโลยีทำงานเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้การป้องกันและตอบสนองมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการติดตั้ง ระบบตรวจจับและตอบสนองภัยบนเครื่องปลายทาง (Endpoint Detection and Response) หรือ EDR อย่างถูกต้องครบทุกเครื่อง พร้อมกับมีการตั้งค่านโยบายความปลอดภัยให้เหมาะสม เพื่อลด false-positive alert ทำให้ตรวจจับภัยได้แม่นยำขึ้น 

13. ภัยไซเบอร์ = ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์

เหตุการณ์โจมตีไซเบอร์ไม่ได้กระทบแค่ระบบไอทีเท่านั้น แต่ส่งผลโดยตรงต่อ ชื่อเสียงองค์กร ความเชื่อมั่นของลูกค้าและมูลค่าทางธุรกิจ หากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดีพอ องค์กรอาจสูญเสียทั้งข้อมูล ลูกค้า และโอกาสทางธุรกิจในเวลาอันสั้น

 14. วัฒนธรรม “เอ๊ะ!” เปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ทรงพลัง

องค์กรที่ “รอด” จากเหตุการณ์ถูกโจมตี ทุกคนมักจะสงสัยไว้ก่อน (Be Vigilant) และกล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่ผิดปกติ เช่น เมื่อเห็นการแจ้งเตือนแล้วไม่มองข้าม เห็นอีเมลแปลก ๆ แล้วไม่คลิกทันที เป็นต้น

15. ภูมิต้านทานทางไซเบอร์ (Cyber Resilience) เป็นการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากทุกเหตุการณ์จริง

ไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวจบ แต่เป็นวงจรการเรียนรู้จากเหตุการณ์จริง (Post-Incident Review) เพื่อปรับปรุงให้ระบบแข็งแรงขึ้น และสร้างวัฒนธรรมความตระหนักรู้ในทุกระดับขององค์กรให้ “เรียนรู้ไปด้วยกัน” ไม่ใช่แค่ฝ่ายไอทีเท่านั้น

กรุงเทพฯ, 2 ธันวาคม 2568 – “กรุงศรี ออโต้” ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ในโลกดิจิทัล คว้า 2 รางวัลจากเวที “2025 Thailand’s Social Power Brand” หรือรางวัลแบรนด์ยอดนิยมบนโลกโซเชียลที่ครองใจผู้บริโภคประจำปี 2568 โดย กรุงศรี ออโต้ คว้าอันดับ 1 ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ขณะที่ คาร์ฟอร์แคช ครองอันดับ 1 ในกลุ่มสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สะท้อนให้เห็นถึงพลังของแบรนด์ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค (Brand Engagement) และความสามารถในการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกมิติบนโลกออนไลน์อย่างตรงจุด

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2568 ที่ระบุว่าคนไทยกว่า 91.5% เข้าถึงอินเทอร์เน็ตและใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับการรับข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ กรุงศรี ออโต้ จึงพัฒนา Integrated Media Strategy หรือกลยุทธ์การสื่อสาร

แบบครบวงจร ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วบนโลกดิจิทัล ควบคู่กับกิจกรรมลงพื้นที่ (On-ground activation) เพื่อเข้าถึงผู้ใช้รถได้โดยตรง

นายคงสิน คงคา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี ออโต้ มุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ที่ดีของแบรนด์ (Brand Experience) ให้แก่ลูกค้าและผู้ใช้รถมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราเชื่อว่าประสบการณ์ที่ดีเริ่มต้นมาจาก ‘การสื่อสารที่ดี’ เพื่อมอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และตรงตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารบนโซเชียลมีเดียที่กรุงศรี ออโต้ ได้กำหนดบทบาทและเนื้อหาของแต่ละแพลตฟอร์มอย่างชัดเจน เพื่อให้เหมาะสมและเข้าถึงแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น TikTok ที่เน้นคอนเทนต์สั้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ YouTube ที่สื่อสารข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และ Facebook ที่มีผู้ติดตามกว่า 930,000 คน เป็นช่องทางหลักในการสร้างการรับรู้และให้ข้อมูลที่เข้าใจง่ายผ่านภาพและข้อความที่ดึงดูดใจ”

 

“นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการสื่อสารแบบ Outside-in หรือการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer at the Center) โดยเรารับฟังความเห็นและศึกษารูปแบบการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของลูกค้ากับช่องทางสื่อสารต่าง ๆ

ของเรา เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง ซึ่งการได้รับรางวัล 2025 Thailand’s Social Power Brand ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำศักยภาพของกรุงศรี ออโต้ และ คาร์ฟอร์แคช ในการสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด และสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่ไม่ใช่แค่เพียงผู้ให้บริการสินเชื่อ แต่ยังเป็นพันธมิตรที่เข้าใจทุกมิติของชีวิตผู้ใช้รถ ผู้พร้อมยืนเคียงข้างในทุกการเดินทาง ทั้งวันนี้และในอนาคต” นายคงสิน กล่าวเสริม

รางวัล Thailand’s Social Power Brand จัดทำโดยนิตยสาร BrandAge ร่วมกับ บริษัท โอเชียน สกาย เน็ตเวิร์ค จำกัด ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Mandala AI Engine and Solutions โดยใช้ AI ในการวิเคราะห์บิ๊กดาต้า (Big Data) บนโซเชียลมีเดียจาก 44 กลุ่มธุรกิจ ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม เพื่อให้ได้ผลการจัดอันดับที่มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ

กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ โดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มอบเงินสนับสนุนมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภา ฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย จำนวน 1,000,000 บาท เพื่อสมทบทุนนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคใต้ โดยมี คุณศักดิ์สิทธิ์ ปิติพงศ์สุนทร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารกลุ่มงานกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้แทนกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ มอบให้แก่ คุณสายสม วงศาสุลักษณ์ กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิ ฯ (ด้านจัดหารายได้) ณ อาคารมหินทรเดชานุวัตน์ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภา ฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย

บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำการเป็นผู้นำประกันชีวิต เปิดตัวโครงการ “KTAXA Advisor” Your Future,Your Way “ความสำเร็จ ในแบบที่เป็นคุณ” ที่มุ่งมั่นยกระดับบทบาทของตัวแทนประกันชีวิตให้ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ของที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันชีวิต และการเงิน เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาด้านประกันชีวิต พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายในปัจจุบัน

คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ขับเคลื่อนบริษัทฯ ให้ประสบความสำเร็จ คือ กลยุทธ์ของฝ่ายขายผ่านช่องทางตัวแทน ซึ่งในปีนี้เป็นปีแห่งการสนับสนุนและยกระดับให้ฝ่ายขายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ หรือ “Bigger and Bolder” นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นในการมีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง หรือ Customer First และอีกหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของบริษัทฯ คือการพัฒนาและเพิ่มจำนวนฝ่ายขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ มีตัวแทนมืออาชีพมากกว่า 13,000 คน และบริษัทฯ มีการส่งเสริมตัวแทนให้ก้าวสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต และการเงิน โดยตัวแทนที่ติดคุณวุฒิ AXA Prime ซึ่งเป็นคุณวุฒิสูงสุดระดับนานาชาติของแอกซ่า มีจำนวนมากกว่า 700 คน และมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี ซึ่งในปีนี้ บริษัทฯ ได้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจก้าวเข้าสู่อาชีพที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต และการเงิน ภายใต้ชื่อโครงการ “KTAXA Advisor” โดยพร้อมให้การสนับสนุนและพัฒนาทักษะต่างๆ อาทิ การฝึกอบรมที่เข้มข้นตลอดหลักสูตรผ่านทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ สนับสนุนเครื่องมือดิจิทัลที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย อีกทั้งมุ่งมั่นยกระดับให้ฝ่ายขายประสบความสำเร็จในอาชีพ จนก้าวสู่การเป็นนัก

ขายมืออาชีพ ในแบบที่เป็นตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายหลักของบริษัทฯ ในการมีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป”

 

คุณชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่าย กล่าวเสริม “สำหรับโครงการ KTAXA Advisor เป็นโครงการใหม่ของฝ่ายขายผ่านช่องทางตัวแทน ซึ่งมาจากวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่ต้องการยกระดับบทบาทของตัวแทนประกันชีวิต ให้ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ของที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันชีวิต และการเงิน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายในยุคดิจิทัลและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นในการสร้างมาตรฐานใหม่ของตัวแทนแบบเต็มเวลา ที่ทำหน้าที่เป็น ที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันชีวิตและการเงิน อย่างครบวงจร เพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายทางการเงินและสร้างความมั่นคงในทุกช่วงชีวิต

โครงการแบ่งเป็น 2 ระดับ เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน คือ

1. KTAXA Advisor สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นในอาชีพที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันชีวิต และการเงิน เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างอาชีพ พร้อมเข้าร่วมหลักสูตรการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม โดยมีแผนรองรับรายได้ที่ 15,000 บาท/ เดือน

2. KTAXA Advisor X สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านการวางแผนทางการเงิน ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าระดับ KTAXA Advisor โดยมุ่งเน้นผู้ที่มีศักยภาพในการสร้างเครือข่าย และพร้อมรับบทบาทเป็นผู้นำทีมในอนาคต โดยผ่านการอบรมและการประเมินตามมาตรฐานที่เข้มข้น และมีแผนรองรับรายได้ที่ 30,000 บาท/เดือน

บริษัทฯ เชื่อว่า เส้นทางสู่อนาคตความสำเร็จ ไม่มีสูตรเดียว สำหรับทุกคน แต่เรามีเส้นทางที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แต่ละคน ล้วนมีเป้าหมายและวิธีการประสบความสำเร็จที่แตกต่างกัน ไม่ยึดติดกับสูตรตายตัว ตามสโลแกนที่ว่า Your Future, Your Way “ความสำเร็จ ในแบบที่เป็นคุณ”

คุณกฤช ธีรสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทน กล่าวเพิ่มเติม “โครงการ KTAXA Advisor มี 3 จุดเด่นที่สำคัญ กล่าวคือ 1.ความสำเร็จที่เร็วกว่า โดยใช้เวลาเพียง 10 เดือน ซึ่งน้อยกว่าหลักสูตรทั่วไป แต่ยังคงความเข้มข้นและครบถ้วน เพื่อให้ตัวแทนพร้อมทำงานจริงในเวลาที่สั้นที่สุด 2. หลักสูตรดังกล่าว เป็นการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ หรือ Learning Community ที่ทุกคนมีส่วนร่วม ซึ่งครอบคลุมทั้งความรู้ด้านประกันชีวิต การวางแผนการเงิน การเล่นบทบาทสมมุติ หรือ Role Play และการ Coaching เพื่อให้มั่นใจว่าตัวแทนสามารถทำได้จริง อีกทั้งมีหลักสูตรที่ได้รับรองโดยสถาบันชั้นนำ ทั้งนี้ผู้จัดการหน่วยจะได้รับความสำเร็จไปพร้อมๆ กับผู้ที่เข้าร่วมโครงการ และ 3. การต่อยอดสู่การเป็นหัวหน้าหน่วย สร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง พร้อมรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้ไม่ใช่แค่การสร้างตัวแทน แต่คือการสร้างที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันชีวิต และการเงิน และว่าที่เจ้าของธุรกิจ ซึ่งเราเชื่อว่าด้วย KTAXA Advisor และ KTAXA Advisor X จะทำให้ทุกคนมีเส้นทางอาชีพที่มั่นคง รายได้ที่เติบโต และโอกาสไร้ขีดจำกัด

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ KTAXA Advisor สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานตัวแทนใกล้บ้านท่าน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1159 หรือ www.krungthai-axa.co.th

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับรางวัล Outstanding Company Performance Awards ในกลุ่มรางวัล Business Excellence ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 100,000 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับรางวัลนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 รวมถึงรางวัล Best Company Performance Awards ที่มอบให้กับบริษัทฯ ที่มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่นและมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา ในพิธีมอบรางวัล SET Awards 2025 ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SASIN) เป็นผู้รวบรวมข้อมูลและประมวลผลการดำเนินงาน ร่วมกับคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิ

โดยมี คุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, คุณสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ คุณภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ บรรณาธิการอำนวยการ วารสารการเงินธนาคาร เป็นผู้มอบรางวัล ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ Chief Executive Officer, คุณอรภรรณ บัวม่วง Chief Financial Officer และ คุณนุชจารี จังวณิชชา Chief Patient Experience Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ Chief Executive Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ในนามของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่าทั้งสอง ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นทุ่มเทของทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้บริหาร ตลอดจนพนักงานทุกคน ที่ร่วมกันส่งมอบการบริบาลทางการแพทย์ที่เป็นเลิศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพ เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่สังคมและผู้มีส่วนได้เสียต่อไป

การได้รับรางวัลในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในการเป็นผู้นำด้านการดูแลสุขภาพที่ได้รับความไว้วางใจในระดับประเทศ

LINE ประเทศไทย เดินหน้าสนับสนุนครีเอเตอร์ไทย เปิดมุมมอง “Creator Commerce” บนเวที iCreator Conference 2025 งานมหกรรมรวมคอนเทนต์ครีเอเตอร์และแพลตฟอร์มครั้งใหญ่ของปี ชูแนวคิด Social Capital คือต้นทุนสำคัญในโลกยุคปัจจุบัน ฐานพลังแฟนอันสำคัญที่สามารถต่อยอดสู่การสร้างแบรนด์เลิฟได้ แต่แบรนด์ควรผสานใช้เครื่องมือดิจิทัลอย่าง LINE OA และ MyShop สร้างประสบการณ์ที่ใช่ เพื่อปั้นแบรนด์โตไปควบคู่กัน พร้อมเผยเทคนิคสร้างความสำเร็จจากเหล่าครีเอเตอร์สู่แบรนด์ดังในไทยที่มีการใช้ LINE มาเสริมประสบการณ์ เปลี่ยนฐานพลังแฟนให้เป็น ‘แบรนด์เลิฟ’

ปั้นแบรนด์เลิฟ รุกเกม Creator Commerce ด้วยอาวุธลับจาก LINE

คุณมาริษา คณานุรักษ์ ผู้จัดการอาวุโสทีม Business Development จาก LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบัน Creator Commerce ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเงินทุนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ขับเคลื่อนด้วย Social Capital หรือทุนทางสังคม ที่เกิดจากความเชื่อใจและความรักที่ผู้ติดตามมีต่อครีเอเตอร์ สู่การต่อยอดจากคอนเทนต์เป็นสินค้าหรือบริการ เนื่องจากครีเอเตอร์มีจุดแข็งในการสื่อสารและการสร้างคอนเทนต์ ทำให้มีฐานแฟนคลับคอยสนับสนุนและพร้อมเป็นกระบอกเสียงให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากครีเอเตอร์สามารถผสานจุดแข็งนี้เข้ากับโซลูชันของ LINE จะช่วยเติมเต็มศักยภาพให้ครีเอเตอร์สามารถปั้นแบรนด์ได้ครอบคลุมทุก Journey ตั้งแต่การสื่อสาร การจัดการร้าน ไปจนถึงปิดการขายผ่านแชท พร้อมขยายคอมมูนิตี้ได้อย่างทรงพลังครบจบบนแพลตฟอร์มเดียว”

หนึ่งในโซลูชันที่เป็นอาวุธลับยอดนิยมของเหล่าครีเอเตอร์ ได้แก่ LINE OA พื้นที่รวมฐานแฟน ให้ครีเอเตอร์พูดคุยสร้างความสัมพันธ์กับผู้ติดตามได้อย่างใกล้ชิด และ MyShop เครื่องมือช่วยปิดการขายผ่านแชทได้แบบไม่มีสะดุด ด้วยระบบจัดการสต็อก ออกออเดอร์ และชำระเงินครบในที่เดียว โดยมีข้อดีคือความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ทั้งไม่ปิดกั้นการมองเห็นคอนเทนต์จากแบรนด์ ไม่จำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงและใช้ข้อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์ต่อยอดสร้างการเติบโตให้แบรนด์ รวมทั้งไม่บังคับเลือกบริการขนส่ง นอกจากนี้ยังมีโซลูชันอื่น ๆ บน LINE ที่ช่วยยกระดับการทำ Creator Commerce และมอบประสบการณ์ที่ดีให้แฟน ๆ ได้แบบ Full Funnel อาทิ LINE Ads และ MyCustomer | CRM

เปิดเทคนิคใช้ LINE OA และ MyShop ปิดการขายจากแบรนด์ครีเอเตอร์

LINE ยังได้เปิดมุมมองและเทคนิคสร้างความสำเร็จจากเหล่าครีเอเตอร์ที่ต่อยอดสู่แบรนด์ดังในไทย ที่นำเครื่องมือ LINE OA และ MyShop ไปใช้จริง จนสามารถต่อยอดพลังแฟนสู่การปั้นยอดขายได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น

 

· เทพลีลา จากคอนเทนต์ “คำต้องห้าม”สู่บอร์ดเกมยอดขายถล่มทลาย โดยเปิด LINE OA เป็นศูนย์กลางในการสื่อสารกับแฟนคลับ พร้อมขายบอร์ดเกม “คำต้องห้าม” และสินค้าอื่น ๆ อีกมามายผ่าน MyShop ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งได้ด้วยตัวเองแบบ self-checkout ช่วยลดภาระแอดมิน จนยอดผู้ติดตามรวมบน LINE OA พุ่งหลักหมื่นคน และอัตรา Block Rate เพียง 15%

 

· Hej Bonnie แบรนด์เสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์ชื่อดัง สร้างแบรนด์ปังขายครบจบเฉพาะบน LINE โดยแบรนด์ใช้ LINE OA ควบคู่กับ MyShop เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร โปรโมทคอลเลกชันใหม่ พร้อมปิดการขายอย่างครบวงจร เมื่อแบรนด์มีการสื่อสารผ่าน LINE OA อย่างสม่ำเสมอ และสร้างยอดขายบน MyShop ได้อย่างต่อเนื่อง ระบบของ LINE จะมีการวิเคราะห์เพื่อนำเสนอสินค้าจากแบรนด์ที่น่าสนใจผ่านสื่อโปรโมทเพิ่มเติมบน LINE ช่วยเพิ่มเพื่อน LINE OA ให้อัตโนมัติเมื่อลูกค้าเข้าดูหรือซื้อสินค้าดังกล่าว ทำให้เพื่อนใน LINE OA ของแบรนด์โต 2–5% อย่างต่อเนื่องในทุกเดือน

 

· The Rolling Pinn แบรนด์ขนมหวานสุดฮิตโดนใจ ขยายพรีออเดอร์บน LINE เสริมแบรนด์โต จากปัญหาเพจปลอมในโซเชียล ทำให้แบรนด์เลือกย้ายการขายทั้งหมดมาไว้บน LINE OA และ MyShop สร้างความมั่นใจให้แฟน ๆ จนจำนวนเพื่อนเพิ่มขึ้นทันทีกว่า 25% หลังย้ายมาบน LINE พร้อมขยายบริการให้แฟน ๆ สามารถ Pre-order ได้ผ่าน MyShop ช่วยให้แบรนด์บริหารจัดการหลังบ้านได้แม่นยำขึ้น ทั้งการกำหนดวันรับสินค้าและจำนวนการผลิต ดันยอดขายเติบโตอีกเท่าตัวในเดือนถัดมา

นอกจากนี้ LINE ยังได้เผยกรณีศึกษาของแบรนด์อื่น ๆ จากหลากหลายครีเอเตอร์ที่น่าสนใจ อาทิ Japan and Friends หรือ “จุ๊มเหม่ง” ที่เปิดขายสินค้าสุดน่ารักบน MyShop จนมีเพื่อนใน LINE OA เพิ่มขึ้นกว่า 535% และมี Block rate ต่ำเพียง 8% ด้านแบรนด์โดนัทอย่าง “Doughnut Library” เลือกปิดการขายผ่านแชทจนดันยอดเพิ่มขึ้นกว่า 50% และลดปัญหา drop-off ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

 

การสร้างแบรนด์เลิฟในยุคนี้ ต้องอาศัยพลังฐานแฟนผสานเข้ากับเทคโนโลยีและเครื่องมือการตลาดที่ตอบโจทย์ โดย LINE พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่อยู่เคียงข้างครีเอเตอร์ไทยในการปั้นแบรนด์ตั้งแต่การสื่อสาร การจัดการร้าน ไปจนถึงปิดการขายอย่างไร้รอยต่อ เพื่อสร้างการเติบโตที่จับต้องได้จริง สำหรับครีเอเตอร์ที่สนใจเครื่องมือบน LINE ก้าวเข้าสู่การ

ทำ Creator Commerce แบบครบวงจรเพื่อการเติบโตผ่านแชท สามารถกรอกแบบฟอร์มติดต่อทีมที่ปรึกษาจาก LINE for Business ได้ที่ https://lin.ee/q6oqub6 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @linebizth และเฟซบุ๊กเพจ LINE for Business

กรุงเทพฯ 2 ธันวาคม 2568 – ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว ... ทรู ดีแทค เดินหน้าตอกย้ำผู้นำบริการโรมมิ่งที่ดีที่สุด ด้วยโปรโมชันสุดคุ้มสำหรับนักเดินทาง มอบอินเทอร์เน็ตโรมมิ่ง อัพเพิ่มฟรี 2GB พร้อมรับสิทธิ์ ประกันเดินทางต่างประเทศฟรี เพื่อให้ลูกค้าสามารถท่องเที่ยวต่างแดนได้อย่างมั่นใจ ใช้งานโรมมิ่งได้อย่างไหลลื่นทุกที่ ทุกเวลา สนุกกับทุกประสบการณ์บนโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น มั่นใจ เน็ตแรงด้วย 5G บนเครือข่ายพันธมิตรต่างประเทศ อันดับ 1 ทั่วโลก และเลือกเครือข่ายที่ดีที่สุดในต่างประเทศให้อัตโนมัติ มั่นใจได้เลยว่าเน็ตไม่มีรั่ว บิลไม่มีช็อก พร้อมสบายใจด้วยบริการคอลเซนเตอร์โรมมิ่ง ฟรี 24 ชม.

รับสิทธิ์ง่ายๆ เพียงซื้อแพ็กเกจเน็ตต่างประเทศ GO Travel หรือเริ่มใช้งานซิมเน็ตต่างประเทศ GO Travel SIM สำหรับใช้งานในโซนทวีปเอเชีย และออสเตรเลีย อาทิประเทศ จีน ญี่ปุ่น มาเก๊า ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ เวียดนาม ตุรกี(ทูร์เคีย) ซาอุดีอาระเบีย ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ รวมกว่า 36 ประเทศ ในช่วงแคมเปญ รับทันที! เน็ตโรมมิ่งเพิ่ม 2GB ให้อัตโนมัติ ช่วยให้เดินทางได้สนุกกว่า คุ้มกว่า และมั่นใจกว่าที่เคย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2568 – 15 ม.ค. 2569 นี้เท่านั้น

· แพ็กเกจเน็ตต่างประเทศ GO Travel (*สำหรับลูกค้าทรู ดีแทครายเดือนและเติมเงิน)

1) แพ็กเกจ GO Travel (เอเชียและออสเตรเลีย) กับเน็ตจุใจ 8GB รับเน็ตเพิ่มฟรี 2GB (รวม 10GB) ราคาสุดคุ้มเพียง 449 บาท ใช้งานได้นาน 10 วัน

2) แพ็กเกจ GO Travel (เอเชียและออสเตรเลีย) กับเน็ตจุใจ 16GB รับเน็ตเพิ่มฟรี 2GB (รวม 18GB) ราคาสุดคุ้มเพียง 649 บาท ใช้งานได้นาน 10 วัน

 

สมัครง่าย ใช้เบอร์เดิม ไม่ต้องเปลี่ยนซิม ที่แอปฯ 1) ลูกค้าทรู และดีแทค True App : https://ss.true.th/s/GOTRAVEL 2) ลูกค้าดีแทค dtac App : https://www.dtac.co.th/s/GOTravel

· ซิมเน็ตต่างประเทศ GO Travel SIM (*สำหรับลูกค้าทั่วไป ค่ายไหนก็ใช้ได้)

1) GO Travel SIM (เอเชียและออสเตรเลีย) กับเน็ตจุใจ 6GB รับเน็ตเพิ่มฟรี 2GB (รวม 8GB) ราคาสุดคุ้มเพียง 399 บาท ใช้งานได้นาน 10 วัน

2) GO Travel SIM (เอเชียและออสเตรเลีย) กับเน็ตจุใจ 12GB รับเน็ตเพิ่มฟรี 2GB (รวม 14GB) ราคาสุดคุ้มเพียง 549 บาท ใช้งานได้นาน 10 วัน

 

ซื้อสะดวก! ได้หลากหลายช่องทาง

1) ศูนย์บริการทรู ดีแทค ทั่วประเทศ และเคาน์เตอร์สนามบิน (เปิด 24 ชม.)

2) True Online Store : http://ss.true.th/s/GOTravelSIM

3) 7-Eleven 80 สาขาที่ร่วมรายการ

 

พร้อมสิทธิพิเศษที่ให้ลูกค้า GO Travel ท่องโลกได้สมาร์ทยิ่งกว่า ไปกับประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เหนือกว่าการโรมมิ่ง (Beyond Roaming) จากทรู ดีแทค และพาร์ทเนอร์ชั้นนำ

· สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! ประกันการเดินทาง ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม จาก FWD Life Insurance และ Allianz

o ฟรี! คุ้มครองอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง

o ฟรี! ครอบคลุมกระเป๋าเดินทาง/ทรัพย์สินส่วนตัวหาย หรือเสียหาย

· สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! สิทธิพิเศษที่สนามบิน

o ฟรี! Airport Premium Service บริการรถกอล์ฟไฟฟ้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ

o ฟรี! AirAsia บริการ Red Carpet ช่องเช็กอินสุดพิเศษและบริการสุด VIP

o ฟรี! The Coral lounge บริการห้องรับรองที่สนามบิน

o ฟรี! เมนูอิ่มอร่อย กับร้านค้าชั้นนำในสนามบิน

· สมาร์ทกว่าด้วย สิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ

o ส่วนลด 40% ค่าเดินทาง ไป-กลับสนามบิน จาก Grab

o คูปองส่วนลดจากร้านค้าชั้นนำในต่างประเทศ

o และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

 

ทรูและดีแทคมุ่งมั่นในการพัฒนาเครือข่ายและบริการด้านโรมมิ่งร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ อันดับ 1 ทั่วโลก กว่า 900 ราย ให้รองรับความต้องการของนักเดินทางทุกกลุ่ม พร้อมช่วยให้ทุกทริปต่างประเทศเต็มไปด้วยความสนุก สะดวก และปลอดภัย เพื่อให้ทุกการเดินทางท่องเที่ยวเป็นเรื่องง่าย พร้อมเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางด้วยบริการโรมมิ่ง GO Travel จากทรู ดีแทค

รายละเอียดเพิ่มเติม www.true.th/ir

Page 1 of 196
X

Right Click

No right click