December 05, 2025

กรุงเทพมหานครถูกจับจ้องจากสายตาทั่วโลก เมื่อ The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 (GFEAI2025) เปิดฉากเวทีระดมสมองครั้งประวัติศาสตร์ จุดประกายคำถามสำคัญที่สะท้อนความกังวลของคนทั้งโลก: “เมื่อ AI ก้าวไวกว่ากฎ แล้วจริยธรรมที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน? และใครจะเป็นผู้กำกับทิศทาง?”…นี่ไม่ใช่แค่เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนโยบาย แต่คือการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้นำระดับรัฐมนตรี ผู้แทนประเทศ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจาก 88 ประเทศ ที่มาร่วมกันหาทางออกเพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมสุดล้ำกับความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติ และบทความนี้จะพาไปเจาะลึกเทรนด์ AI บนเวทีโลก พร้อมบทสรุปแห่งความสำเร็จที่ผู้นำทั่วโลกและประเทศไทยต่างร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นที่เวที GFEAI 2025

‘นายกฯ- ยูเนสโก’ เดินหน้า AIGPC ชู ‘จริยธรรม AI ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง’

ในห้องประชุมใหญ่ที่แน่นขนัด ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากผู้แทนจากทั่วโลกที่ว่า การพัฒนา AI ต้องไม่ใช่เพียงเพราะทำได้ แต่ต้องตอบได้ว่า AI จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่มจริงหรือไม่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ ได้แสดงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน เมื่อนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร ประกาศชัด ไทยจะเป็นผู้นำและศูนย์กลางด้านจริยธรรม AI ด้วยยุทธศาสตร์ชาติด้าน AI ภายใต้ คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee: NAIC) ที่รัฐบาลได้ตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI และเร่งรัดการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ที่ตั้งเป้าสร้างมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาทพร้อมลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับศักยภาพทั้งคนและระบบนิเวศ ให้ AI เป็นพลังพัฒนา สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ทุกคน บนเวทีเดียวกัน นางออเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ย้ำ ข้อเสนอแนะของยูเนสโกว่าด้วยจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ที่ 193 ประเทศได้เห็นชอบร่วมกันจะกลายเป็นนโยบายระดับชาติที่เป็นกุญแจสำคัญให้ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนามีแนวทางกำกับ AI อย่างเป็นรูปธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ในการเริ่มเดินหน้าจัดตั้ง AI Governance Practice Center หรือ AIGPC เพื่อเป็นศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ระดับภูมิภาค (Category 2 Centre) ภายใต้ยูเนสโก ที่จะร่วมผลักดันข้อเสนอแนะจริยธรรม AI สู่การปฏิบัติ ยกระดับประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกให้ใช้ AI อย่างมีจริยธรรม รับมือภัยคุกคาม เช่น ข้อมูลบิดเบือน พร้อมเป็นศูนย์องค์ความรู้ อบรม และมาตรฐาน AI ทั้งยังเร่งเครื่องพัฒนา AI อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านเกษตร การแพทย์ การศึกษา และปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยมียูเนสโกสนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยี พร้อมเร่งพัฒนาทักษะคนไทย ดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) และบรรจุการเรียนการสอนด้าน AI ในสถานศึกษา เพื่อให้ AI เป็นพลังสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

โลกมอง AI อย่างไร? เทรนด์ใหญ่ที่น่าจับตา จาก GFEAI2025

เริ่มที่ นโยบาย จริยธรรม และการกำกับดูแล ที่ครั้งนี้เราได้เห็นภาพการรวมพลังของนานาประเทศและองค์กร ที่แม้จะมีความแตกต่างกัน ทั้งเศรษฐกิจ สังคมและทรัพยากร แต่กลับมีเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้าง AI ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลายประเทศตื่นตัวและยอมรับว่าคำถามสำคัญในวันนี้ไม่ใช่แค่ ‘มี AI หรือไม่’ แต่คือ ‘พร้อมแค่ไหนที่จะใช้ AI อย่างมีจริยธรรม’

 ประเทศสมาชิก UNESCO หลายๆ ประเทศรวมถึงไทย เริ่มใช้กรอบประเมินความพร้อม UNESCO RAM เป็นเข็มทิศวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนและต่อยอดสู่การวางนโยบาย AI แล้ว ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว อย่าง เนเธอร์แลนด์ ยอมรับว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่การมีส่วนร่วมของประชาชนและการเชื่อมโยงหน่วยงานยังเป็นโจทย์ที่ท้าทาย โอกาสนี้ UNESCO จึงเปิดตัว Global Network of AI Supervising Authorities ร่วมกับ European Commission และ Dutch Authority for Digital Infrastructure เพื่อสร้างเครือข่ายพัฒนานโยบายและการกำกับดูแล AI  ที่สอดคล้องมาตรฐานสากล ให้ AI เป็นเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือ โปร่งใส และเป็นธรรมต่อทุกคน พร้อมกันนี้ยังเสนอแนวทางร่วมกันว่า นโยบาย AI ที่ดีควรมี 3 จุดสำคัญ คือ ต้องยืดหยุ่นปรับตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ออกแบบโดยรับฟังเสียงทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะเด็ก ผู้พิการ และกลุ่มชายขอบที่มักถูกมองข้าม และต้องมีกลไกติดตาม-ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง  

ไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่โลกกำลังขับเคลื่อน “วัฒนธรรม AI ที่รับผิดชอบ” ด้วยความเชื่อว่า AI ไม่สามารถพัฒนาแบบ “Move Fast and Break Things” อีกต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนเป็น “Move Fast and Save Things” ด้วยการวางหลักจริยธรรมไว้ตั้งแต่เริ่มและจริยธรรมต้องฝังอยู่ในกระบวนการออกแบบ พัฒนา AI ตั้งแต่ต้น

บริษัทยักษ์ใหญ่ฝั่งผู้ผลิตในภาคเอกชน อย่าง Microsoft, SAP, Infosys, LG และ Universal Music Group เห็นตรงกันว่า “Human-in-the-loop” คือหัวใจของ AI ทุกระบบ เพราะการตัดสินใจที่สำคัญต้องอยู่ในมือมนุษย์ ทั้งยังเดินหน้าจัดการอคติในข้อมูล ฝึกพนักงานให้เข้าใจผลกระทบของ AI ต่อบทบาทงาน และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมเสนอให้มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ สำหรับบริษัทที่พัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อให้การทำดีไม่ใช่แค่ความถูกต้องแต่ยังคุ้มในเชิงธุรกิจ

แม้หลายประเทศยังไม่มีกรอบกฎหมาย AI ที่ชัดเจน แต่หลายฝ่ายมองว่า จำเป็นยิ่งที่ต้องเสริมด้วยกฎหมายคุ้มครองข้อมูล ความมั่นคงไซเบอร์ และกฎระเบียบ AI ที่ครอบคลุมสิทธิ ความปลอดภัย ความยุติธรรมที่สอดคล้องหลักจริยธรรม ทั้งยังกล่าวถึง AI Sandbox เครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้าใจระหว่างผู้สร้างเทคโนโลยีกับผู้กำกับดูแล ที่ไม่ใช่แค่สนามทดสอบนวัตกรรม แต่คือพื้นที่ที่เปลี่ยนการควบคุมเป็นการเรียนรู้ร่วมกันภายใต้กติกาใหม่ที่ตอบโจทย์

ขยับมาที่ ด้านสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึง (Human Rights and Inclusion)  โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ‘เด็กกับ AI’ ผู้เชี่ยวชาญจาก UNICEF และหลายประเทศเห็นตรงกันว่า เด็กกำลังเป็นเหยื่อเงียบของ AI ที่เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่ยังไม่เกิด พ่อแม่ใช้ AI เช็กสุขภาพครรภ์ จนถึงลืมตาดูโลก เด็กเล็กดูคลิปจากอัลกอริทึม เด็กโตใช้ AI ทำการบ้าน แม้ AI อยู่ในชีวิตทุกวัน แต่แทบไม่มีใครถามว่า AI ออกแบบมาเพื่อเด็กจริงหรือไม่ ถึง AI เปิดโอกาสให้เข้าถึงความรู้ได้ง่าย แต่ความจริงที่น่ากังวลคือ AI อาจทำลายทักษะคิดวิเคราะห์ ลดความอยากรู้อยากเห็น และทำให้เด็กพึ่งพาเครื่องมือจนขาดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ AI ยังกลายเป็นช่องทางใหม่ให้เด็กตกเป็นเหยื่อ Deepfake สื่อลามกอนาจารและการล่วงละเมิดทางออนไลน์ โดยไม่รู้ตัว การเร่งสร้างให้เกิดการรู้เท่าทันการใช้เทคโนโลยี AI(AI Literacy) สำหรับเด็กและครอบครัว กำหนดนโยบายที่มีเด็กเป็นศูนย์กลางตั้งแต่ต้นจึงเป็นทางออกที่ทั่วโลกเห็นตรงกัน

นอกจากนี้ นานาประเทศยังสะท้อนว่า AI ต้องไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ต้องเคารพสิทธิมนุษยชนและสร้างโอกาสให้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้พิการและกลุ่มเปราะบาง ซึ่งสำหรับคนทั่วไป AI ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ AI คือสิ่งที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นไปได้ และเสริมพลังให้คนที่เคยถูกจำกัดโอกาสด้วยระบบช่วยเหลือต่างๆ เช่น การอ่านหน้าจอด้วยเสียง การแปลแบบเรียลไทม์ หรือการนำทางสำหรับผู้พิการ เป็นต้น เวทีนี้เสนอว่า การออกแบบ AI ควรนำด้วยแนวคิด Inclusive by Design คิดถึงคนทุกกลุ่มตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่แค่เพิ่มฟีเจอร์ให้เข้าถึงทีหลัง และต้องให้ผู้พิการเข้ามามีบทบาทร่วมในการพัฒนา ซึ่งสอดคล้องกับ ‘อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ’ สนธิสัญญาระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ต้องให้คนพิการมีส่วนร่วมในฐานะผู้กำหนดทิศทาง ไม่ใช่แค่ผู้ใช้งาน เช่นเดียวกับคำแนะนำของ UNESCO ที่กำหนดว่า AI ต้อง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่นโยบายการพัฒนา ไปจนถึงการนำไปใช้ พร้อมเสนอให้เร่งแก้ไขปัญหานี้ ด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ ลงทุนใน AI เพื่อสาธารณะให้ทุกคนเข้าถึงได้ บังคับใช้กฎหมายสิทธิและการเข้าถึงที่ชัดเจน ตั้งองค์กรกำกับดูแลที่ให้ผู้พิการร่วมเป็นผู้กำหนดกติกา

แม้มี หลายประเทศนำ UNESCO RAM ไปใช้แล้ว แต่สำหรับประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ กลับพบว่า พวกเขากำลังขาดบุคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะมาช่วยในการวิเคราะห์ จึงทำให้การประเมินหยุดแค่บนกระดาษ ขณะที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย เดินหน้า โครงการ Women Elevate ที่ตั้งเป้าฝึก AI ให้ผู้หญิง 25,000 คนี เพื่อปิดช่องว่างทางเพศในวงการเทคโนโลยี ส่วนไทยสำหรับการดำเนินงานของ ETDA หน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่มีการดำเนินงานของศูนย์ AIGC (AI Governance Center) ก็เร่งเครื่องพัฒนาเครื่องมือประเมินความพร้อมและจัดหลักสูตรอบรม AI ให้หน่วยงานทั่วประเทศ สร้างขีดความสามารถที่ไปไกลกว่าแค่ใช้เทคโนโลยี แต่ให้เข้าใจจริยธรรม AI

ขณะที่ ความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใส (Privacy and Transparency) ก็เป็นอีกเรื่องที่เวทีนี้ให้ความสำคัญ เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลลึกที่สุดอย่าง ข้อมูลสมอง (Neurodata) และข้อมูลดิจิทัลในชีวิตประจำวัน กำลังเป็นเป้าหมายใหม่ของภัยเทคโนโลยี โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลสมองผ่านนวัตกรรมที่ชื่อว่า ‘Neuro-AI’ ที่เกิดจากการผสานระหว่าง Neurotechnology + AI ที่ AI สามารถประมวลผลร่วมกับกระบวนการทางสมอง ตั้งแต่การทำความเข้าใจความคิดของมนุษย์เพื่อต่อยอดการวิจัย การวินิจฉัยสุขภาพจิตของผู้ป่วยจากการทำงานของสมอง ไปจนถึงการฟื้นฟูรักษาผู้ป่วยที่มีโรคทางสมอง เรื่องเหล่านี้แม้จะช่วยปฏิวัติวงการแพทย์ ช่วยรักษาผู้ป่วยอัมพาต แต่หากขาดมาตรการจริยธรรม ข้อมูลสมองที่สะท้อนความคิด ความสามารถ และสภาพจิตใจ อาจถูกใช้เพื่อควบคุมความคิดคน ดังนั้น การเก็บข้อมูลโดยไม่ระบุตัวตน จำกัดการนำข้อมูลสมองเข้าสู่ระบบดิจิทัล พัฒนากฎหมายแบบมีอายุจำกัด (Sunsetting clauses) เปิดทางให้ปรับปรุงกฎหมายได้ตามเทคโนโลยี และใช้ระบบ Dynamic regulation ที่ยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว จึงเป็นข้อเสนอแนะที่เราได้เรียนรู้จากเวทีนี้  

รวมถึงปัญหา AI and Online Fraud ที่หลายประเทศรวมถึงไทยต่างต้องเผชิญอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพที่ใช้ AI Deepfake สร้างเสียง ภาพปลอม หลอกประชาชนจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซับซ้อนขึ้น โดยอาชญากรรมออนไลน์ที่ใช้ AI มักดำเนินการจากต่างประเทศ ที่กฎหมายและเขตอำนาจศาลแต่ละประเทศต่างกัน ทำให้การเอาผิดหรือบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องยาก แต่ในอีกด้าน AI ก็กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยภาครัฐตรวจจับพฤติกรรมการหลอกลวงในโลกออนไลน์ วิเคราะห์รูปแบบของการโทรจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือสแกนข่าวปลอมได้เร็วกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า

อย่างกรณีของไทย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า ไทยมีแนวทางรับมือมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการตั้งทีมเฉพาะกิจ (task force) ตอบสนองภัยคุกคามออนไลน์อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น (agile) ใช้ระบบเทคโนโลยีแบ่งปันข้อมูลระหว่างธนาคารและหน่วยงานรัฐ เพื่อหยุดเส้นทางการเงินของคนร้าย ใช้ TLP (Traffic Light Protocol) กำกับสิทธิการเผยแพร่ข้อมูล เพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญรั่วไหล พร้อมนำ AI ช่วยกรองข่าวปลอมได้วันละกว่า 3,000 สถานการณ์ กลายเป็นกรณีศึกษาที่หลายประเทศในอาเซียนอยากนำไปใช้และนี่คือบทพิสูจน์ต่อนานาประเทศว่า ไทยกำลังเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามอาชญากรรมและมิจฉาชีพออนไลน์อย่างเข้มข้น

อีกประเด็นที่ทั่วโลกจับตามากขึ้น คือ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก AI หลายคนอาจคิดว่า AI จะช่วยวิเคราะห์แนวโน้มโลกร้อนหรือจัดการป่าไม้ แต่บนเวทีนี้ชี้ว่า การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้พลังงานมหาศาล กลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนเงียบๆ ที่ขัดแย้งกับเป้าหมายสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าในปี 2569 การใช้ไฟฟ้าจาก AI Data Center จะสูงถึง 1,000 เทระวัตต์ชั่วโมง เทียบเท่าความต้องการไฟฟ้าของญี่ปุ่น-เยอรมนีรวมกัน พร้อมย้ำ AI ต้องพัฒนาไปในทิศทางที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ หรือ Green AI ที่คำนึงถึงวงจรชีวิตของเทคโนโลยีตั้งแต่การใช้พลังงาน น้ำ แร่ธาตุ ไปจนถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกัน ยังต้องเร่งสร้างกรอบกฎหมายที่บังคับใช้ได้จริง เช่น การบัญญัติหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมลงในกฎระเบียบ AI การกำกับโครงสร้างพื้นฐานผ่านกฎหมายพลังงาน และขยายมาตรฐาน ESG ให้ครอบคลุมเทคโนโลยี (ESGT) เพื่อให้ทุกภาคส่วนรับผิดชอบร่วมกัน

หลายประเทศยอมรับ ถึงจะเริ่มลงทุนใน AI แต่ยังขาดความพร้อมในด้านกฎหมาย ระบบสนับสนุน หรือบุคลากรที่เข้าใจ AI จริงๆ การใช้เครื่องมืออย่าง UNESCO RAM จึงถูกยกให้เป็นหนึ่งใน “เข็มทิศ” ของ GFEAI2025 ที่ต้องการผลักดันให้แต่ละประเทศประเมินตนเองว่า จุดแข็ง-จุดอ่อนของตนอยู่ตรงไหน เพื่อออกแบบนโยบาย AI ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

GFEAI2025 จุดเริ่มบทใหม่ของ AI โลก-ไทย

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวที GFEAI2025 คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดว่า โลกต้องเร่งกำหนดทิศทาง ก่อนที่ AI จะเป็นฝ่ายกำหนดอนาคต และไม่มีประเทศใดสามารถแก้โจทย์นี้ได้เพียงลำพัง...เวทีนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือและความเข้าใจร่วมกันระดับโลก ว่าการพัฒนา AI เราต้องเดินหน้าไปด้วยกัน บนพื้นฐานจริยธรรมที่ทุกประเทศเห็นพ้อง

สำหรับไทย นี่ไม่ใช่แค่โอกาสแสดงความพร้อม ด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน และความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำบทบาทในฐานะศูนย์กลางด้านจริยธรรม AI แห่งภูมิภาค ผ่านศูนย์ AI Governance Practice Center (AIGPC) ที่แสดงให้เห็นว่า ไทยพร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ร่วมสร้างมาตรฐานจริยธรรม AI ที่โปร่งใส เป็นธรรม และเคารพสิทธิมนุษยชน ที่จะเดินหน้าไปกับทุกประเทศ เพื่อให้ AI ถูกพัฒนาเพื่อมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน-ติดตามผลสรุปและความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ที่เพจ ETDA Thailand

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จัดการประชุมนานาชาติ The International Conference on Digital Trade Facilitation and Implementation: Advancing Electronic Transactions through UNCITRAL Model Laws เวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน ผ่านกรอบกฎหมายและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อส่งเสริมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านกฎหมายตัวอย่างของ UNCITRAL เช่น กฎหมายตัวอย่างว่าด้วยเอกสารโอนสิทธิทางอิเล็กทรอนิกส์ (MLETR) เวทีสำคัญที่รวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้ปฏิบัติงานจากหลากหลายภาคส่วน ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางกฎหมายของ UNCITRAL

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ในยุคที่โลกทางการค้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายทางการค้าที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคดิจิทัล การสร้างองค์ความรู้ด้านทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องเร่งดำเนินการ  ดังนั้น ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จึงได้จัดงานประชุมนานาชาติ The International Conference on Digital Trade Facilitation and Implementation : Advancing Electronic Transactions through UNCITRAL Model Laws เพื่อเป็นเวทีสำคัญที่รวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้าน AI และบล็อกเซน ภาคเทคโนโลยีดิจิทัลและการเงิน นักวิชาการด้านกฎหมาย ภาคการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ฯลฯ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน ผ่านกรอบกฎหมายต้นแบบของคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (UNCITRAL) ซึ่งการประชุมนานาชาติครั้งนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน ผ่านกรอบกฎหมายและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อรองรับโลกการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ จะช่วยให้การประชุมสามารถผลักดันข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และแนวทางปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อยกระดับการทำธุรกรรมดิจิทัลทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค” 

ด้าน ดร.วิลาวรรณ มังคละธนะกุล ประธานการประชุมคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศสมัยที่ 57 กล่าวว่า “ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการส่งเสริมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านกฎหมายตัวอย่างของ UNCITRAL เช่น กฎหมายตัวอย่างว่าด้วยเอกสารโอนสิทธิทางอิเล็กทรอนิกส์ (MLETR) ซึ่งเป็นการสร้างกรอบกฎหมายที่สอดคล้องในระดับสากลช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ยอมรับและใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แทนเอกสารกระดาษได้อย่างถูกต้อง  อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็ว และเสริมความโปร่งใสในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะในบริบทของการค้าข้ามพรมแดน ดังนั้นเพื่อเป็นการตรียมความพร้อมทางกฎหมายให้เท่าทันกับเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมระบบธุรกิจ และบริการของรัฐในยุคดิจิทัล รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัยในธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย การพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งนี้จึงจัดขึ้นในรูปแบบของการประชุม The International Conference on Digital Trade Facilitation and Implementation: Advancing Electronic Transactions through UNCITRAL Model Laws เพื่อเป็นการเปิดเวทีให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติ ได้แลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางในการพัฒนากฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือทางกฎหมายของ UNCITRAL ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการประชุมนานาชาติครั้งนี้ถือว่าเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงกรอบกฎหมายให้ทันสมัย เพื่อรองรับเอกสารดิจิทัล การทำสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ การค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน และยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นตลอดจนความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเปิดโอกาสให้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึก รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่ดี ที่ช่วยเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างกฎหมายกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ AI และบล็อกเชนในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางกฎหมาย นอกจากนี้ ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันกฎหมาย สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้จริงทั้งในเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปตามแนวทางของ UNCITRAL” ดร.วิลาวรรณ กล่าวสรุป

 

ด้าน ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA กล่าวว่า “ETDA มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การกำหนดทิศทางการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (UNCITRAL) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ETDA ในการนำแนวปฏิบัติและกฎหมายสากลมาประยุกต์ใช้ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“สำหรับการประชุมในครั้งนี้เราได้รับเกียรติผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยีและธุรกรรมดิจิทัล ภาครัฐและภาคเอกชน  ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้าน AI และบล็อกเชน นักกฎหมายการค้าระหว่างประเทศที่สามารถแบ่งปันประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่เป็นสากลเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้เข้าร่วมทุกหน่วยงาน โดย ETDA มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของไทยในการยกระดับกฎหมายธุรกรรมดิจิทัลสู่เวทีโลกและวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนในอนาคต เสริมศักยภาพและสร้างความน่าเชื่อถือ น่าเชื่อถือด้านสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายและเทคโนโลยีให้ธุรกรรมปลอดภัย และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้เป็นอย่างดี” ดร.ชัยชนะ กล่าวสรุป

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศรอบไฟนอลเวที ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID” โจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” ทีม AINU เจ้าของโซลูชัน TH Welcome ID ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Digital ID สำหรับชาวต่างชาติในไทย ให้เข้าถึงบริการและยืนยันตัวตนกับทั้งรัฐและเอกชนได้อย่างสะดวก น่าเชื่อถือใช้เทคโนโลยี blockchain เพื่อความปลอดภัย ตรวจสอบได้ — ด้วย concept สสส = สะดวก สบายใจและสอดรับความมั่นคง เป็นตัวตนดิจิทัลที่ทุกฝ่ายวางใจ ชนะใจกรรมการ คว้ารางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมโอกาสในการต่อยอดโซลูชัน Digital ID สำหรับคนต่างด้าวสู่การใช้งานจริง ยกระดับ Digital ID ไทยเพื่อธุรกรรมออนไลน์ที่ทุกคนมั่นใจ!

นางสาวจิตสถา ศรีประเสริฐสุข รองผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า เวที “ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID”ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีใจรักในนวัตกรรม มาร่วมกันออกแบบโซลูชันที่จะเข้ามาพลิกโฉมการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับระบบที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพ เกิดการต่อยอด สู่การใช้งานได้จริง และขยายผลได้ในอนาคต เพราะ ETDA เชื่อมั่นว่าพลังความร่วมมือและไอเดียสร้างสรรค์จากที่นี่ จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยมีระบบ Digital ID ที่รองรับคนต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นในการเข้าถึงบริการทั้งภาครัฐและเอกชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น

สำหรับการแข่งขัน ETDA Hackathon ภายใต้โจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” นี้ ETDA เปิดกว้างให้ผู้เข้าแข่งขันได้ออกแบบและพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนต่างด้าวในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน การเข้าถึงข้อมูลและบริการที่จำเป็น การทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้บริการด้านสุขภาพ หรือแม้แต่การติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐ สิ่งที่เรามองหาคือโซลูชันที่ไม่เพียงแต่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (UX/UI) ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy & Security) การปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Compliance) และที่สำคัญคือศักยภาพในการนำไปพัฒนาต่อยอดและใช้งานได้จริง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เอื้ออำนวย และเป็นมิตร โดยเส้นทางการแข่งขันสำหรับโจทย์ที่ 2 นี้ เริ่มเปิดรับสมัครพร้อมกับโจทย์แรก และได้รับความสนใจจากทีมผู้พัฒนาและนักออกแบบเป็นจำนวนมาก ก่อนผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนได้ 10 ทีมสุดท้าย ได้แก่ 1. ทีม AINU 2. ทีม BCI : Human Right คนนี้แหละใช่จริงจริง 3. ทีม Davoy 4. ทีม Global Helpcare Solutions 5. ทีม InDistinct 6. ทีม keroro 7. ทีม Lorem Dimsum 8. ทีม Onochayama 9. ทีม Zimplexity และ 10. ทีม แพวบุ้คต๊ะฟ้า ซึ่งทั้ง 10 ทีมนี้ได้เข้าร่วมกิจกรรม Pre-Hack Workshop ที่ ETDA จัดขึ้น โดยเฉพาะ Workshop ครั้งที่ 3 ที่เน้นเนื้อหาสำคัญและ Use Cases ที่เกี่ยวข้องกับ Digital ID for Foreigners โดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญของ ETDA สำนักงาน กสทช. และสำนักสุขภาพดิจิทัล กระทรวงสาธารณสุข ควบคู่กับการให้คำปรึกษาแบบ One-on-One เพื่อลับคมไอเดียและเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ก่อนเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันนี้ (17 พฤษภาคม 2568) ที่ทุกทีมได้นำเสนอผลงาน (Pitching) ต่อหน้าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้บริหารจาก ETDA, สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, สำนักสุขภาพดิจิทัล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และพันธมิตรภาคเอกชน สะท้อนถึงการบูรณาการมุมมองที่หลากหลายเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมอย่างแท้จริง

หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จากแนวคิดโซลูชันที่หลากหลายและตอบโจทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนต่างด้าวตั้งแต่การลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไปจนถึงการสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น ในที่สุดผลการแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID โจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” รอบไฟนอล  ก็ได้ทีมผู้ชนะคว้ารางวัลชนะเลิศ คือ ทีม AINU กับผลงาน “TH Welcome IDDigital ID สำหรับชาวต่างชาติในไทย ให้เข้าถึงบริการและยืนยันตัวตนกับทั้งรัฐและเอกชนได้อย่างสะดวก น่าเชื่อถือ ใช้เทคโนโลยี blockchain เพื่อความปลอดภัย ตรวจสอบได้ — ด้วย concept สสส = สะดวก สบายใจ และสอดรับความมั่นคง เป็นตัวตนดิจิทัลที่ทุกฝ่ายวางใจ คว้าเงินรางวัล 100,000 บาท ตามมาด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม ZIMPLEXITY กับผลงาน FDID (Foreign Digital ID) แพลตฟอร์มยืนยันตัวตนดิจิทัลสำหรับคนต่างด้าว ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ปลอดภัย เชื่อมต่อภาครัฐ-เอกชน ลดการใช้เอกสาร ต่อยอดบริการเปิดบัญชี ซิมมือถือ และสุขภาพ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม ONOCHAYAMA จากผลงานระบบ Onochayama Identity เป็นโซลูชันเพื่อการกระจายศูนย์การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าและลายนิ้วมือสำหรับ Digital ID โดยเชื่อมต่อข้อมูลสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้ใช้แรงงานต่างด้าว พร้อมจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลเข้ารหัส เพื่อความปลอดภัย ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท โดยทุกทีมจะได้รับประกาศนียบัตร (e-Certificate) จาก ETDA พร้อมโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรมสู่การใช้งานจริง โดย ETDA เตรียมจัดกิจกรรม “Partnership Meeting” เพื่อให้ทีมผู้ชนะจากทั้งสองโจทย์การแข่งขัน ได้ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาและต่อยอดผลงานกับเหล่าพันธมิตรโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน และกิจกรรม “Business Matching” เพื่อสร้างเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงโอกาสในการนำเสนอผลงานบนเวที Tech Showcase Stage ในงาน Techsauce Global Summit 2025 อีกด้วย

ในฐานะที่ ETDA เป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลของไทย โดยเน้นการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน (Co-Creation Regulator) เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า พลังแห่งความร่วมมือและสุดยอดไอเดียที่เกิดขึ้นจากเวที ETDA Hackathon ทั้งสองโจทย์ในปีนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital ID ที่แข็งแกร่ง ทันสมัย น่าเชื่อถือ และครอบคลุมผู้ใช้งานทุกกลุ่ม รวมถึงคนต่างด้าว ผลลัพธ์ที่ได้จากการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซลูชันสำหรับ Digital ID for Foreigners จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ชัดเจนของการประยุกต์ใช้ Digital ID เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ ETDA พร้อมสนับสนุนและทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้นวัตกรรมเหล่านี้สามารถนำไปใช้งานได้จริง สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน”
นางสาวจิตสถา ศรีประเสริฐสุข กล่าวทิ้งท้าย

การแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID ทั้งสองโจทย์ได้สิ้นสุดลงแล้วด้วยความสำเร็จอย่างงดงาม ETDA ขอขอบคุณผู้เข้าแข่งขันทุกทีม พันธมิตรทุกองค์กร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ร่วมกันจุดประกายความคิดและปลดล็อกอนาคต Digital ID ของประเทศไทย โปรดติดตามกิจกรรมและโครงการดีๆ จาก ETDA ที่จะช่วยยกระดับชีวิตดิจิทัลของคนไทยให้มั่นคงและปลอดภัยได้ทางเฟซบุ๊ก ETDA Thailand (www.facebook.com/ETDA.Thailand)

ภายใต้โจทย์ “Digital ID for Foreigners” ทีมไหนคว้าแชมป์ 17 พ.ค. นี้ รู้กัน!

Page 1 of 6
X

Right Click

No right click