November 23, 2024

 ประเทศไทย- 24 กันยายน 2567 - ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้มีคนไทยมากถึง 67% ที่เลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะสูงถึง 750,000 ล้านบาทภายในปี 25681 ซึ่งสะท้อนถึงการก้าวไปข้างหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างมั่นคง ในขณะที่ภาค SMEs ตั้งเป้าหมายการเติบโตจากรายได้ 6.3 ล้านล้านบาทในปี 2566 เป็น 6.6 ล้านล้านบาทในปี 25672 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดออนไลน์และปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพและทันกระแสการค้าในยุคดิจิทัล 

ล่าสุด ช้อปปี้ ผู้นำอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจผู้ใช้งานชาวไทย ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) จัดโครงการ “The influencer journey TiJ#1” สร้างตัวตนให้ปัง สู่เส้นทางคนดังที่สำเร็จ โดยโครงการนี้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้เทคนิคสร้างแบรนด์บนร้านค้าออนไลน์จากรุ่นพี่ในวงการ Content Marketing กับ DBD Influencer Awards กิจกรรมเด็ดเพื่อเฟ้นหาสุดยอดอินฟลูเอนเซอร์ผ่านการไลฟ์สตรีมมิ่ง เรียกได้ว่ากระแสตอบรับดีมากๆ ทั้งยังช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพอีกด้วย 

เปิดสูตรลับ 2 SMEs ไทย สู่ความสำเร็จทางธุรกิจบนโลกอีคอมเมิร์ซ 

 

หัทยา คัมบารา กรรมการผู้จัดการ แบรนด์ส้มใส (SOMSAI) ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 รางวัล DBD Influencer Awards 2024 แชร์มุมมองการสร้างแบรนด์และเทคนิคการตลาดไว้ว่า “แบรนด์ส้มใสเริ่มต้นจากการตระหนักถึงปัญหาผิวของคนไทย เราจึงพัฒนาสบู่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วผ่านการบอกต่อ จนเกิดเป็นสบู่น้ำส้มใส ในช่วงแรกเราเน้นการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย แต่เมื่อโควิดทำให้ร้านค้าไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน ทำให้เห็นโอกาสช่องทางออนไลน์ จึงมาเปิดร้านบนช้อปปี้ แพลตฟอร์มที่ ‘น่าเชื่อถือ’ และ ‘ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง’ ทำให้หลายคนได้กลับมาพบกับแบรนด์ส้มใสอีกครั้ง บวกกับแบรนด์ของเราได้รับเครื่องหมาย อย. และ DBD Registered ที่สร้างความมั่นใจว่าสินค้าของเราเป็นสินค้าที่ปลอดภัยและของแท้ 100% ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในทุกการช้อปปิ้ง ระยะเวลาเกือบ 2 ปีบนช้อปปี้ รู้สึกประทับใจมากกับการดูแลอย่างใกล้ชิดและคำปรึกษาจากทีมงาน รวมถึงการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจผ่านกิจกรรมแคมเปญเครื่องมือและฟีเจอร์ทางการตลาด ในครึ่งปีแรกของปี 2567 ยอดขายแบรนด์เติบโตกว่า 10 เท่า และยอดออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน   

“อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของแบรนด์ส้มใส คือการคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในรางวัล DBD Influencer Awards 2024 จากโครงการ “The influencer journey TiJ#1” ซึ่งถือเป็นโครงการที่เราได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างยอดขายผ่านเครื่องมือการตลาดอย่าง ไลฟ์สตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการระบบหลังบ้าน การจัดตารางไลฟ์สด การวางโครงสร้างช่อง การถ่ายทำ และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พร้อมพัฒนาผลลัพธ์ด้วยการใช้ AI ที่ทันสมัย เราเชื่อว่า การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ทันที เรียนรู้ระหว่างที่ลงมือทำ และพัฒนาต่อเนื่องแบบไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราชนะใจกรรมการ จากการแข่งขันไลฟ์สตรีมบนช้อปปี้พบว่า แบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายได้กว่า 150% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ อีกทั้งยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ จากเหล่าลูกค้า ทำให้ตัวเราและทีมงานแบรนด์ส้มใสรู้เลยว่า สินค้าไทยยังคงเติบโตได้อีกไกล หากเราพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการรับรองคุณภาพจากภาครัฐ และเลือกช่องทางการขายตรงตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา จะยิ่งช่วยขยายโอกาสในการเติบโต ต้องขอบคุณสำหรับโครงการนี้ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นเติบโตและก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง” คุณหัทยา กล่าวทิ้งท้าย 

ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: ในช่วงที่การทำธุรกิจออนไลน์กำลังมาแรง ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งมีโอกาสเติบโตได้เร็ว ช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขายออนไลน์ ด้วยเครื่องมือครบครัน ทั้งการส่งเสริมการขายและการวิเคราะห์ ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันการสั่งซื้อออนไลน์สะดวกและง่ายดายกว่าเดิมมาก นี่คือโอกาสที่คุณไม่ควรพลาด 

 

กษิรา ขันติศิริ เจ้าของแบรนด์เผือกกรอบ ทันจิตต์ ถ่ายทอดความอร่อยสู่การไลฟ์ที่น่าจับตามอง เล่าว่า “ทันจิตต์เริ่มต้นจากความหลงใหลในการทำขนม สืบทอดสูตรลับเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นแบรนด์ของฝากที่มีประวัติยาวนานกว่า 40 ปี โดยหัวใจหลักของเราคือการมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงสุด ส่งตรงถึงมือลูกค้าแบบกรอบใหม่เพื่อสร้างความประทับใจ เราพิถีพิถันในการสไลด์เผือกเป็นรูปตะแกรงด้วยตัวเองจนเกิดเป็น “เผือกกรอบรูปตะแกรง” ที่สวยงามเป็นที่กล่าวขานถึงทุกวันนี้ และปัจจุบันเราได้ขยายช่องทางการขายสู่แพลตฟอร์ม 'ช้อปปี้' พิจารณาจากที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผลการสำรวจกลุ่มลูกค้าขนมขบเคี้ยว ทำให้เรามั่นใจว่านี่คือช่องทางที่ตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” 

ด้วยฟีเจอร์ Shopee Live เป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้แบรนด์ทันจิตต์เพิ่มยอดขายและเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว โดยในปีนี้ ยอดผู้ชม Shopee Live ของเราเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยการตอบรับที่ดีกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่อร่อยถูกปากคนไทยและโปรโมชันที่ดึงดูดใจ จึงพบว่า เผือกกรอบรูปตะแกรง ได้รับเลือกเป็นสุดยอดสินค้ายืนหนึ่งในใจนักช้อปประจำปี 2567 

 

“การสร้างยอดขายของเรามาต้องมาพร้อมกับการเรียนรู้และพัฒนาเทคนิคในการเติบโตในโลกอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร สำหรับการเข้าร่วมโครงการ The Influencer Journey TiJ#1 ได้เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้กลยุทธ์การสร้างยอดขายที่มีประสิทธิภาพ เราได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาทักษะการพูดและการนำเสนอในไลฟ์สตรีมมิ่ง ทำให้แบรนด์มีความมั่นใจและสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยพบว่ายอดขายใน Shopee Live ช่วงการแข่งขันเพิ่มขึ้นกว่า 200% อีกทั้งสามารถสร้างเอนเกจท์เม้นระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้เป็นอย่างดี ท้ายนี้ เราเชื่อว่าความสำเร็จของ SMEs  
มาจากการสร้างความแตกต่างและข้อได้เปรียบทางธุรกิจ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน” กษิรา กล่าวเพิ่มเติม 

ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: หากคุณยังไม่เคยเปิดร้านบนช้อปปี้ แนะนำให้ลองเริ่มต้นหาความรู้บน Shopee University จะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจการขายได้อย่างไม่ยากและคุณอาจพบว่ายอดขายของคุณเพิ่มขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว 

 

ลาซาด้า ประเทศไทย เผยภาพรวมความสำเร็จ ตอกย้ำตำแหน่งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ครองใจนักช้อปและผู้ขาย พร้อมชู 3 กลยุทธ์เสริมแกร่งอีโคซิสเต็ม มุ่งขยายฐานนักช้อปขาประจำในเซ็กเมนต์สินค้าพรีเมียม-แฟชัน-ความงาม เสริมแกร่งนวัตกรรมเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม และขยายสิทธิประโยชน์และบริการเสริมสำหรับร้านค้า ตั้งเป้าสานต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน หลังธุรกิจทั่วภูมิภาคมีผลกำไรเป็นบวกครั้งแรกในปีนี้

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี ลาซาด้าได้ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง สะท้อนได้จากสถานะ EBITDA จากการดำเนินธุรกิจใน 6 ประเทศของลาซาด้า กรุ๊ป ที่มีผลเป็นบวกเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ความสำเร็จดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงการก้าวสู่ยุคใหม่ของอีคอมเมิร์ซ ซึ่งให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ มากกว่าการบรรลุเป้าหมายในระยะสั้น เพื่อมุ่งสู่การเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืน”

อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ไทยเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยอัตราการเติบโต 20% เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ลาซาด้า ยังเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่ การยกระดับประสบการณ์นักช้อป นวัตกรรมและเทคโนโลยี และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

 ยกระดับประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

เพื่อตอบรับการขยายตัวของกลุ่มนักช้อปหญิงและบทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ลาซาด้า เดินหน้ากลยุทธ์เพิ่มประสบการณ์การช้อปที่แตกต่าง ภายใต้แนวคิด “Customer-First” เน้นการตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำและความเหนียวแน่นของนักช้อป โดยสร้างความแตกต่างในหมวดหมู่สินค้าพรีเมียม แฟชัน และความงาม ซึ่งเป็นจุดแข็งของแพลตฟอร์ม เห็นได้จากยอดขายรวมของ LazMall ในช่วงเมกะแคมเปญ ซึ่งก้าวกระโดดมากกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับวันปกติ ในขณะที่ LazBEAUTY มีจำนวนสมาชิกในไทยกว่า 1 ล้านราย

ในโค้งสุดท้ายของปี 2567 ลาซาด้า จะเสริมความแข็งแกร่งของ LazMall ผ่านการขยายพันธมิตรแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟ และรุกเซ็กเมนต์สินค้าลักชูรี ผ่านหมวดสินค้า LazMall Premium Brand นอกจากนี้ ยังตอกย้ำ LazLOOK ในฐานะจุดหมายสินค้าแฟชัน ผ่านแคมเปญรายสัปดาห์ที่จะเข้ามาสร้างความตื่นเต้นและสีสันให้แก่นักช้อปอย่างต่อเนื่อง

 

ลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้การช้อปเป็นเรื่องสะดวกและสนุกยิ่งขึ้น ลาซาด้า ยังนำเทคโนโลยี AI เข้ามาขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและฟีเจอร์ต่าง ๆ โดยมี Gamification เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมกับนักช้อป ที่ผ่านมา LazGame ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากในประเทศไทย โดยมีผู้เล่นเกมกว่า 1 ล้านคนต่อวัน ซึ่งนักช้อปกลุ่มนี้มีการใช้งานแอปพลิเคชันนานกว่าค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์มถึง 3 เท่า และราว 82% กลับมาใช้งานแอปพลิเคชันเป็นประจำทุกวัน

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการลงทุนด้านนวัตกรรมของลาซาด้า คือ ฟีเจอร์ “ถามผู้ใช้งานจริง (Ask the Buyer)” ซึ่งนำเทคโนโลยี AI มาช่วยตั้งคำถามเชิญชวนให้ผู้ซื้อรายก่อน ๆ มาร่วมรีวิวสินค้า เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อรายใหม่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีการตอบคำถามจากผู้ซื้อจริงไปแล้วกว่า 1.5 ล้านครั้ง

 

ส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพผู้ขายไทย

ด้วยพันธกิจในการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ลาซาด้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันการตลาดเพื่อสนับสนุนผู้ขายให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ เช่น เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยปรับแต่งรูปภาพ เขียนคำอธิบายสินค้า และให้บริการลูกค้า โดยพบว่าสามารถเพิ่มอัตราการซื้อได้กว่า 30%  ลาซาด้า ยังนำเสนอโปรแกรมสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับร้านค้าในทุกกลุ่มและทุกก้าวของธุรกิจนอกจากนี้ ยังพัฒนาบริการเสริมที่จะช่วยให้ผู้ขายนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิงออนไลน์ที่ผสานกับออฟไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ การประกันสินค้าประเภทต่าง ๆ รวมถึงการนำสินค้าเก่ามาแลกสินค้าใหม่ในหมวดโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ลาซาด้า ประเทศไทย ยังได้ผนึกความร่วมมือระยะยาวกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซของผู้ประกอบการไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ผ่านโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ECOM Thailand แถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดงาน ECOM Thailand Convergence ภายใต้แนวคิด Scale Up To Global งานมหกรรมอีคอมเมิร์ซแห่งปีที่จัดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการไทย ให้สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดออนไลน์ระดับสากลได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ งานเดียวที่จะทำให้ผู้ประกอบการทุกคนก้าวไปอีกขั้น เสริมสร้างความรู้รอบด้านในการทำธุรกิจ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสำหรับ SMEs ไทย พร้อมเปิดโอกาสในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยงาน ECOM Thailand Convergence จะจัดขึ้นในวันที่ 29 กันยายน 2567 เวลา 08.00 - 19.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3


เนตรประวีณ์ ศักดิ์ศรี CEO - 2T Multimedia and Marketing กล่าวว่า "งาน ECOM Thailand Convergence จะเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในวงการ E-commerce เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาธุรกิจของตนเองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างครบวงจร เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก"
อรรณพ สลิดบัว CEO - GDK GROUP เสริมว่า "เรามุ่งหวังให้งานนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับ SMEs ไทย เป็นอีกหนึ่งแรงเสริมที่ช่วยในการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการขายในรูปแบบตัวแทน ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
งาน ECOM Thailand Convergence 2024 ตั้งเป้าผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการ SMEs, ครีเอเตอร์, นักศึกษา, ประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งในกลุ่ม Lifestyle & Bank Financial, Manufacturing & Shipping & Software และ Brand & Celebrity" ภายในงานอัดแน่นด้วยความรู้และแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทุกธุรกิจ อัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ พร้อมด้วยการบรรยายจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ อาทิ E-commerce, Live Commerce, Creator's World, Branding และ Business & Financial อีกทั้งมีบูธแสดงสินค้าจากแบรนด์เซเลปและแบรนด์ชั้นนำกว่า 100 บูธ พิเศษด้วยการรวมตัวของครีเอเตอร์กว่า 2,000 คน ที่พร้อมมาส่งต่อและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เทคนิค เพื่อต่อยอดธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ไฮไลท์สำคัญของงานมหกรรม ECOM Thailand Convergence ที่จะช่วยผลักดันและแก้เกมส์ธุรกิจให้กับผู้เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย
Conference Stage อัพเดทความรู้สู่เทรนด์การทำธุรกิจสมัยใหม่ ที่จะผสานรวม E-Commerce และ Creator Economy เข้าด้วยกันและต่อยอดสู่การขยายไปตลาดโลก
Business Solutions and Future Direction พบทางออกของทุกปัญหาการทำธุรกิจและทิศทางที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตต่อแบบก้าวกระโดด
New Opportunities ขยายโอกาสทางธุรกิจ พบปะกับผู้ประกอบการ ลูกค้า พาร์ทเนอร์ ครีเอเตอร์ ที่พร้อมทำ business matching กับธุรกิจคุณ
Lessons Learned with Workshop Sessions เรียนรู้และลงมือทำจริงผ่านการเวิร์คชอปแบบเข้มข้นและเน้นผลลัพธ์จริง


นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก อุ้ม ลักขณา วัธนวงส์ศิริ ผู้จัดร่วม งาน ECOM Thailand Convergence 2024 ที่มองเห็นโอกาสและทิศทางการเจริญเติบโตของวงการ E-commerce ที่มีทิศทางและกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกยุคปัจจุบัน และไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงก็ล้วนเข้าสู่วงการออนไลน์กันถ้วนหน้า พร้อมด้วยอดีตนางงามจากหลากหลายเวที อาทิ ชนากานต์ ชัยศรี, อิสริยะ อภิชัย, เมลิสา มหาพล, สิริรัตน เรืองศรี,รินทร์ณฐา อัจฉริยวัฒนกุล, ภัทลดา กุลภัคธนภัทร์ และ กฤชภร หอมบุญญาศักดิ์
ชาวอีคอมเมิร์ซและSME ห้ามพลาด! เตรียมพบกับ 16 Workshop ที่หลากหลาย พร้อมยกทัพวิทยากรแนวหน้าของประเทศไทย การันตีสาระดีทุก sessions ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าให้ธุรกิจ Scale up to Global ภายในงานมหกรรม ECOM Thailand Convergence ในวันที่ 29 กันยายน 2567 เวลา 08.00 - 19.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3
ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานผ่านทาง https://forms.gle/vBWK45HjZ3Uh1nuq9 เข้าร่วมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน Ecom Thailand Convergence ได้ที่ FB: Ecom Thailand Convergence (https://www.facebook.com/ecomthailandconvergence) หรือ Line: @ecomconvergence (https://lin.ee/KonI8Rh)

นายณัฐสิทธิ์  สุนทราณู  ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ช้อปออนไลน์เป็นหมวดใช้จ่ายที่คนไทยมีความคุ้นเคยและใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง​    ทำให้มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแพลตฟอร์มหลักที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งในไทย คือ ช้อปปี้ หรือ Shopee ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ​เคทีซีมายาวนาน​นับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย และเติบโตด้วยกลยุทธ์ของการจัดวันมหกรรมแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์ 9.9 จนกลายเป็นกระแสความนิยมแบบ​ก้าวกระโดดในหมู่นักช้อปออนไลน์และขยายวงกว้างในกลุ่มผู้บริโภค และธุรกิจอื่นๆ” 

“สำหรับลักษณะการใช้จ่ายออนไลน์ของสมาชิกเคทีซีในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม 2567) เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยสมาชิกมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าบ่อยครั้งขึ้น ในขณะที่ยอดการซื้อต่อครั้งน้อยลง โดยสังเกตจากจำนวนรายการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเกือบ 40% และทางอีมาร์เก็ตเพลสเอง ก็มีรายการส่งเสริมการขายต่างๆ มากมาย เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเข้าใช้บริการในแพลตฟอร์มมากขึ้น อาทิ การแจกโค้ดส่วนลดในช่วงเทศกาล Double Date, PAYDAY ต่างๆ รวมถึงการ ไลฟ์ขายสินค้าในราคาพิเศษ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น พร้อมสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากขึ้น” 

เคทีซีได้ร่วมกับช้อปปี้คัดสรร 3 สิทธิพิเศษ สำหรับการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระใช้จ่ายให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี​ และสมาชิกบัตรกดเงินสด​  “เคทีซี พราว” ในแคมเปญ 9.9 โดยสิทธิพิเศษที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท เมื่อช้อปสินค้า 12,000 บาท ที่แอปฯ Shopee และทำรายการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท สิทธิพิเศษที่ 2 รับส่วนลดสูงสุด 1,200 บาท เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตเคทีซีหรือบัตรเคทีซีพราว มาสเตอร์การ์ด เฉพาะวันที่ 9 กันยายน 2567 สิทธิพิเศษที่ 3 ใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับโค้ด Shopee มูลค่าสูงสุด 500 บาท ผ่านแอปฯ KTC Mobile ระหว่างวันที่ 2-16 กันยายน 2567 และใส่นำโค้ดส่วนลดในแอปฯ Shopee ก่อนชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมรายการ 

นายการัน อำบานี  ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “จากแนวโน้มการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคชาวไทยมีการปรับตัว​ และหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการจับจ่ายสินค้าและบริการมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยนักช้อปนิยมจับจ่ายสินค้าประเภท Home & Living สูงสุดผ่านบัตรเครดิตเคทีซี บนแอปพลิเคชั่นช้อปปี้ สำหรับกลยุทธ์ที่เรามุ่งมั่นจะเดินหน้าพัฒนาให้ช้อปปี้เป็นมากกว่าแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซผ่าน 3 โมเมนต์ (3S Moments) คือ ความเซอร์ไพรส์ (Surprise) ความคุ้มค่า (Saving) และความสำเร็จ (Success) ยังคงเป็นแนวทางที่เราให้ความสำคัญตลอดทั้งปีนี้” 

“ช้อปปี้​ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์หนึ่งครองใจนักช้อปชาวไทย มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับเคทีซีตลอดมา เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกสบายและเป็นการแบ่งเบาภาระทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดียิ่งขึ้น และเราจะพัฒนาบริการของเราต่อไปเพื่อให้ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคในอนาคต” 

สตาร์ทอัพไทยปั้น “ปันปัน”  แอปพลิเคชันมาร์เก็ตเพลส บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รายล่าสุดของไทย  แอปฯ ตลาดออนไลน์สัญชาติไทยเพื่อคนไทย  เผยพร้อมเดินตามแนวคิด CSV  เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกันกับปันปัน ทั้งพาร์ทเนอร์ และลูกค้า 

บจก.ปันปันเวิร์ล นำโดย นายกิตติพันธ์ ศรีฉันทะมิตร กรรมการบริหาร พร้อมด้วย ธวัลพร เหล่าวณิชย์วิทย์  ผู้บริหารฝ่ายการตลาด นายสุเมธ ศรีฉันทะมิตร ที่ปรึกษาบริษัทฯ  จัดกิจกรรมแนะนำสตาร์อัพไทยน้องใหม่ “ปันปัน” โดยมี ครูรัก-ศรัทธา ศรัทธาทิพย์ นักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง อ.ป๊อป-ปรีดี นุกุลสมปรารถนา   อาจารย์และที่ปรึกษาด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์   ร่วมเป็นเกียรติในงาน

นายกิตติพันธ์ ศรีฉันทะมิตร กรรมการบริหาร บริษัท ปันปันเวิร์ล จำกัด  เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยเติบโตคึกคักเป็นอย่างมาก โดยข้อมูล Priceza ระบุในบทวิเคราะห์  Thailand E-Commerce Landscape 2024  ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย ในปี 2023 แตะอยู่ที่ 932,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14% เมื่อเทียบกับ 2022 อยู่ที่ 818,000 ล้านบาท  ซึ่งทำให้เห็นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากโอกาสทางธุรกิจตลาดอีคอมเมิร์ซที่ยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้แบรนด์“ปันปัน” แอปพลิเคชันมาร์เก็ตเพลส ในฐานะสตาร์ทอัพผู้เข้าสู่วงการตลาดอีคอมเมิร์ซรายล่าสุด มั่นใจว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซ ยังมีพื้นที่สำหรับ “ปันปัน” โดยแรกเริ่ม ปี 2022 ปันปัน ก่อตั้งในรูปแบบเว็บไซต์ และพัฒนามาสู่แอปพลิเคชันในปี 2023  เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกและคล่องตัวสำหรับพาร์ทเนอร์และลูกค้ามากขึ้น

แอปพลิเคชัน “ปันปัน” เหมาะสำหรับร้านค้า เจ้าของธุรกิจรายย่อย ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ที่มีสินค้าถูกกฎหมายทุกประเภท โดยต้องเป็นผู้ที่จดทะเบียนการค้ากับหน่วยงานรัฐ และกำลังหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ต้องการแบกรับค่าส่วนแบ่งทางการตลาด(GP) ที่สูงมากตามกลไกของตลาดอีคอมเมิร์ซ

“ปันปัน” มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ คือ ปันที่1 ร้านค้าและเจ้าของธุรกิจ (Partner Shop) ที่เปิดร้านกับ “ปันปัน” จะได้รับการปันรายได้บางส่วนจาก “ปันปัน” ในทุกยอดการสั่งซื้อ ตลอดอายุการใช้งาน ปันที่2 ปันสู่สังคม “ปันปัน” เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่พร้อมเปิดพื้นที่ มอบโอกาสทางการตลาดให้มีการซื้อ-ขายในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำให้กับคนไทยทั้งที่เป็นผู้ผลิต ผู้จำหน่ายรายเล็ก รายย่อย รวมถึงขนาดกลางและใหญ่ เพื่อให้คนไทยมีรายได้มั่นคงยั่งยืนไปพร้อมกับ “ปันปัน”

ลูกค้าที่ช้อปผ่าน แอปพลิเคชัน “ปันปัน”  จะได้พบกับสินค้าอุปโภค บริโภค ที่มีให้เลือกหลากหลายนานาชนิด และได้อุดหนุนร้านค้า เจ้าของธุรกิจ ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายคนไทยที่เป็นพาร์ทเนอร์ปันปันด้วย และภายในปี 2567 นี้จะมีสินค้ามากกว่า 1,000 ชิ้น ทั้งนี้สินค้าที่อยู่ในแอปพลิเคชัน “ปันปัน” เป็นสินค้าที่มีอยู่จริง เชื่อถือได้ โดย “ปันปัน” จะจัดให้มีโปรโมชั่นสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายที่คึกคัก  ด้านการจัดส่งสินค้าลูกค้ามั่นใจได้ในความว่องไวทันใจ

นายกิตติพันธ์  กล่าวในตอนท้ายว่า ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจดังกล่าว “ปันปัน” ยังได้เตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแบบแนวคิด CSV (Creating Shared Value) เพื่อให้พาร์ทเนอร์และลูกค้าร่วมสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกันกับ “ปันปัน” โดย “ปันปัน” สตาร์ทอัพแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซ มีความมั่นใจว่า CSV สามารถเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจได้ในทุกมิติทุกระดับ ทั้ง ด้านสังคม (Social) เศรษฐกิจ (Economic) และสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งหมายถึงธุรกิจของ “ปันปัน” จะเป็นธุรกิจที่แบ่งปันคุณค่าอย่างแท้จริง

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click