“เคทีซี” มองการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่งผลดีต่อการเช่ารถเพื่อการท่องเที่ยว เป็นที่นิยมมากขึ้น โดย 6 เดือนแรก ยอดการใช้จ่ายในหมวดรถเช่าเติบโตถึง 90% คาดการณ์ปลายปียังขยายตัวต่อ พร้อมจับมือ 17 พันธมิตร จัดแคมเปญเช่ารถขับรับไฮซีซั่น มองรถอีวีมาแรงเพราะประหยัดน้ำมัน หาที่ชาร์จสะดวก

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อการท่องเที่ยวไทยกลับมาฟื้นตัว และเป็นปัจจัยสนับสนุนต่ออุตสาหกรรมรถเช่า (Car Rent) เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยยอดการใช้จ่ายในกลุ่มรถเช่าช่วงเดือนมกราคม 2566 - มิถุนายน 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 90% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี โดยครึ่งปีหลังมองว่าปัจจัยที่จะผลักดันให้ยอดการใช้จ่ายในกลุ่มรถเช่าขยายตัว คือการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น

“ ตอนนี้อุตสาหกรรมรถเช่ากลับมาฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว และมองว่าช่วงครึ่งปีหลังยังโตต่อ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยก็ชื่นชอบการเช่ารถ ทั้งขับเองและมีคนขับให้ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมรถเช่าเติบโต” นางสาววริษฐากล่าว

สำหรับเคทีซีมีโปรโมชั่นร่วมกับผู้ให้บริการรถเช่าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศรวม 17 แห่ง พร้อมมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น รับส่วนลดสูงสุด 30% เมื่อเช่ารถและใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี หรือ ใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย แลกรับเครดิตเงินคืน 12%

“ปัจจุบัน การเช่ารถอีวีได้รับความนิยมมากขึ้น โดยสัดส่วนการเช่ารถยนต์ปกติอยู่ที่ 80% และรถอีวี 20% เพราะราคาค่าเช่าไม่สูงมาก เช่น รถยนต์ไฟฟ้า Ora Good Cat จาก Hertz Thailand หนึ่งใน

พันธมิตรของเรา หากใช้บัตรเครดิตเคทีซีจะได้ส่วนลด 30% ค่าเช่าจะอยู่ที่ราคา 707 บาท จากราคาปกติ 1,010บาท แต่การใช้รถอีวี ยังมีข้อจำกัด และเหมาะกับนักท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะสามารถหาที่ชาร์จได้สะดวก”

สำหรับพันธมิตร 17 แห่ง ประกอบด้วย เอแซ็ป คาร์ เร็นทัล (ASAP) / เอวิส คาร์ เร็นทัล ( AVIS) / บัดเจ็ท คาร์ เรนทัล (Budget) / บิซคาร์ เรนทัล (Bizcar Rental) / ชิค คาร์เร้นท์ (Chic Car Rental) / ไดรฟ์ฮับ (Drivehub) / ไดรฟ์ คาร์ เร้นทัล (Drive Car Rental) / ยุโรปคาร์ (Europcar) / ฮ้อปคาร์ (Haupcar) / เฮิร์ซ (Hertz) / คลูก (Klook) / ไพร์ม คาร์ เรนทอล(Prime Cars) / เร้นท์ คอนเนคเต็ด (Rentconnected) / เรนทัลคาร์ดอทคอม (Rentalcars.com) / ซิกท์ เรนท์ อะคาร์ (Sixt) / ทราเวลไอโก (TraveliGo) และ ทรู ลีสซิ่ง (True Leasing)

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชัน ของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผสานพลังสร้างกลยุทธ์ สร้างการท่องเที่ยวมูลค่าสูงขับเคลื่อนเร็ว จับกระแส Maga Trend ส่งเสริม Soft Power อาหารไทย พร้อมร่วมมือจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ดึงผู้ผลิตสินค้า บริการและโซลูชั่นระดับโลก ร่วมโชว์ผลิตภัณฑ์ใหม่ นวัตกรรม-เทคโนโลยีล่าสุด คาดปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 28,000 คน

ในงานเสวนาพิเศษ “รวมพลังสร้างกลยุทธ์เพิ่มมูลค่า เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย” ซึ่งร่วมกันจัดขึ้นโดย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมแถลงความร่วมมือการจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 โดยเนื้อหาในการเสวนากล่าวถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนได้รวดเร็ว เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญของการท่องเที่ยวไทย โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวทั้งระบบ

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงแนวโน้มของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตขณะนี้ว่า เป็นกลุ่มการท่องเที่ยวพร้อมทำงาน (Work from Anywhere) ซึ่งเป็นวิถีชีวิตและการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ คนเหล่านี้เรียกว่า Digital Nomad มักเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ ค่าครองชีพไม่สูง อากาศดี มาตรการวีซ่าไม่ยุ่งยาก และจะใช้เวลาการท่องเที่ยวนานกว่านักท่องเที่ยวปกติ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในจุดหมายของการท่องเที่ยวของคนกลุ่มนี้ ส่วนแนวโน้มการท่องเที่ยวของโลกนั้น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Travel) กลายเป็นกระแสหลักที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตระหนักถึงและช่วยกันผลักดันให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่ระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน ดังนั้นภาครัฐและผู้ประกอบการไทยต้องเร่งส่งเสริมเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดขยะ ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รักษาแหล่งท่องเที่ยวและธรรมชาติให้สมบูรณ์ หากเราทำได้ดีก็จะมีแต้มต่อในการสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยจากทั่วโลกและยังส่งผลดีต่อทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวด้วย

สำหรับการสนับสนุนและร่วมจัดงาน Food & Hospitality Thailand นั้น ถือเป็นวาระสำคัญของสมาคมฯ เพราะนอกจากจะได้ติดตามแนวโน้มการท่องเที่ยว พบกับสินค้าและบริการจากบริษัทชั้นนำแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีพิเศษฉลองครบรอบ 60 ปี ของสมาคม พร้อมมีการจัดประชุมใหญ่ประจำปีและกิจกรรมให้ความรู้กับสมาชิกและผู้สนใจ โดยร่วมกับ มูลนิธิใบไม้สีเขียว ในหัวข้อเกี่ยวกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคำนวณคาร์บอนในการเข้าพัก การลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน รวมถึงการจัด Hospitality Digital Day ที่พูดถึง Digital Marketing สำหรับธุรกิจโรงแรมทุกแง่มุม การแข่งขัน Thailand & AHRA ASEAN Hotel Bartenders’ Championships 2023 เพื่อพัฒนาทักษะพนักงานบาร์เทนเดอร์โรงแรมด้วย

 

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวถึง การส่งเสริมอาหารไทยให้เป็น Soft Power ด้านการท่องเที่ยวไทยว่า อาหารไทย (Food) เป็นหนึ่งใน 5F ของ Soft Power เป้าหมายที่ ททท. วางไว้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านความอุดมสมบูรณ์ของวัฒนธรรมอาหารไทย หรือ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ซึ่ง 20% ของค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจ่ายในการท่องเที่ยวไทยมาจากอาหาร โดยในปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายด้านอาหารในไทยสูงถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งในการการพัฒนาอาหารไทยให้เป็น Soft Power นั้น ต้องร่วมกันสร้างมาตรฐานพัฒนาทั้งระบบ ทั้งด้านสาธารณสุข ความสะอาด ปลอดภัย รสชาติ ฯลฯ รวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่เข้าถึงง่าย อาทิ ภาพยนตร์ ซีรีย์ ดารานักร้อง รายการอาหาร และรางวัลอาหารระดับโลก อาหารไทยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ทั้งอาหารไทยแท้และเกิดจากการผสมผสานหลายวัฒนธรรมดัดแปลงร่วมกับวัตถุดิบท้องถิ่นจนมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยปีนี้อาหารไทยติด 10 Best Rated Curries ถึง 5 อันดับ ได้แก่ แกงพะแนง ข้าวซอย แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น และแกงส้ม ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลและทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อสัมผัสกับรสชาติที่แท้จริงของอาหารเหล่านี้

ส่วนการจัดงาน Food & Hospitality Thailand นั้น สมาคมฯ ให้การสนับสนุนมาตลอด มีการเชิญสมาชิกให้เข้าร่วมงานเพื่อหาความรู้รับทราบแนวโน้มธุรกิจใหม่ๆ พร้อมร่วมประชุมและร่วมกิจกรรม โดยกิจกรรมที่น่าสนใจปีนี้ คือ การเชิญวิทยากรที่เป็นนักธุรกิจอาหาร ซึ่งประสบความสำเร็จ มาสร้างแรงบันดาลใจ แนะนำการบริหารและการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จึงขอเชิญให้ผู้สนใจติดตามและเข้าร่วมกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า งาน Food & Hospitality Thailand มีเป้าหมายการในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้เป็นกำลังสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของโลก แต่เราจะสร้างความประทับใจ สร้างแรงดึงดูดใจ และรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้อย่างไร การจัดงาน Food & Hospitality Thailand แต่ละครั้งผู้จัดงานจึงต้องทำงานกันอย่างหนัก ทั้งรวบรวมฐานข้อมูลการจัดงานและผู้ประกอบการจากทั่วโลกมาประมวลผลสรุปเป็นแนวทางจัดงาน พร้อมนำเสนอแนวโน้ม ทิศทาง และโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจการท่องเที่ยวให้แก่ผู้เข้าร่วมงานได้รับทราบ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ธุรกิจก่อนเสมอ

สำหรับแนวคิดในการจัดงานฯ ครั้งนี้ คือ เชื่อมโยงสู่อนาคต (Connecting the Future) เนื่องจากปีนี้การท่องเที่ยวมีการเดินหน้าต่อเนื่องหลังฟื้นตัวจากช่วงโควิด ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยถึง 30 ล้านคน ด้วยสัญญาณบวกนี้ส่งให้งานฯ ปีนี้มีความสำคัญมากขึ้น ผู้ประกอบการต่างมองหาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชั่นระดับพรีเมียมไว้รองรับและสร้างความพึ่งพอใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามามากขึ้นในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า ทั้งยังเป็นการขานรับและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันกับกลยุทธ์ที่ทาง ททท. และ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยววางไว้

ดังนั้นงาน Food & Hospitality Thailand 2023 จึงได้รับความสนใจจากผู้ผลิตสินค้าและบริการระดับพรีเมียมในการเข้าร่วมจัดแสดงงานกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 20 ประเทศทั่วโลก ในโซนต่างๆ ของการจัดงานฯ ได้แก่ Coffee & Bakery Thailand (CBT), Restaurant & Bar Thailand (RBT) และ 2 โซนใหม่ Shop & Retail Thailand (SRT), และ Cleaning

Hygiene Thailand (CHT) ที่เกิดขึ้นครั้งแรก ส่วนความพิเศษในปีนี้ คือ การจับมือกับพันธมิตรรายใหญ่ยักษ์ใหญ่จากจีน ที่นำงาน Hotel & Shop Plus Thailand งานแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์สำหรับการออกแบบตกแต่งอาคาร โรงแรมและพื้นที่เชิงพาณิชย์ มาร่วมจัดแสดง นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมงานสัมมนา การประชุม เวิร์กชอป และการแข่งขันที่น่าสนใจมากมาย อาทิ สัมมนาพิเศษจาก ททท. หัวข้อ “โอกาสการเติบโตของธุรกิจอาหารออร์แกนิกและความเป็นคลังอาหารของประเทศไทย รวมถึงการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism)”, การแข่งขันทำอาหาร Thailand's 27th International Culinary Cup (TICC), การแข่งขัน Latte Art และ Coffee in Good Spirits, การทำเบเกอรี่ ไอศกรีม ศิลปะการตกแต่งอาหาร บาริสต้าและบาเทนเดอร์เวิร์กชอป ฯลฯ โดยการจัดงานฯ ครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 28,000 คน

โดยงาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com

อุตสาหกรรมกระดาษฝ่ากระแสคลื่นดิจิทัล หลังสัญญาณดี ความต้องการเพิ่ม สร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากภาคการผลิตที่มีกระดาษเป็นส่วนประกอบ การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ การขนส่งและบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ล่าสุดองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกระดาษทั้งไทยและนานาชาติร่วม อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค ASEAN Paper Bangkok 2023 ดึงผู้ประกอบการทั่วโลกแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เจรจาการค้า พร้อมโชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมกระดาษไทย ภายใต้แนวคิด เทคโนโลยีการผลิตกระดาษเพื่อความยั่งยืนและโซลูชั่นสำหรับธุรกิจในอนาคต

นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทย กล่าวถึง สถานการณ์ของอุตสาหกรรมกระดาษและเยื่อกระดาษของไทยและต่างประเทศในปีนี้ว่า ยังเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เห็นได้จากปริมาณการใช้กระดาษของไทยในไตรมาส 3 และ 4 ของปีที่แล้ว (2565) เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ มีการเติบโตขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก โดยกลุ่มกระดาษที่นำมาทำบรรจุภัณฑ์ หรือ กระดาษคราฟท์ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของการผลิต กว่า 80% มาจากวัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลกระดาษปีละหลายล้านตัน ซึ่งผู้ผลิตกระดาษไทยหลายรายมีการใช้วัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลสูงกว่า 90% แต่ยังไม่เพียงพอจนต้องนำเข้าเศษกระดาษเพื่อรีไซเคิลสูงถึง 40% ขณะที่กระดาษใช้แล้วของไทยได้รับคัดแยกเข้าระบบเพียง 60% ถ้ามีการปลูกฝังให้มีการแยกขยะได้ดียิ่งขึ้น ก็จะช่วยลดปริมาณขยะและนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้อุตสาหกรรมกระดาษควรได้รับการส่งเสริมมากขึ้น เพราะนอกจากจะสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ส่วนการใช้งานกระดาษนั้น ประเทศที่มีการพัฒนาแล้วจะใช้มากกว่าประเทศที่ยังไม่พัฒนา ประเทศที่เจริญแล้วจะมีการใช้กระดาษมากกว่า 100 กิโลกรัม / คน / ปี ส่วนในอาเซียนอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียมีการใช้กระดาษเกือบ 100 กิโลกรัม / คน / ปี แต่ในไทยมีการใช้งานกระดาษอยู่เพียง 75 กิโลกรัม / คน / ปี จึงยังมีช่องว่างในการพัฒนาตลาดอีกมาก แต่ก็ถือเป็นโชคดีที่เรามีการผลิตกระดาษที่ครบวงจร เพียงพอต่อการใช้งาน และการแข่งขันไม่สูง ทำให้ราคากระดาษภายในประเทศไม่สูงจนเกินไป

สำหรับงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 ที่จะเกิดขึ้นนั้น เป็นงานสำคัญของอุตสาหกรรมกระดาษโลก มีผู้ประกอบการ บริษัทชั้นนำ และผู้มีบทบาทสำคัญมาร่วมงานจำนวนมาก เป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการที่จะได้พบกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เจรจาธุรกิจ และนำเสนอความสามารถ

ในการผลิตผลิตภัณฑ์ และบริการแก่ลูกค้าที่มาร่วมงานด้วย ซึ่งสมาคมฯ ได้สนับสนุนการจัดงานฯ โดยเชิญสมาชิกสมาคมซึ่งมีกำลังการผลิตรวมแล้วกว่า 90% ของกำลังการผลิตกระดาษทั้งประเทศให้เข้าร่วมงาน รวมถึงทางสมาคมยังได้ร่วมออกบูทจัดแสดงงาน นำเสนอศักยภาพ และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสำหรับอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทยอีกด้วย

นายปณิธาน มีสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายขายส่วนภูมิภาค บริษัท วอยท์ เปเปอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด หนึ่งในบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมกระดาษระดับโลก ซึ่งดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมกระดาษว่า วันนี้กระดาษเป็นคำตอบและทางออกของโลกในความต้องการลดการใช้พลาสติกลง เป็นอีกเหตุผลที่เสริมให้อุตสาหกรรมกระดาษมีการเติบโต สำหรับประเทศไทยแม้ตลาดจะมีความอิ่มตัว แต่ผู้ประกอบการไทยได้รุกอีกก้าวในการเข้าไปขยายธุรกิจและขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเข้าไปลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพสูงอย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่งนอกจากจะมีจำนวนประชากรมากแล้ว ยังสามารถผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าของประเทศที่เข้าไปลงทุนได้อีกด้วย

ดังนั้น งาน ASEAN Paper Bangkok 2023 จึงไม่ใช่แค่งานสำคัญของไทยหรือภูมิภาค แต่เป็นงานสำคัญระดับโลกที่คนในอุตสาหกรรมให้ความสำคัญ เพราะอาเซียนเป็นแหล่งผลิตกระดาษอันดับต้นของโลก โดยมีไทยเป็นฮับ (Hub) หรือ ศูนย์กลางของภูมิภาคและอุตสาหกรรม ส่วนอีกกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน คือ การบรรยายในหัวข้อ New standards in dewatering with FloWing disc filter ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตกระดาษ โดยเฉพาะทรัพยากรน้ำ รวมถึงการลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต

การจัดงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 นั้น นายธัชพล วงษ์รักษา รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า งานนี้เป็นการพัฒนาและขยายการจัดงาน Tissue & Paper Bangkok ที่จัดขึ้นในปีที่ผ่านมา (2565) และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้ในปีนี้มีการขยายพื้นที่การจัดงานให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้ต้องการเข้าร่วมจัดแสดงงานและเยี่ยมชมงานที่มากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนชื่อการจัดงานเป็น ASEAN Paper Bangkok เพื่อให้ครอบคลุมทุกส่วนของอุตสาหกรรมกระดาษ พร้อมยกระดับการจัดงานให้เป็นงานสำคัญระดับภูมิภาค โดยสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ คือ พื้นที่จัดแสดงงานในกลุ่มกระดาษลูกฟูกและกระดาษรีไซเคิล (Corrugated and Paper Recycling) ที่สอดคล้องกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและทิศทางการเติบโตของความต้องการผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้ จะมีบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกเข้าร่วมจัดแสดงงานกว่า 200 ราย และมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 3,000 ราย

สำหรับแนวคิดการจัดงานครั้งนี้ คือ “เทคโนโลยีการผลิตกระดาษเพื่อความยั่งยืนและโซลูชั่นสำหรับธุรกิจของอนาคต” (Sustainable Paper Production Technology & Solution for Future Business) เนื่องจาก

อุตสาหกรรมกระดาษเป็นหนึ่งของอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก แม้สองทศวรรษที่ผ่านมีความกังวลว่ากระดาษจะถูกลดความสำคัญลงจากกระแสดิจิทัล แต่จากการเติบโตและความต้องการกระดาษเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์และชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่องเป็นข้อพิสูจน์ว่ากระดาษยังมีความสำคัญ โดยได้พัฒนาปรับตัวไปในหลายรูปแบบสอดคล้องไปกับวิถีชีวิตใหม่ เทคโนโลยี และสังคมที่มีความเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งแนวคิดของการผลิตและการใช้งานของกระดาษยุคใหม่ นอกจากจะต้องตอบสนองในเชิญพาณิชย์แล้ว ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

สำหรับงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2566 ณ ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aseanpaperbangkok.com

ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ร่วมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ยกระดับขีดความสามารถทางด้านการเงินยั่งยืน ร่วมลงนามใน “สัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Linked Swap” เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศไทย โดยจะนำผลการดำเนินงานของ GC ในการมีส่วนร่วมในด้านการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจ และบรรษัทภิบาล (ESG) มาเป็นเกณฑ์เพื่อพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยในธุรกรรมนี้ ทั้งนี้ ยังเป็นการต่อยอดการให้บริการการเงินยั่งยืนอย่างครบวงจรต่อเนื่องจากความสำเร็จของสัญญาการสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan: SLL) เมื่อเดือนธันวาคม 2565 การลงนามในครั้งนี้มี ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ และ นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ร่วมในพิธีลงนามเมื่อเร็วๆ นี้

ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ปัจจุบันกระแสของความยั่งยืนได้กลายเป็นวาระสำคัญของโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย ดังจะเห็นได้จากความตื่นตัวขององค์กรไทยที่เริ่มให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สังคมยั่งยืน ผ่านการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ธนาคารไทยพาณิชย์จึงมุ่งมั่นผลักดันการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักขององค์กร สอดคล้องกับการประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ของกลุ่มธุรกิจ SCBX ทั้งนี้ ในส่วนของการสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าภาคธุรกิจนั้น ธนาคารมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ผสานแนวคิดการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าและต่อยอดความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนวธุรกิจของลูกค้าในรูปแบบต่างๆ การที่องค์กรขนาดใหญ่อย่าง GC

เข้าทำธุรกรรมสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบต่อสังคมและให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยขยายขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจและการเติบโตในระยะยาว และสามารถช่วยองค์กรลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง โดยในธุรกรรมของ GC ครั้งนี้ ธนาคารจะพิจารณาอัตราดอกเบี้ยโดยใช้ผลการดำเนินงานทางด้านความยั่งยืน ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างครบถ้วนและโปร่งใสของ GC เป็นองค์ประกอบในการกำหนด ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของการต่อยอดคุณค่าทางด้าน ESG ทั้งยังได้รับประโยชน์จากความมุ่งมั่นในการรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างสรรค์โลกที่ดีขึ้น

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ที่ผ่านมา GC มุ่งมั่น และนำแนวทาง ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับโดย DJSI เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนที่มีความพร้อมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย และโลกใบนี้ร่วมกับพันธมิตรด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ตามแนวทาง Together To Net Zero นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนในการนำ Sustainable Funding เข้ามาสนับสนุนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน การเข้าร่วมลงนามในสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Linked Swap ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้ จะส่งผลให้ GC สามารถลดต้นทุนทางการเงิน และบริหารทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องจากสินเชื่อความยั่งยืนที่ได้รับไปแล้วก่อนหน้านี้”

 

รายนามผู้บริหาร ภาพ 6 ท่าน (จากซ้ายไปขวา)

1. นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

2. นางสาวศรมน อิงคตานุวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Corporate Banking 1 ธนาคารไทยพาณิชย์

3. นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

4. ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์

5. นายสมสกุล วินิชบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Client Coverage 1.7 ธนาคารไทยพาณิชย์

6. นางขวัญกมล พริ้งวณิชย์ Division Head, Financial Market Trading ธนาคารไทยพาณิชย์

ผลตอบแทนสูงและวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ครองปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ด้าน Google และปตท. ยังครองแชมป์อันดับบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด

ยูนิเวอร์ซัม (Universum) บริษัทผู้นำระดับโลกด้านการวิจัย ให้คำปรึกษา และการสื่อสารแบรนด์ให้แก่องค์กร เผยข้อมูลตลาดแรงงานคนรุ่นใหม่ของไทยล่าสุด ผ่านรายงานผลสำรวจระดับโลก Universum Talent Research ประจำปี 2566 ที่ได้สำรวจความคิดเห็นและความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ต่อการทำงานในอนาคต พบว่า นักศึกษาสาขาธุรกิจอยากทำงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง

ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้คนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติอีกครั้งตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับนักศึกษาสาขาวิศวกรรม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือ คนไทยรุ่นใหม่สนใจอยากทำงานในอุตสาหกรรมพลังงานเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นถึง 19% ในกลุ่มนักศึกษาสาขาวิศวกรรม และเพิ่มขึ้น 3.9% ในกลุ่มนักศึกษาสาขาธุรกิจ หลังประเทศไทยเดินหน้าพัฒนาความยั่งยืนในทุกภาคส่วน

การที่อุตสาหกรรมด้านพลังงานได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่คนไทยรุ่นใหม่ สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืนที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะด้านการผลิตและการหันมาใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน และต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ดีกับสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้นองค์กรที่สามารถสื่อสารนโยบายและเป้าหมายธุรกิจในด้านความยั่งยืนได้อย่างชัดเจน จะมีโอกาสดึงดูดคนเก่งรุ่นใหม่ให้มาร่วมงานได้มากกว่า” นายไมค์ พาร์สันส์ (Mike Parsons) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของยูนิเวอร์ซัม กล่าว

 

นายไมค์ พาร์สันส์ (Mike Parsons) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของยูนิเวอร์ซัม

สำหรับ 3 อันดับอุตสาหกรรมยอดนิยมที่นักศึกษาสาขาธุรกิจสนใจมากที่สุด ได้แก่

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ (33%)

วิจัยการตลาด (28%)

และโฆษณา (27%)

ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต (35%)

ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี (30%) และ

การปรึกษาด้านไอทีและวิศวกรรม (28%) คือ 3 อุตสาหกรรมที่นักศึกษาสาขาวิศวกรรมสนใจมากที่สุดในปีนี้

ด้านอันดับบริษัทที่นักศึกษาสาขาธุรกิจอยากทำงานด้วยมากที่สุด กูเกิล (Google) ยังคงรั้งอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GMM Grammy) ยูนิโคล่ (UNIQLO) และไลน์ คอร์ปอเรชั่น (LINE Corporation)

ในขณะเดียวกันผลสำรวจยังเผยว่า นักศึกษาสาขาวิศวกรรมอยากทำงานกับปตท. (PTT) มากที่สุด ตามด้วยกูเกิล (Google) ปูนซิเมนต์ไทย (Siam Cement Group: SCG) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

รายงานผลสำรวจปีนี้ ยูนิเวอร์ซัมยังได้จัดแบ่งกลุ่มโปรไฟล์คนรุ่นใหม่ตามความต้องการและความสนใจที่ต่างกันเมื่อต้องเข้าทำงานในองค์กร โดยพบว่า

คนไทยส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมตอบแบบสำรวจจัดอยู่ในกลุ่มมองหาไลฟ์สไตล์ที่สมดุล (Balance-Seekers) มากที่สุด (34%) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงาน (work-life balance) พวกเขามองหาองค์กรที่มีความมั่นคงและมีบรรยากาศการทำงานที่ดี ให้เงินเดือนที่ไม่น้อยกว่าบริษัทอื่น และมีความยืดหยุ่นที่พวกเขาสามารถบาลานซ์ภาระความรับผิดชอบเรื่องงานและความสนใจด้านอื่น ๆ นอกจากงานได้อย่างเหมาะสม

รองลงมาได้แก่กลุ่มไล่ตามเป้าหมายความท้าทาย (Go-Getters) (24%) ที่พร้อมเปิดรับโอกาสความท้าทายใหม่ ๆ และความรับผิดชอบที่มากขึ้นเพื่อการได้รับการเล็งเห็นถึงศักยภาพความสามารถและการเติบโตในองค์กรแบบก้าวกระโดด ตามมาด้วยกลุ่มเดินทางเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การทำงาน (Globe-Trotters) (15%) ที่มองหาโอกาสในการทำงานในองค์กรระดับสากลที่สามารถเดินทางไปต่างประเทศและได้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้าทั่วโลก

และกลุ่มสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงสังคม (Change-Makers) (14%) ที่อยากร่วมงานกับองค์กรที่ทำงานเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการเพื่อสาธารณะหรือองค์กรเพื่อสังคมก็ตาม โดยให้คุณค่ากับเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมในองค์กร (diversity, equity, and inclusion: DE&I) และรู้สึกมีพลังในการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

ปัจจัยด้านผลตอบแทนและวัฒนธรรมองค์กรที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ

แม้คนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะชอบการทำงานแบบระยะไกลหรือ remote working แต่พวกเขาก็รู้สึกกังวลว่าจะต้องทำงานเกินเวลา (48%) และไม่สามารถรักษาสมดุลชีวิตกับการทำงานที่ต้องการได้

ขณะที่ปัจจัยอย่าง “เงินเดือนที่ไม่น้อยกว่าบริษัทอื่น” และ “ผลตอบแทนอื่น ๆ” ยังคงเป็นสองปัจจัยสำคัญที่นักศึกษาไทยให้ความสำคัญมากที่สุด แต่พวกเขาก็มีความต้องการในคุณค่าอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย ได้แก่ การร่วมงานกับองค์กรที่มีบรรยากาศการทำงานที่ดี มีความมั่นคงด้านอาชีพการงาน มีความยืดหยุ่นในการทำงาน สามารถรักษาสมดุลชีวิตกับการงาน เปิดโอกาสให้พนักงานแสดงศักยภาพความสามารถได้เต็มที่ มีความเคารพต่อพนักงานอย่างเท่าเทียม และมองเห็นโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงานที่ชัดเจน

นายพาร์สันส์ กล่าวว่า “ตลาดงานปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยคุณค่าเหล่านี้เพื่อดึงดูดคนเก่งรุ่นใหม่ นอกจากการให้เงินเดือนและผลตอบแทนที่ไม่น้อยกว่าบริษัทอื่นแล้ว องค์กรควรสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนและส่งเสริมพนักงาน ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน มีความยืดหยุ่น ส่งเสริมให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พร้อมมอบโอกาสการเติบโตในเส้นทางอาชีพ เมื่อองค์กรกำหนดนโยบายและผลักดันคุณค่าองค์กรเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถดึงดูดคนเก่งรุ่นใหม่ให้มาร่วมงาน รวมถึงเสริมชื่อเสียงขององค์กรในฐานะบริษัทที่คนอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดด้วย”

คนรุ่นใหม่ศึกษาข้อมูลองค์กรที่อยากทำงานผ่าน “เฟซบุ๊ก”

ในส่วนของช่องทางการสื่อสาร 80% ของนักศึกษาไทยกล่าวว่า พวกเขามักเข้าไปศึกษาข้อมูลขององค์กรที่พวกเขาสนใจทางช่องทางโซเชียลมีเดียขององค์กรนั้น ๆ โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ซึ่งหัวข้อที่คนรุ่นใหม่สนใจมากที่สุด ได้แก่ เรื่องความหลากหลายและการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม เงินเดือนและผลตอบแทน และโอกาสในการเติบโตในอาชีพการงาน ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่เพียงดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ถือเป็นปัจจัยหลักที่คนรุ่นใหม่ใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจเลือกทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเลยทีเดียว

“องค์กรควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารประเด็นดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์ขององค์กรให้มากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ใช้ช่องทางดิจิทัลในการหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าวัฒนธรรมขององค์กรที่พวกเขาอยากร่วมงานด้วย นอกจากนี้ คนไทยรุ่นใหม่ยังอยากรู้แนวคิดของผู้บริหารองค์กรทั้งด้านคุณค่าที่องค์กรยึดถือ รวมถึงแผนธุรกิจในอนาคต องค์กรจึงควรสื่อสารประเด็นเหล่านี้ให้ชัดเจนในช่องทางออนไลน์เพื่อดึงดูดความสนใจและการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ และสะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนช่วยเหลือพนักงาน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้านโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงานที่ดีในแต่ละอุตสาหกรรมในอนาคตด้วย” นายพาร์สันส์ กล่าวเสริม

สำหรับความคาดหวังด้านเงินเดือน ผลสำรวจปีนี้เผยว่า เงินเดือนโดยเฉลี่ยที่คนรุ่นใหม่คาดหวังอยู่ที่ 466,379 บาทต่อปี ลดลง 3% จากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 479,000 บาทต่อปี โดยเงินเดือนที่นักศึกษาสาขาธุรกิจคาดหวังอยู่ที่ 441,195 บาทต่อปี ขณะที่เงินเดือนที่นักศึกษาสาขาวิศวกรรมคาดหวังในปีนี้อยู่ที่ 464,538 บาทต่อปี ความแตกต่างของเงินเดือนที่คาดหวังระหว่างเพศชายและหญิงปีนี้อยู่ที่ 10% โดยเงินเดือนที่คนรุ่นใหม่เพศชายคาดหวังอยู่ที่ 484,303 บาทต่อปี ส่วนเงินเดือนที่คนรุ่นใหม่เพศหญิงคาดหวังอยู่ที่ 437,455 บาทต่อปี

รายงานผลสำรวจ Universum Talent Research ปี 2566 ของประเทศไทย มาจากการจัดทำแบบสอบถามนักศึกษา 8,437 คนที่เรียนสาขาวิชา 112 สาขาจากมหาวิทยาลัยและสถานศึกษา 23 แห่งทั่วประเทศ ระหว่างเดือนกันยายน 2565 - กุมภาพันธ์ 2566 โดยผู้ตอบแบบสำรวจได้ประเมินและจัดอันดับองค์กรไทยและสากลจำนวน 128 ราย ซึ่งลิสต์จัดอันดับใช้ขั้นตอนการคัดเลือกและประเมินอิสระ

Page 2 of 4
X

Right Click

No right click