December 05, 2025

 

อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือของ Amazon.com เปิดเผยผลการศึกษาพบว่า แม้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แต่เกิดช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างบริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจมานาน ในด้านการประยุกต์ใช้ AI ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดเศรษฐกิจสองระดับ โดยสตาร์ทอัพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสามารถพัฒนานวัตกรรมได้เร็วกว่าและแซงหน้าธุรกิจดั้งเดิม การใช้ AI ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีธุรกิจ 150,000 รายนำ AI มาใช้ในปี 2567 หรือเฉลี่ยเกือบทุก 3 นาทีจะมีธุรกิจใหม่นำ AI มาใช้ ปัจจุบันมีธุรกิจ 600,000 ราย หรือ 32% ของธุรกิจทั้งประเทศที่นำ AI มาใช้แล้ว เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน ด้านผลลัพธ์ทางธุรกิจ 67% ของธุรกิจที่ใช้ AI มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% ในขณะที่ 78% คาดว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนได้เฉลี่ย 17%

 AWS ร่วมกับ Strand Partners สำรวจการใช้ AI ในไทยผ่านการศึกษา “Unlocking Thailand's AI Potential” โดยเก็บข้อมูลจากผู้นำธุรกิจและประชาชนทั่วไป กลุ่มละ 1,000 รายในประเทศไทย

 การใช้ AI ในธุรกิจไทยแพร่หลาย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน

แม้การใช้ AI ในไทยจะแพร่หลายขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในระดับก้าวหน้า สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาการใช้ AI ให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศ โดย 72% ของธุรกิจยังใช้ AI เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการทำงาน มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ มีเพียง 18% ที่ใช้ในระดับกลาง และ 10% ที่ผสาน AI เข้าเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจ และโมเดลธุรกิจ

สตาร์ทอัพไทยมีความกระตือรือร้นและสร้างสรรค์ในการใช้ AI โดยนำ AI ขั้นสูงมาใช้เร็วกว่าบริษัทที่มีมานาน โดย 50% ของสตาร์ทอัพใช้ AI ในรูปแบบต่าง ๆ และ 40% กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มศักยภาพ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่แม้ 44% จะใช้ AI แต่มีเพียง 16% ที่สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ด้วย AI และ 18% ที่มีกลยุทธ์ AI ครอบคลุม ส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 32% นำ AI มาใช้ แต่มีเพียง 9% ที่ใช้ในระดับก้าวหน้าที่สุด ช่องว่างด้านนวัตกรรม AI นี้อาจส่งผลสำคัญต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

 นิค บอนสโตว์ (Nick Bonstow) ผู้อำนวยการบริษัท สแตรนด์ พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า “นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในประเทศไทย จากผลการศึกษาพบว่า แม้ 32% ของธุรกิจจะรายงานว่าได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงใช้งานอยู่ในระดับพื้นฐานเท่านั้น ทั้งที่ในปีที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลายและรวดเร็ว ในขณะที่สตาร์ทอัพซึ่งมีความคล่องตัวสูงกำลังก้าวล้ำหน้าทั้งบริษัทขนาดใหญ่และ SME ทั้งในแง่ความเร็วและความลึกของนวัตกรรม การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจ AI แบบ “สองระดับ” นี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เราไม่ควรพิจารณาเพียงตัวเลขการนำ AI มาใช้เท่านั้น เพราะอาจทำให้มองข้ามความท้าทายที่แท้จริงที่ธุรกิจไทยจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่

 ช่องว่างด้านทักษะ AI และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการประยุกต์ใช้ AI ในวงกว้าง

ผลการศึกษาชี้ชัดว่า 47% ของธุรกิจในประเทศไทยระบุว่า การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI เป็นอุปสรรคหลักในการนำ AI มาใช้หรือขยายการใช้งาน แม้หลายธุรกิจจะมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ แต่กลับประสบปัญหาในการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศไทยและเป็นข้อจำกัดต่อการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการคาดการณ์ระบุว่า 61% ของตำแหน่งงานในอนาคตจะต้องการทักษะด้าน AI ในขณะที่มีเพียง 29% ของธุรกิจเท่านั้นที่เชื่อว่าพนักงานปัจจุบันมีความพร้อมด้านทักษะดังกล่าว

เมื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกของกฎระเบียบใหม่ที่มีต่อภาคธุรกิจ พบว่า 49% ของธุรกิจคาดหวังว่ากฎระเบียบด้าน AI จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้า และ 39% เห็นว่าจะนำไปสู่การพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่มีเสถียรภาพ สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ภาคธุรกิจได้จัดสรรงบประมาณ 27% เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดย 76% ของธุรกิจคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า

 แนวทางการพัฒนานวัตกรรม AI ในอนาคต

ผลการศึกษาได้นำเสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการในการก้าวข้ามอุปสรรคและปลดล็อกศักยภาพของ AI ทั้งในบริษัทสตาร์ทอัพและองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการเกิดเศรษฐกิจแบบแบ่งแยก ได้แก่ การลงทุนและสร้างโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตด้วย AI การกำหนดกรอบกฎระเบียบที่ชัดเจน คาดการณ์ได้ และเอื้อต่อนวัตกรรมในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI อย่างลึกซึ้งในทุกภาคธุรกิจ และการเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการศึกษา รวมถึงการใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม เนื่องจาก 67% ของภาคธุรกิจระบุว่าจะมีแนวโน้มนำ AI มาใช้มากขึ้นหากภาครัฐเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง

AWS เปิดตัว Asia Pacific (Thailand) Region ในเดือนมกราคม 2568 ด้วยเม็ดเงินลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานเต็มเวลากว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ GDP ของประเทศไทยถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2560 AWS ได้มุ่งพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลของประเทศไทยผ่านการฝึกอบรมด้านคลาวด์คอมพิวติ้งให้กับบุคลากรกว่า 100,000 คน ด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ AWS Skill Builder, AWS Educate, AWS Academy และ AWS re/Start รวมถึงโครงการในประเทศอย่าง “Tech for Digital Future” และ “AWS Skills to Jobs Tech Alliance” นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการ ในการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงทักษะสู่การจ้างงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI

 คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า "ธุรกิจในประเทศไทยมีความตื่นตัวและมุ่งมั่น อย่างมากในการพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี AI โดยระดับการนำไปใช้ที่สูงสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดนี้ ชี้ให้เห็นว่ายังมีอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาการใช้งาน AI ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีด้าน AI ระดับโลก ทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขอุปสรรคที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญอยู่อย่างเป็นระบบ ทาง AWS ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการใช้งาน Generative AI อย่างแพร่หลาย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง"

อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ประกาศความสำเร็จของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) สถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำของประเทศไทย ในการพัฒนา ChatGen และ Matthew แพลตฟอร์ม Generative AI แห่งแรกในวงการการศึกษาบนระบบคลาวด์ชั้นนำระดับโลก Matthew มอบความสามารถด้าน Generative AI ให้แก่บุคลากรและนักศึกษากว่า 52,000 คน โดยสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้อย่างครบครัน ทั้งการตอบคำถามพร้อมการอ้างอิง การสรุปเนื้อหา การวิเคราะห์ข้อมูลและรูปภาพ การสร้างเอกสาร ตลอดจนการแปลภาษา

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการมุ่งสู่การเป็น “มหาวิทยาลัย AI” ด้วยการนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับการเรียนการสอน การวิจัย และการดำเนินงานในทุกภาคส่วนของมหาวิทยาลัย

การผลักดันให้เกิดการเข้าถึง AI อย่างทั่วถึงครั้งนี้ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ร้อยละ 86 ของนักศึกษายอมรับว่าใช้ AI ในการเรียน โดยร้อยละ 54 ของนักศึกษาใช้งาน AI เป็นประจำทุกสัปดาห์ ด้วยเหตุนี้ มช. จึงเล็งเห็นความสำคัญในการกำหนดแนวทางการใช้งานที่ได้มาตรฐานและมีจริยธรรม เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เทคโนโลยี AI อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งสร้างโอกาสการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม โดยเปิดให้ทุกคนสามารถใช้เครื่องมือ AI และ Generative AI ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

การประยุกต์ใช้บริการ AI จาก AWS เพื่อความเป็นเลิศทางการศึกษา

มช. มุ่งพัฒนาระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ (Generative AI Assistant) เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมสำหรับบุคลากรและนักศึกษา โดยได้เลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นและขยายขนาดได้ตามความต้องการ พร้อมทั้งรวมเทคโนโลยีโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) เทคโนโลยี และบริการล่าสุดเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ ทางมหาวิทยาลัยยังได้นำเทคโนโลยี RAG (Retrieval-Augmented Generation) ที่ขับเคลื่อนโดย AWS มาใช้งาน โดยเทคโนโลยีนี้ผสานการทำงานของโมเดล AI หลากหลายรูปแบบ เพื่อสร้างคำตอบที่สอดคล้องกับบริบทโดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลและเอกสารของมหาวิทยาลัย

ChatGen ได้ผสานการทำงานร่วมกับ Amazon Nova เพื่อรองรับฟังก์ชันการสนทนาอัจฉริยะและระบบให้คำแนะนำอัตโนมัติ เช่น การแนะนำวิชาเรียนที่เหมาะสมสำหรับการลงทะเบียน ระบบนี้สามารถเชื่อมต่อกับโมเดล AI พื้นฐานได้หลากหลายผ่าน Amazon Bedrock ไม่ว่าจะเป็น Claude, Llama หรือ Mistral นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับระบบต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยได้อย่างไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหลักผ่านแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อแบบหลากหลาย (Multi Connectivity Platform: MCP) ทั้งนี้ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงระบบได้ง่าย ๆ ด้วยบัญชี CMU IT ที่มีอยู่ และใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านเว็บเบราว์เซอร์บนอุปกรณ์ทุกประเภท

ยกตัวอย่างเช่น มช. ได้พัฒนาระบบ Student Compass AI โดยใช้เทคโนโลยี ChatGen เพื่อเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในการวางแผนการศึกษาให้สอดคล้องกับเส้นทางอาชีพของนักศึกษา ระบบนี้ไม่เพียงแต่ให้คำแนะนำในการเลือกรายวิชา การจัดตารางเรียน และการติดตามความก้าวหน้าของหลักสูตรเท่านั้น แต่ยังช่วยวิเคราะห์และวางแผนเส้นทางอาชีพผ่านการประเมินทักษะที่จำเป็น การวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรม และการแนะนำโอกาสที่เหมาะสม ด้วยความสามารถของระบบ นักศึกษาสามารถออกแบบแผนการเรียนรู้เฉพาะบุคคลได้อย่างครบวงจร ทั้งการกำหนดเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว การวางแผนการฝึกงาน การพัฒนากลยุทธ์การสร้างเครือข่ายวิชาชีพ ตลอดจนการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน Student Compass ยังช่วยจัดการเวลาและติดตามพัฒนาการของนักศึกษา โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความสำเร็จทางการศึกษาในปัจจุบันและเป้าหมายทางอาชีพในอนาคต ทำให้นักศึกษาสามารถตัดสินใจวางแผนอนาคตได้อย่างชาญฉลาดและมั่นใจ ทั้งนี้ มช. ยังได้นำ ChatGen ไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น การสรุปรายงานการประชุม การประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากร และระบบตอบคำถามอัตโนมัติเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ขององค์กร โดยทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีจาก AWS ที่มอบทั้งความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ

ChatGen เป็นเพียงส่วนหนึ่งในระบบนิเวศทางเทคโนโลยี AI ที่ มช. พัฒนาขึ้นอย่างครบวงจร โดยทำงานประสานกับระบบ Matthew ซึ่งเป็นเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาโดยเฉพาะ ด้วยการพัฒนาบน AWS เช่นเดียวกัน Matthew ได้เปิดโอกาสให้คณาจารย์สามารถสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละรายวิชา ปัจจุบัน มีการสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะแล้วมากกว่า 1,000 รูปแบบ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของนักศึกษาในหลากหลายด้าน ทั้งการเตรียมเนื้อหาการเรียน การพัฒนาระบบติวเตอร์อัจฉริยะ ตลอดจนการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการใช้งาน AI อย่างการเขียนคำสั่ง (Prompt Engineering)

การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม

มช. ได้วางแนวทางที่ชัดเจนในการใช้ Generative AI พร้อมทั้งนำระบบตรวจสอบการคัดลอกผลงานมาใช้ในการตรวจสอบชิ้นงานของนักศึกษา เพื่อให้มั่นใจว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นไปตามกรอบจริยธรรมของมหาวิทยาลัย โดยได้รับการสนับสนุนจากบริการของ AWS ผ่านการใช้ Amazon Bedrock Guardrails ที่ช่วยควบคุมการใช้ AI อย่างปลอดภัย และ Amazon Simple Storage Service (Amazon S3) ที่ให้บริการจัดเก็บฐานข้อมูลความรู้ขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาย รังสิยากูล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “การก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัย AI ไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการสอน การวิจัย และการทำงานของเราใหม่ทั้งหมด ด้วยบริการ Generative AI จาก AWS ทั้ง Amazon Bedrock และ Amazon Nova ทำให้เราสามารถพัฒนาเครื่องมืออย่าง ChatGen และ Matthew เพื่อให้นักศึกษาทุกคนเข้าถึง AI ได้ โดยยังคงรักษาคุณค่าทางวิชาการและจริยธรรมไว้อย่างครบถ้วน”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนาทิพย์ จันทร์คง อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า “Matthew ได้เปลี่ยนวิธีการสอนการใช้งาน AI ของอ. ไปอย่างสิ้นเชิง อ.สามารถพัฒนาผู้ช่วยอัจฉริยะที่ชื่อ Kathi ขึ้นมาเพื่อช่วยแนะนำนักศึกษาจากทุกคณะในการเขียนคำสั่งที่เหมาะสมกับศาสตร์ในแต่ละสาขา โดย Kathi จะวิเคราะห์และให้คำแนะนำที่สร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะของนักศึกษา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักศึกษา เพราะระบบช่วยสอนแบบเป็นขั้นตอนนี้ช่วยให้พวกเขามั่นใจในการใช้ AI เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้มากขึ้น”

อีริค คอนราด (Eric Conrad) กรรมการผู้จัดการด้านภาครัฐระดับภูมิภาคอาเซียนของ AWS กล่าวว่า “เทคโนโลยี AI กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการการศึกษา และสถาบันการศึกษาที่พร้อมรับและปรับตัวอย่างชาญฉลาดจะเป็นผู้กำหนดทิศ

ทางการเรียนรู้ในอนาคต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถือเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่นำบริการ AI อันทรงประสิทธิภาพของ AWS มาประยุกต์ใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งนักศึกษาและคณาจารย์สามารถใช้ประโยชน์จาก AI สร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ การนำ Amazon Bedrock และ ChatGen มาใช้ไม่เพียงทำให้เทคโนโลยี AI เป็นเครื่องมือที่ทุกคนเข้าถึงได้ แต่ยังวางรากฐานการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ สร้างแบบอย่างที่ดีให้กับสถาบันการศึกษาทั่วโลก”

บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและการออกแบบพัฒนาระบบ Smart Vending Machine ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานไอซีที และให้บริการด้าน Cloud Solution และ Digital Platform ครบวงจร โดยการลงนามความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนา Local Cloud และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ด้วยการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในยุค Digital Transformation ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจไทยเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตในระดับสากล โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ INET และ AWS ได้ร่วมกันพัฒนาโซลูชันที่ใช้เทคโนโลยี ระหว่างแอปพลิเคชัน Telemedicine ของ INET และ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ Advance Vending ของ AWS เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ผ่านระบบอัตโนมัติ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล ทำให้การรักษาพยาบาลสะดวกขึ้น

ดร.วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมต้องขอขอบคุณ คุณมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ในการมุ่งเน้นเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่อรองรับการใช้งานที่ปลอดภัย มีเสถียรภาพ และสามารถขยายขีดความสามารถของธุรกิจไทยให้แข่งขันได้ในยุค Digital Transformation นอกจากนี้บริษัทยังได้ร่วมพัฒนาตู้ Advance Vending ที่เป็นตู้จ่ายยาอัตโนมัติ Api เชื่อมกับ แอปพลิเคชัน Telemedicine ที่จะทำให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ และสั่งจ่ายยาให้กับผู้ป่วยจากระยะไกล โดยระบบนี้จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านตู้จำหน่ายอัตโนมัติ ช่วยให้การรักษาพยาบาลรวดเร็วขึ้น”

นาง มรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดิฉันในนามบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET เป็นผู้ให้บริการ Local Cloud และ Digital Platform ของคนไทยมากกว่า 30 ปี มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับทางบริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ความร่วมมือนี้ เพื่อผลักดัน Local Cloud และแพลตฟอร์มดิจิทัลของไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับสากล และยังเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีคลาวด์ ลดการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศ และช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถดำเนินงานบนแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง ในโลกดิจิทัลที่ความมั่นคงปลอดภัย และเป็นการขยายขีดความสามารถของธุรกิจไทยให้สอดคล้องกับการเข้าสู่ยุค Digital Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

การร่วมมือกันในครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไทยปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน พลิกโฉมบริการทางการแพทย์ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยนำช่วยปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์มีประสิทธิภาพและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

AWS มอบทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเด็ก โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาการที่ดีของเด็ก และการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหายากให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นิโคล จีรูว์ เข้าใจดีถึงความทุกข์ทรมานจากการรอคอยการวินิจฉัยที่แม่นยำ และการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่มาพร้อมกับการวินิจฉัยนั้น เมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ลูกสาวของเธอชื่อไลลาแสดงอาการของมะเร็งสมองชนิดที่ผ่าตัดไม่ได้ ในขณะนั้นไลลามีอายุเพียง 15 เดือนเท่านั้น เนื่องจากข้อมูลทางการแพทย์มีไม่เพียงพอ ครอบครัวจีรูว์จึงต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเป็นเวลานานถึง 5 ปี ก่อนที่จะสามารถเข้าใจโครงสร้างระดับโมเลกุลของก้อนเนื้องอกในสมองของลูกสาวได้อย่างชัดเจน

“หลังจากเริ่มการรักษาไม่นาน สามีและฉันตระหนักว่ามีทางเลือกในการรักษามะเร็งสมองในเด็กน้อยมาก นอกจากนี้ยังมีการขาดแคลนงบประมาณสำหรับการวิจัยโรคนี้อีกด้วย” นิโคล กล่าว

เพื่อเป็นเกียรติแด่ลูกสาวของเธอ นิโคลได้ก่อตั้งมูลนิธิ Lilabean Foundation for Pediatric Brain Cancer Research เพื่อการวิจัยมะเร็งสมองในเด็กขึ้น มูลนิธิมีพันธกิจหลักในการสนับสนุนทุนวิจัยที่สำคัญเกี่ยวกับมะเร็งสมองในเด็ก และช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของโรคร้ายนี้ในหมู่สาธารณชน

ในงาน AWS Summit ที่จัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ผ่านมา AWS ได้ประกาศว่าจะมอบเงินทุนสนับสนุนจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากคลาวด์ของ AWS เพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับสากล เงินทุนดังกล่าวจะช่วยให้สามารถเข้าถึงงานวิจัยที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่เปราะบาง ซึ่งมักประสบปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและมีขนาดตัวอย่างจำกัด

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันของกลุ่มสถาบันการแพทย์ โรงพยาบาล และสถาบันต่าง ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเร่งรัดการวิจัยและการค้นพบใหม่ ๆ ด้วยการจัดการข้อมูลบนคลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าใจโครงสร้างพันธุกรรมของโรคได้ดีขึ้น นำไปสู่การวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น รวมถึงการรักษาเฉพาะบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นสำหรับผู้ป่วย

อดัม เรสนิค ผู้อำนวยการศูนย์การค้นพบที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย (Children’s Hospital of Philadelphia :CHOP) กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับโครงการที่ AWS ได้เปิดตัว เนื่องจากสอดคล้องกับสถานการณ์ของเราอย่างลงตัว แม้มะเร็งในเด็กจะเป็นโรคหายาก แต่ก็เปิดโอกาสให้เราได้ทดสอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วยความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการค้นพบข้อมูลแบบเรียลไทม์และเครือข่ายความร่วมมือ”

AWS ได้สนับสนุนเงินทุนจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการบริจาคเงิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่องค์กรต่าง ๆ 3 แห่ง ดังนี้ โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ (Children's National Hospital) ในวอชิงตัน ดี.ซี., โรงพยาบาลเด็กแนชั่นไวด์ (Nationwide Children's Hospital) ในโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ และเครือข่ายมะเร็งสมองเด็ก (Children's Brain Tumor Network) ซึ่งตั้งอยู่ที่ CHOP โดยแต่ละองค์กรจะได้รับเงินบริจาค 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามพันธกิจขององค์กร มูลนิธิ Lilabean เป็นหนึ่งในองค์กรสมาชิกของเครือข่ายมะเร็งสมองเด็ก (Children’s Brain Tumor Network)

ด้วยโครงการ AWS IMAGINE Grant: Children’s Health Innovation Award ใหม่ที่มีงบประมาณสูงถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐ องค์กรต่าง ๆ จะได้รับการสนับสนุนเพื่อใช้ในโครงการที่เร่งการวิจัยด้านสุขภาพเด็ก ส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กอย่างครบวงจร และ/หรือสนุบสนุนบุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลเด็ก

นอกเหนือจากมะเร็งในเด็ก เงินทุนนี้จะสนับสนุนการวิจัยโรคต่าง ๆ ในเด็ก ตั้งแต่โรคหัวใจไปจนถึงโรคพันธุกรรม โรคที่พบในเด็กมักไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร และมีการจัดสรรทรัพยากรสำหรับการวิจัยโรคเหล่านี้น้อยกว่าโรคอื่นๆ แม้ว่าไลลาจะต้องเผชิญกับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาเป็นเวลาหลายปี แต่ในวัย 16 ปีปัจจุบันเธอยังคงมีสุขภาพที่แข็งแรงดี อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ได้รับโอกาสที่ดีเช่นเดียวกับไลลา

มะเร็งในเด็กเช่นกรณีของไลลานั้นมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของมะเร็งทั้งหมดที่ได้รับการวินิจฉัยในสหรัฐอเมริกาในแต่ละปี แม้อัตรารอดชีวิต 5 ปีของผู้ป่วยมะเร็งในเด็กในประเทศพัฒนาแล้วจะดีขึ้น แต่ยังมีถึงสองในสามของผู้รอดชีวิตจากมะเร็งในวัยเด็กที่ต้องประสบกับผลข้างเคียงระยะยาวจากการรักษา

ข้อมูลการศึกษาวิจัยทางการแพทย์สำหรับโรคและการรักษาในเด็กยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก งานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการศึกษาขนาดเล็กที่ดำเนินการในศูนย์เดียว และขาดการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชนหรือภาครัฐ ส่งผลให้มีการศึกษาวิจัยการรักษาลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทยามีแรงจูงใจทางการเงินน้อยในการพัฒนายาสำหรับกลุ่มผู้ป่วยขนาดเล็กเหล่านี้ เด็กป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคหายากมักได้รับการรักษาตามแผนการรักษาที่ดัดแปลงมาจากแนวทางการรักษาสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา นอกจากนี้ การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมของมะเร็งในเด็กและผู้ใหญ่ยังแตกต่างกัน ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับนักวิจัย ความท้าทายที่แตกต่างกันเหล่านี้ในการวิจัยสำหรับเด็ก จำเป็นต้องมีโซลูชันขั้นสูงเพื่อแก้ไขปัญหา การจัดการข้อมูลในคลาวด์เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับการทำวิจัยร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ  การทำงานแบบแยกส่วนและไม่มีการประสานงานกันนั้น ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม
นิโคล กล่าวว่า “ในอดีต นักวิทยาศาสตร์มักทำงานแยกส่วนกันและไม่ได้แบ่งปันข้อมูลสำคัญ เช่น ตัวอย่างเนื้อเยื่อ ผลการวิเคราะห์ลำดับจีโนม และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ แต่ในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด แบ่งปันข้อมูล และประสานความร่วมมือในสนามวิจัยเดียวกัน”

สภาพแวดล้อมทดสอบ (sandbox) เป็นพื้นที่ปลอดภัยบนคลาวด์ของ AWS ที่ออกแบบมาเพื่อให้นักวิจัยสามารถจัดการข้อมูลที่ไม่ระบุชื่อและถูกทำให้เป็นข้อมูลนิรนามได้อย่างปลอดภัย โดยยังคงรักษามาตรฐานการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยและผู้เข้าร่วมในการวิจัยทางการแพทย์ไว้อย่างเคร่งครัด ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย นักวิจัยจึงสามารถดำเนินการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล

นักวิจัยที่โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ Nationwide Children's Hospital คลาวด์เป็นเครื่องมือในการประมวลผลข้อมูลจีโนมิกส์ และแบ่งปันข้อมูลและผลการวินิจฉัยสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเด็กในการศึกษาขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยมะเร็งเด็กทั่วสหรัฐอเมริกา หลังจากถูกใช้เพื่อช่วยให้ข้อมูลในการวินิจฉัยที่จะส่งกลับไปยังผู้ให้บริการด้านมะเร็งวิทยาสำหรับแต่ละผู้ป่วยแล้ว ข้อมูลที่ปราศจากการระบุตัวตนจะถูกแบ่งปันอย่างมีประสิทธิภาพผ่านคลาวด์ไปยังฐานข้อมูลมะเร็งเด็กของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (NCI) ซึ่งนักวิจัยกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้เกือบแบบเรียลไทม์

ดร.เอลเลน มาร์ดิส ผู้อำนวยการของสถาบัน Steve and Cindy Rasmussen Institute for Genomic Medicine จากสถาบัน Abigail Wexner Research Institute ที่โรงพยาบาล Nationwide Children's Hospital กล่าวว่า “สิ่งที่เราปรารถนาอย่างแท้จริงคือการทำให้มะเร็งที่พบได้น้อยกลายเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยขึ้น โดยการให้ข้อมูลที่ครอบคลุมแก่นักวิจัยที่ต้องการค้นคว้าเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ ๆ”

ดร.เอลเลน ระบุว่า การแบ่งปันข้อมูลอย่างกว้างขวางในฐานข้อมูลบนคลาวด์ สามารถช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ลักษณะทางจีโนมิกส์ของมะเร็งที่พบได้น้อยได้ง่ายขึ้น เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้มักถูกแยกเก็บไว้อย่างแยกส่วน ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มอาจไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาลักษณะเหล่านี้ การรวบรวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลกลางบนคลาวด์จะดึงดูดความสนใจของนักวิจัยเหล่านั้นให้เข้ามาศึกษาได้มากขึ้น

ดร.เอลเลน กล่าวว่า “ในระยะเวลาอันสั้น ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการค้นพบใหม่ ๆ คือความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบคลาวด์อย่างรวดเร็วและสะดวก”

การวิจัยทางการแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ถือเป็นพรมแดนใหม่ที่น่าจับตามอง

การสร้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการพัฒนาการรักษาโรคหายากในเด็กให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น AWS มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการวิเคราะห์ข้อมูลและแอปพลิเคชันนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการดูแลรักษา เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ที่โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ ทีมงานได้นำแอปพลิเคชันที่ใช้ AI มาช่วยในการคัดกรองทารกที่มีภาวะทางพันธุกรรมหายาก โดยแอปพลิเคชันนี้จะประเมินลักษณะใบหน้าของทารกผ่านกล้องสมาร์ทโฟน เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในลักษณะใบหน้าได้อย่างรวดเร็วหลังคลอด แอปพลิเคชันดังกล่าวได้รับการทดสอบกับผู้ป่วยในกว่า 30 ประเทศแล้ว และสามารถช่วยคัดกรองเด็กที่อาจไม่สามารถเข้าถึงนักพันธุศาสตร์ในบริเวณใกล้เคียงได้

นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการตรวจคัดกรองโรคหัวใจจากภาวะหัวใจรูมาติกด้วย โดยช่วยให้การตรวจคลื่นความถี่เสียงสูงแบบพกพามีราคาถูกลง ทำให้ผู้ป่วยที่มีทรัพยากรจำกัดสามารถเข้าถึงการตรวจได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศยูกันดา คาดว่าจะมีการคัดกรองเด็กประมาณ 200,000 คนในปีต่อ ๆ ไป

มาริอุส จอร์จ ลิงกูรารู ศาสตราจารย์ด้านครอบครัวคอนนอร์และประธานด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ กล่าวว่า “ประเด็นความเท่าเทียมด้านสุขภาพเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ณ ปัจจุบัน เรามุ่งเน้นการทำงานในสหรัฐอเมริกามากกว่าต่างประเทศ เนื่องจากเมื่อต้องการการตีความภาพและการถ่ายภาพขั้นสูง ทรัพยากรเหล่านั้นมีอยู่มากในประเทศรายได้สูง อย่างไรก็ดี ผมมักแสวงหาวิธีการที่ง่าย ราคาไม่แพง และมีความยืดหยุ่นมากกว่า ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ได้ด้วย”

การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลเป็นอีกหนึ่งสาขาที่ปัจจุบันมีการนำเอา AI มาใช้เพื่อพัฒนาการดูแลสุขภาพสำหรับเด็ก ทีมงานของศาสตราจารย์ลิงกูรารูกำลังร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อปรับปรุงและทำให้แผนการรักษาสำหรับเด็กที่เป็นมะเร็งสมองมีความเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ความก้าวหน้าทางด้านคลาวด์คอมพิวติงและการประยุกต์ใช้ AI เหล่านี้ เป็นสิ่งที่นิโคลหวังว่าจะช่วยพัฒนาแนวทางการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับครอบครัวที่มีสถานการณ์คล้ายคลึงกับครอบครัวของเธอในอนาคต

“ฉันเข้าใจดีว่าตอนที่ครอบครัวได้รับการวินิจฉัยโรคของลูก มันเป็นเรื่องยากลำบากมาก พวกเขาต้องเผชิญกับความกังวลและความไม่แน่นอนมากมาย ดังนั้นฉันอยากให้ลูก ๆ ของทุครอบครัวมีทางเลือกที่เหมาะสมในการรักษา อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องยอมรับข้ออ้างที่ไม่ดีพอสำหรับลูกของตัวเองอีกต่อไป สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีความก้าวหน้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการแพทย์ ฉันหวังว่าครอบครัวเหล่านี้จะได้รับทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกของพวกเขา”

AWS มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะสนับสนุนงานสำคัญเพื่อส่งเสริมสุขภาพเด็ก โครงการด้านการกุศลในครั้งนี้จะเสริมพลังให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไรทั่วโลก ในการนำประโยชน์จากคลาวด์ของ AWS มาใช้ขับเคลื่อนสาเหตุด้านสุขภาพเด็กและเยาวชน

การจ้างบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI นั้นเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับนายจ้างชาวไทยกว่า 9 ใน 10 ราย แต่ 64% กลับประสบปัญหาในการสรรหาบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI ที่เพียงพอ สื่อให้เห็นถึงปัญหาการขาดแคลนทักษะด้าน AI ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย

 อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ได้เผยแพร่การศึกษาล่าสุด ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ถูกนำมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ บุคลากรไทยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI มีโอกาสเห็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างมากกว่า 41% โดยสองหมวดที่มีโอกาสเพิ่มรายได้สูงที่สุดคือพนักงานด้าน IT (54%) และด้านการดำเนินธุรกิจ (51%)

AWS ได้ร่วมมือกับบริษัท Access Partnership เพื่อทำการศึกษาในระดับภูมิภาคหัวข้อ “การยกระดับทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI): การเตรียมความพร้อมบุคลากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสู่งานแห่งอนาคต” เพื่อให้เข้าใจถึงแนวโน้มการใช้งาน AI ที่กำลังเกิดขึ้นและทักษะที่เป็นที่ต้องการในองค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาค APAC ได้ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการสำรวจพนักงานกว่า 1,600 คนและนายจ้าง 500 รายในประเทศไทย

 นอกจากโอกาสในการเพิ่มค่าจ้าง บุคลากรในประเทศไทยอีก 98% คาดว่าการเพิ่มทักษะด้าน AI จะส่งผลให้พวกเขามีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเพิ่มความมั่นคงในอาชีพ และส่งเสริมความใฝ่รู้ให้แก่พวกเขา บุคลากรในประเทศไทย 95% ระบุถึงความสนใจในการพัฒนาทักษะ AI เพื่อโอกาสในการก้าวหน้าในสายงานอาชีพไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุรุ่นไหน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าบุคลากร 93% ในกลุ่ม Gen Z 95% ในกลุ่ม Gen Y และอีก 95% ในกลุ่ม Gen X รายงานถึงความต้องการเรียนรู้ทักษะด้าน AI ในขณะที่ 97% ในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มักอยู่ในช่วงเกษียณอายุแล้ว กลับรายงานว่าพวกเขาสนใจจะลงทะเบียนในหลักสูตรเพื่อยกระดับทักษะด้าน AI หากได้รับโอกาส

ผลการศึกษายังพบว่าประสิทธิผลที่ได้รับจากบุคลากรไทยที่มีความพร้อมด้านทักษะ AI นั้นอาจมีมากอย่างมหาศาล ผลสำรวจจากนายจ้างคาดว่าประสิทธิภาพขององค์กรจะเพิ่มขึ้น 58% เนื่องจากเทคโนโลยี AI สามารถพัฒนาการสื่อสารได้ถึง 66% ปรับงานซ้ำซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ 65% และส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ถึง 60% นอกจากนี้ จากผลสำรวจบุคลากรเชื่อว่า AI สามารถยกระดับประสิทธิผลในการทำงานของตนเองได้มากถึง 56% อีกด้วย

องค์กรในประเทศไทยเดินหน้าเต็มที่กับ AI

พัฒนาการของ AI ในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 98% ของนายจ้างมองว่าบริษัทของตนจะปรับเปลี่ยนสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในปี 2571 ในขณะที่นายจ้างส่วนใหญ่ (97%) เชื่อว่าแผนก IT จะได้รับประโยชน์มากที่สุด พวกเขายังมองว่าแผนกอื่น ๆ นั้นสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงฝ่ายวิจัยและพัฒนา (95%) ฝ่ายการเงิน (95%) ฝ่ายการดำเนินธุรกิจ (94%) ฝ่ายขายและการตลาด (93%) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (91%) และฝ่ายกฎหมาย (90%)

อภินิต คาอุล ผู้อำนวยการบริษัท Access Partnership กล่าวว่า “คลื่นยุคใหม่แห่ง AI กำลังขยายตัวทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมไปถึงประเทศไทย และกำลังเปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจและวิธีการทำงานในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ผลการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าสังคมโดยรวมจะได้รับผลประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับบุคลากรในไทยที่มีทักษะ และด้วยจำนวนองค์กรที่คาดว่าจะใช้โซลูชันและเครื่องมือ AI เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับการพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้นายจ้างและภาครัฐต้องให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ พร้อมรับมือกับความก้าวหน้าของ AI ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

Generative AI เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาและไอเดียใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนา นิยาย รูปภาพ วิดีโอ เพลง และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยเทคโนโลยีนี้ได้พลิกโฉมการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 98% ของนายจ้างและลูกจ้างในผลสำรวจคาดว่าจะมีการนำเครื่องมือด้าน Generative AI มาใช้ในที่ทำงานภายในห้าปีข้างหน้า โดยมีนายจ้างจำนวน 74% มองว่าการ ‘เพิ่มนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์’ จะเป็นประโยชน์อันดับแรกที่องค์กรจะได้รับ ตามด้วยการปรับงานซ้ำซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติอีก 66% และการสนับสนุนการเรียนรู้อีก 62%

วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ประจำ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “Generative AI มอบโอกาสพลิกโฉมธุรกิจในประเทศไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และผลการศึกษาในครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในอนาคตด้านทักษะ AI สำหรับพนักงานอย่างชัดเจน อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ปรับตัวใช้ AI อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่บริการทางการเงินไปจนถึงการก่อสร้าง การค้าปลีก หรือแม้แต่ภาครัฐที่มุ่งเน้นพัฒนานโยบายด้านการส่งเสริม AI จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานที่มีทักษะด้าน AI ถึงมีความสำคัญในการเสริมสร้างวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานในประเทศไทย ที่ AWS เราได้ช่วยองค์กรต่าง ๆ เช่น DailiTech ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทย ในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากร เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตแห่งยุค Generative AI”

 ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล กรรมการผู้จัดการบริษัท DailiTech กล่าวว่า "การฝึกอบรมบุคลากรของเราให้มีความพร้อมด้านทักษะ AI และ Generative AI เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้มาใช้ในธุรกิจของเราให้เกิด transformation อย่างแท้จริง ที่ DailiTech เราได้พัฒนา framework ในการนำ Generative AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยลูกค้าของเรา launch นวัตกรรมใหม่ ๆ สู่ตลาดได้เร็วยิ่งขึ้น"

ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนด้านทักษะ AI ในประเทศไทย

ผลการศึกษานี้เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาขาดแคลนทักษะด้าน AI ในบุคลากรไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อปลดล็อกศักยภาพและประโยชน์ของ AI ได้อย่างเต็มรูปแบบ การจ้างบุคลากรที่มีความพร้อมในทักษะ AI ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ในกลุ่มนายจ้างไทยเก้าในสิบราย (94%) โดย 64% ในนี้ระบุว่าไม่สามารถหาบุคลากรที่มีทักษะ AI ตามที่พวกเขาต้องการได้ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังเผยให้เห็นถึงช่องว่างด้านการฝึกอบรม โดย 89% ของนายจ้างระบุว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการดำเนินโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้าน AI และพนักงานอีก 81% กล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าทักษะด้าน AI จะเป็นประโยชน์แก่สายอาชีพใดได้บ้าง

ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ องค์กรอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงผู้ให้บริการทางการศึกษา เพื่อช่วยให้นายจ้างไทยสามารถดำเนินโครงการฝึกอบรม AI และแนะแนวทางให้แก่พนักงานของตนได้ เพื่อจับคู่ทักษะและความสามารถด้าน AI ของบุคลากรกับตำแหน่งที่เหมาะสมภายในองค์กรได้

เจฟฟ์ เพย์น กรรมการผู้จัดการ Asia Internet Coalition กล่าวว่า “ผลรายงานนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ ยังคงนำพลังแห่งเทคโนโลยี AI มาปรับใช้อยู่เรื่อย ๆ ในการพลิกโฉมวิธีการทำงานและดัดแปลงให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ภาครัฐเองก็มีโอกาสในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าผ่านนโยบายที่จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในอนาคต

ดร. รูพา ชาญดา ผู้อำนวยการกองการค้า การลงทุน และนวัตกรรม คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) กล่าวว่า “ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การฝึกอบรมบุคลากรในด้าน AI ที่ตั้งอยู่บนกรอบและหลักการที่มีจรรยาบรรณไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเชิงกลยุทธ์ แต่เป็นภารกิจสำคัญสำหรับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิก รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมบุคลากรให้มีความพร้อมด้านทักษะ AI เพื่อรองรับงานในอนาคตที่มีความท้าทายใหม่ ๆ รวมไปถึงความพร้อมเปิดรับโอกาสในการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเสมอภาค ตลอดจนนวัตกรรมที่ครอบคลุม”

 เร่งการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลในประเทศไทย

AWS ได้ฝึกอบรมผู้คนมาแล้วกว่า 50,000 คนในประเทศไทย ในทักษะด้านคลาวด์นับตั้งแต่ปี 2560 แต่ด้วยการนำเทคโนโลยีที่พึ่งพาระบบคลาวด์ในการใช้งานเช่น AI มาใช้อย่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะบุคลากรในวงกว้าง เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเติบโตได้ในอนาคตแห่งยุค AI

ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 บริษัท Amazon ได้เปิดตัวโครงการ ‘AI Ready’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มี ในการฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ให้กับผู้คนจำนวน 29 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2568 แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โครงการ ‘AI Ready’ มอบหลักสูตรฝึกอบรมด้าน AI และ Generative AI แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่เหมาะกับผู้เรียนไม่ว่าจะต้องการเน้นทักษะเทคนิคเฉพาะทางหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเสริมสร้างทักษะด้าน AI ในแบบที่ต้องการ โครงการนี้ยังไม่รวมหลักสูตรอบรมและเนื้อหาการเรียนการสอนด้าน AI แมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning : ML) และ Generative AI อีกกว่า 100 รายการที่ AWS มอบให้ผ่านช่องทาง AWS Skills Builder และ AWS Educate ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้บนระบบดิจิทัลของเรา เหมาะสำหรับการเรียนรู้ในทุกระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูง ล่าสุด AWS ได้มีการประกาศนวัตกรรม Generative AI ใหม่ ภายในงาน AWS re:Invent 2023 อย่าง Amazon Q ซึ่งเป็นผู้ช่วยรูปแบบ Generative AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

 

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click