December 05, 2025
  • ก้าวสำคัญเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่มูลค่าธัญพืช และเข้าถึงตลาดที่ความต้องการสินค้า เกษตรที่ยั่งยืน ตรวจสอบย้อนกลับได้ กำลังเติบโต
  • สร้างความร่วมมือในโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน

บังกี้ และ กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ป ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร หลังจากความสำเร็จในการทดสอบแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ใช้ตรวจสอบย้อนกลับถั่วเหลืองและวัตถุดิบจากถั่วเหลืองที่ยั่งยืนในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้ทั้งสองบริษัทขยายการนำเทคโนโลยีนี้มาซื้อขายถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่บังกี้จัดหาจากบราซิล ให้กับ  กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) และเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) สำหรับการผลิตอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อบูรณาการระบบอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่ยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือในโครงการลดคาร์บอนที่มีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สอดคล้องกับเป้าหมายของเครือซีพีที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของบังกี้เพื่อขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู

ตั้งแต่ปี 2566 บังกี้ และซีพี ร่วมกันศึกษาห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนและเชื่อมต่อข้อมูลร่วมกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค การดำเนินงาน และความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ โดยในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทดลองนำร่องขนส่งกากถั่วเหลืองราว 375,000 เมตริกตัน  ที่มีเทคโนโลยีบล็อกเชนตรวจสอบย้อนกลับกากถั่วเหลืองเหล่านี้ และด้วยข้อตกลงปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น

ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัท จะนำข้อมูลวัตถุดิบจากการจัดหาร่วมกัน มาบันทึกและซื้อขายผ่านบล็อกเชน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบย้อนกลับธัญพืชได้อย่างครบถ้วนตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก การแปรรูป และการขนส่ง จนถึงปลายทาง เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลเหล่านี้ได้ จึงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน

“ด้วยแพลตฟอร์มบล็อกเชน ทำให้เรากำลังเชื่อมต่อ การผลิตอาหารของเรา เข้ากับลูกค้าปลายทางโดยตรง โดยที่กระบวนการทั้งหมดสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยมีข้อมูลต่างๆตลอดห่วงโซ่อุปทานที่มีความรับผิดชอบอย่างครบถ้วน มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนในห่วงโซ่มีส่วนสร้างอนาคตที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความสำเร็จของโครงการนำร่องยังเปิดโอกาสให้เราขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์กับซีพี และพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เช่น เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู” ฮูลิโอ การ์รอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมของบังกี้ กล่าว

ฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส  กล่าวว่า “ความร่วมมือกับผู้นำระดับโลกด้านการเกษตรอย่าง บังกี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทานของซีพี รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย การขยายความร่วมมือในครั้งนี้ ยังคลอบคลุมการเข้าถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย แพลตฟอร์มดิจิทัล และโมเดลการจัดหาที่ยั่งยืน ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้กับทั้งสองฝ่าย เรายังมุ่งหวังการเติบโตในระยะยาวที่จะสร้างมูลค่ากับลูกค้าทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

การขยายความร่วมมือระหว่าง บังกี้ และ BKP ในปี 2568 จึงครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น การจัดหาวัตถุดิบเกษตรหลัก การพัฒนากระบวนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน และการปรับปรุงกระบวนการขนส่ง จนถึงปลายน้ำคือโรงงานอาหารสัตว์ของซีพีในภูมิภาคนี้

“การจัดหาวัตถุดิบภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ดำเนินการตามระเบียบและมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้าของทั้งบังกี้และเครือซีพี  ทั้งสองบริษัทต่างมุ่งมั่นสร้างห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่าในปี 2025 แพลตฟอร์มนี้ยังเปิดให้เข้าถึงข้อมูลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากแปลงปลูกต้นทาง รวมถึงเอกสารการรับรองมาตรฐานถั่วเหลือง เช่น มาตรฐาน Round Table on Responsible Soy (RTRS) ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งในความมั่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Net Zero ภายในปี 2050” ฐิติ กล่าวเสริม

“เราเชื่อในพลังของความร่วมมือเพื่อสร้างมาตรฐานความยั่งยืนที่ดีขึ้น และความร่วมมือกับซีพี เป็นตัวอย่างของการที่เราสามารถขยายโซลูชัน เพื่อมอบความโปร่งใส รวมถึงข้อมูลเชิงลึกของห่วงโซ่อุปทานอย่างครบถ้วน สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต่างมีร่วมกัน” พาเมลา โมเรรา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนประจำภูมิภาคอเมริกาใต้ของบังกี้ กล่าว

แพลตฟอร์มบล็อกเชนดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดยบังกี้ ร่วมกับบริษัท Justoken ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน บังกี้ยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายแรกของโลกที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้รวมถึงติดตามการจัดซื้อถั่วเหลืองทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ 100% ในพื้นที่สำคัญของเขตเซอร์ราโด ประเทศบราซิล บริษัทใช้เทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูงเพื่อติดตามพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตัดไม้ทำลายป่า โดยปัจจุบันระบบดังกล่าวครอบคลุมจำนวนฟาร์ม กว่า 36,000 แห่ง และพื้นที่กว่า 46 ล้านเฮกตาร์ในอเมริกาใต้

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และประธานกรรมการบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Global Infrastructure Partners (GIP) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ BlackRock และ True IDC ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์อันดับ 1 ของประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับและเร่งการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยให้ทัดเทียมระดับโลก รองรับการเติบโตของ AI และระบบคลาวด์ พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอาเซียน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคกิกะดาต้าเซ็นเตอร์" (Giga Data Center Age) ซึ่ง “ข้อมูล หรือ Data” คือ “New Oil” จึงทำให้ "ข้อมูล" คือทรัพยากรที่มีมูลค่ามากที่สุด  และต้องการ Data Center เพื่อประมวลผล ดังนั้น “Data Center จะเป็นหัวใจของเศรษฐกิจยุคใหม่” ซึ่งในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Giga Center จะเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยต้องคว้าไว้ ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่แข็งแกร่งจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก ด้วยเหตุนี้ซีพีนำโดย True IDC ซึ่งผู้ให้บริการ ดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์อันดับ 1 ของไทย จึงพร้อมที่จะ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Global Infrastructure Partners (GIP) บริษัทชั้นนำด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกภายใต้เครือ BlackRock กลุ่มทุนการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่จะ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยให้เป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์และ AI อันดับ 1 ของอาเซียน รองรับการขยายตัวของธุรกิจเทคโนโลยีระดับโลก

ความเชี่ยวชาญระดับโลกของ GIP ในการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน ผสานกับ จุดแข็งของ True IDC ในด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ ด้านเครือข่ายการเชื่อมต่อ และโซลูชันพลังงานหมุนเวียน จะช่วยขยายศักยภาพของ True IDC ให้ก้าวไกลไปสู่ระดับอาเซียน” ซีอีโอ ซีพี กล่าว

ในขณะเดียวกัน นายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และ กรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock กล่าวว่า “การเติบโตของปริมาณข้อมูลและ AI จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากจากภาคเอกชนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญรองรับความต้องการทั่วโลก เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มซีพีและ True IDC เพื่อเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย และทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย”

พร้อมกันนี้ นายฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร True IDC กล่าวว่า “True IDC มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนมาโดยตลอด โดยความร่วมมือกับ GIP ครั้งนี้ จะช่วยเร่งให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริงเร็วขึ้น ปัจจุบันธุรกิจไฮเปอร์สเกลและเทคโนโลยี AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ True IDC สามารถขยายธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมรักษาตำแหน่งผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์อันดับหนึ่งของไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง  ซึ่งมั่นใจว่า GIP ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก จะเข้ามาเสริมศักยภาพของ True IDC ให้สามารถขยายธุรกิจสู่ระดับอาเซียนได้เต็มรูปแบบ ความร่วมมือนี้จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสนับสนุนระบบนิเวศและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่กำลังเติบโตของภูมิภาคนี้”

ความร่วมมือครั้งนี้จะส่งผลต่อการเติบโตของ True IDC อย่างมีนัยสำคัญ โดยในอีก 3–5 ปีข้างหน้า True IDC มีแผนลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 35,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ True IDC ยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานและธรรมาภิบาล ตลอดจนขยายการให้บริการไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ทั้ง True IDC และ GIP มุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนให้แก่กัน เพื่อวางรากฐานและต่อยอดการเติบโตด้านเทคโนโลยีในทุกบริบทอย่างยั่งยืน

ความร่วมมือระหว่าง True IDC และ GIP-BlackRock ไม่ได้เป็นเพียงการขยายธุรกิจเท่านั้น แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน ท่ามกลางกระแสโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI และ Cloud อย่างรวดเร็ว ความร่วมมือนี้คือการผนึกกำลังระหว่างผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์อันดับ 1 ของไทย กับบริษัทโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลก นี่คือ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ที่จะวางรากฐานให้ประเทศแข็งแกร่งขึ้นในเวทีโลก True IDC และ GIP พร้อมเดินหน้าสร้างอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และทรงอิทธิพลในเศรษฐกิจดิจิทัลระดับสากล เพราะไทยจะไม่เป็นเพียงแค่ "ผู้ใช้เทคโนโลยี" แต่จะก้าวขึ้นเป็น ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของภูมิภาค อย่างแท้จริง

ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลกอีกครั้ง เมื่อคณะผู้บริหารระดับสูงจาก Global Infrastructure Partners (GIP) กลุ่มทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ BlackRock ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ นำโดยนายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock ในการนี้ นายโอกุนเลซีได้เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางการลงทุนและความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย โดยมี นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พร้อมด้วยผู้บริหารจาก True IDC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และยืนยันความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการยกระดับประเทศไทยสู่ ศูนย์กลางเทคโนโลยีและ AI ของภูมิภาค

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ และแสดงความยินดี พร้อมระบุว่า ทางรัฐบาลจะพยายามทำให้กระบวนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเอกชนมีความสะดวกรวดเร็ว และราบรื่น นอกจากนี้ยังยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือของภาคเอกชน กับหน่วยงานการศึกษา เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล และดาต้าเซ็นเตอร์อย่างเต็มกำลัง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลและ AI ของภูมิภาคอาเซียน และกำลังเข้าสู่ยุคของ Giga Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานระดับกิกะวัตต์ รองรับเวิร์กโหลดที่มีความเข้มข้นสูง ตอบสนองความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต่างพากันเข้ามาลงทุนในไทย CP Group จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง GIP และภาครัฐไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้ตอบโจทย์การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน เพิ่มทุนพัฒนามนุษย์ ตลอดจนโครงการวิจัย และพัฒนาที่จะต้องมีรองรับ สามารถยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับลูกหลานของไทยในด้านการศึกษา และการคิดค้นนวัตกรรม ”

ด้านนายอาเดบาโย โอกุนเลสี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโส BlackRock กล่าวว่า “GIP มีเครือข่ายการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ และมีประสบการณ์ยาวนานในการสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สำคัญระดับโลก อาทิ สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงานไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเครือข่ายศูนย์ข้อมูล ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งในด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการเติบโตในระยะยาว การลงทุนของ GIP ในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่โอกาสทางธุรกิจ แต่คือความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างระบบดิจิทัลที่มั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน พร้อมวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค”

ไฮไลต์สำคัญของการเยือนไทยในครั้งนี้ คือ GIP-BlackRock จะร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มูลค่ากว่า 3-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 105,000-175,000 ล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการรองรับเวิร์กโหลดของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, Big Data และ Cloud Services การลงทุนดังกล่าวไม่เพียงสร้างการจ้างงานใหม่จำนวนมากในกลุ่มวิศวกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ในบริบทระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการเติบโตในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีรายงานการคาดการณ์มูลค่าตลาดจะเติบโตที่ 3.81 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 ถึง 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 6.8% จากแรงขับเคลื่อนของ Edge Computing, AI และการใช้งานคลาวด์ในวงกว้าง ตลอดจนการคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 7.5%-8.5% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน

การเยือนไทยของ GIP-BlackRock ครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การหลอมรวมวิสัยทัศน์ของภาครัฐ ผู้นำอุตสาหกรรมไทย และนักลงทุนระดับโลก เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนดทิศทางใหม่ของภูมิภาค สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะอย่างแท้จริง

 

ครั้งแรกในไทยกับการรวมพอยท์จากบัตรเครดิตชั้นนำและทุกโปรแกรมสมาชิกในเครือซีพี มาใช้จ่าย แทนเงินสดได้ผ่าน อเมซ ซูเปอร์แอป (Amaze Super App) แอปช้อปปิ้งใหม่จากเครือซีพี พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ พิเศษสำหรับสมาชิกใหม่มูลค่ารวมกว่า 10,000 บาท เปิดมิติใหม่ของการสะสมพอยท์ที่ช่วยให้คนไทยใช้พอยท์คุ้มค่า กว่าเดิม ด้วยการรวมพอยท์จาก ALL POINT, My Lotus's, Makro PRO POINT, True Point รวมถึงพอยท์จากบัตรเครดิต ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น KrungSri, FirstChoice, POINTX, UOB, BBL, GSB และ KBank เพื่อให้ผู้ใช้ อเมซ ซูเปอร์แอป สามารถ รวมพอยท์ทั้งหมดไว้ในกระเป๋าพอยท์เดียว ใช้แทนเงินสดได้สะดวกและคุ้มค่ายิ่งขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพอยท์ กระจัดกระจายหรือหมดอายุอีกต่อไป

ดร. สรินทิพย์ สถิตย์เสถียร กรรมการผู้จัดการ Amaze Super App บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า “อเมซ ซูเปอร์แอป จากเครือซีพี องค์กรที่กำลังมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี (Tech Enabler) เรามุ่งมั่นที่จะปฎิวัติการใช้พอยท์และพลิกโฉมการช้อปของคนไทย ลูกค้าสามารถใช้ อเมซ ซูเปอร์แอป รวบรวมพอยท์จากบัตรเครดิตชั้นนำและทุกโปรแกรมสมาชิกในเครือซีพีมาไว้ในแอปเดียว เปรียบเสมือนเปิดกระเป๋าตังค์ ใบที่ 2 ให้สามารถรวมและใช้พอยท์จ่ายแทนเงินสดได้ง่ายขึ้น สามารถเช็กจำนวนพอยท์จากบัตรเครดิตและทุกโปรแกรม สมาชิกที่เข้าร่วม ใช้พอยท์จ่ายแทนเงินสดได้ทั้งตะกร้า อเมซ ซูเปอร์แอป จะช่วยเปลี่ยนพอยท์ ที่เคยถูกลืม ให้มีมูลค่าจริง ใช้จ่ายแทนเงินสดได้ในชีวิตประจำวัน หมดปัญหาการสะสมพอยท์แบบกระจัดกระจาย รวมถึงการพลาดโอกาสจากพอยท์ หมดอายุ เรามั่นใจว่าอเมซ ซูเปอร์แอป จะสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้การใช้พอยท์มีประสิทธิภาพสูงสุด และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยในยุคดิจิทัลอย่างแน่นอน”

ผู้ใช้สามารถรวมพอยท์มาเป็นอเมซพอยท์ เพื่อซื้อสินค้าที่ 7-Eleven และ Lotus’s พร้อมบริการจัดส่งรวดเร็วภายใน 1-3 ชั่วโมง ส่งตรงจากสาขาใกล้บ้าน และใช้ช้อปสินค้าแบรนด์ดังพร้อมรับประกันของแท้ 100% จากอเมซมอลล์ (Amaze Mall) ที่มีให้เลือกมากกว่า 500 ร้านค้า

ดร. สรินทิพย์ สถิตย์เสถียร (ขวา) พร้อมด้วย คุณกฤตธี มโนลีหกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด (ซ้าย) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน POINTX แพลตฟอร์มรวมและแลกคะแนนสะสม ที่แลกง่าย ใช้คุ้ม ร่วมเปิดตัวความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Amaze และ POINTX เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้คะแนนสะสมรูปแบบใหม่ ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถโอนพอยท์ระหว่างกันได้อย่างสะดวกและไร้รอยต่อ

นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในธุรกิจของเครือซีพี อเมซ ซูเปอร์แอป ได้พัฒนาระบบด้วยมาตรฐานความปลอดภัย ระดับสากล ทั้งการยืนยันตัวตนที่รัดกุม และการเชื่อมต่อระบบแบบไร้รอยต่อกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่าง 7-Eleven และ Lotus's ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าทุกธุรกรรมบนแพลตฟอร์มมีความปลอดภัยสูงสุด อเมซยังมีนโยบายการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวด โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บรักษาตามมาตรฐานสากลและ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทย พร้อมสร้างอีโคซิสเต็ม ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับประเทศ

ทั้งนี้ อเมซมอลล์ เป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ รวมสินค้าจาก 500 แบรนด์ชั้นนำ การันตีสินค้าแท้ 100% พร้อมราคาสุดคุ้ม เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค โดยผู้ซื้อสามารถรวมพอยท์บัตรเครดิต และทุกโปรแกรมสมาชิกที่เข้าร่วม แปลงเป็นอเมซพอยท์เพื่อใช้แทนเงินสดชำระค่าสินค้าได้สูงสุดทั้งตะกร้า เพิ่มความคุ้มค่า และความสนุกให้กับการช้อปปิ้ง นอกจากนี้ อเมซมอลล์ยังสนับสนุนร้านค้าด้วยแผนการตลาดและแคมเปญ ต่างๆเพื่อช่วยให้ร้านค้าขยายฐานลูกค้าและสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น Amaze Mall Day ทุบราคาท้าช้อปทุกวันพุธ ด้วยราคาพิเศษสุดและให้พอยท์คืน (Pointback) สูงสุดถึง 15% และดีลสุดพิเศษจากแต่ละแบรนด์ เพื่อให้ทั้งร้านค้าและ ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

สิทธิประโยชน์ของสมาชิก อเมซ ซูเปอร์แอป ได้แก่

● รวมพอยท์จากหลายที่มาเป็นอเมซพอยท์ได้ในแอปเดียว

● ใช้อเมซพอยท์จ่ายแทนเงินสดได้ทั้งตะกร้า ไม่มีขั้นต่ำ

● สั่งสินค้า 7-Eleven และ Lotus’s พร้อมจัดส่งภายใน 1-3 ชั่วโมง พร้อมรับโปรโมชั่นและดีลพิเศษเดียวกัน

● ช้อปแบรนด์ดัง การันตีสินค้าแท้ 100% ที่อเมซมอลล์ หมดกังวลช้อปของปลอม พร้อมดีลสุดพิเศษ

● ทุกการช้อป รับอเมซพอยท์สะสมไว้ใช้จ่ายครั้งต่อไป

พิเศษสุดในช่วงเปิดตัว! กับแคมเปญแรงตลอดเดือนเมษายนนี้เท่านั้น รับสิทธิประโยชน์เฉพาะสมาชิกใหม่ของ อเมซ ซูเปอร์แอป

● รับฟรีทันที 2,000 อเมซพอยท์ (มูลค่า 20 บาท) ใช้ซื้อสินค้าที่ 7-Eleven, Lotus's และสินค้าแบรนด์ดังใน อเมซมอลล์ พร้อมรับคูปองส่วนลดและสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำมากมาย ทั้ง 7-Eleven, Lotus's, Makro, TRUE, TRUE Money และแบรนด์ดังจากอเมซมอลล์ มูลค่ารวมสูงสุดถึง 10,000 บาท!

● โอนพอยท์บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ มาเป็นอเมซพอยท์ครั้งแรก รับอเมซพอยท์เพิ่มสูงสุด 150,000 พอยท์ (มูลค่า 1,500 บาท) ต่อ 1 ธนาคารค่ะ ยิ่งถือบัตรเครดิตหลายธนาคาร ยิ่งได้รับสิทธิเยอะ

● ช้อปสินค้าดังกับดีลเด็ด ลดสูงสุดถึง 90% กับ Amaze Mall Day ทุกวันพุธ ทุบราคาเริ่มต้นแค่ 9 บาท แถมพอยท์คืนสูงสุด 15%

● สุดคุ้มสำหรับสายตุน - ทุกวันเสาร์ เหมาเซเว่น - รับพอยท์เพิ่ม 11 เท่า เมื่อช้อปอาหารพร้อมทาน เครื่องดื่ม และสินค้าที่เข้าร่วมจาก 7-Eleven ผ่านแอปอเมซ ขั้นต่ำ 300 บาท และใช้คูปองลดเพิ่ม 30 บาท เริ่ม 12 เมษายนนี้

● ช้อปสินค้า Lotus's ผ่านแอปอเมซครั้งแรก รับทันที คูปองส่วนลด 20 บาท เมื่อซื้อครบ 99 บาท พร้อมรับพอยท์เพิ่ม 10 เท่า ไม่มีขั้นต่ำ

สามารถดาวน์โหลดอเมซและสมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้ ทั้งบนระบบ iOS และ Android เพียงค้นหา ‘Amaze Super App’

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน โดยเฉพาะจุดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างมากในเขตจตุจักร กรุงเทพฯ ที่มีอาคารพังถล่มลงมา และอยู่ระหว่างระดมความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วนอย่างเต็มกำลัง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ บริษัทในเครือซีพี ที่อยู่เคียงข้างสังคมในทุกๆ วิกฤติ เสมอมา โดยครั้งนี้ได้ระดมความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง โดยสนับสนุนอุปกรณ์เต็นท์เพื่อภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเหตุอาคารถล่ม ตลอดจนมอบอาหารและน้ำดื่ม CP ผ่านกองทัพบก โดยมี พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้รับมอบ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และผู้อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่โดยรอบ โดยประสานความช่วยเหลือร่วมกับกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์อย่างใกล้ชิด

 

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ระดมทีมงานให้การสนับสนุนในภารกิจกู้ภัยของเจ้าหน้าที่ ซึ่งรวมถึงการมอบ "อาหารจากใจ" สนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบ ทั้งไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู ไส้กรอก แก่โรงครัวต่างๆ อาทิ มูลนิธิเพชรเกษม และ มูลนิธิองค์กรทำดี เพื่อใช้ประกอบอาหารมอบให้แก่ เจ้าหน้าที่ทหาร ทหารช่าง ทีมแพทย์สนาม หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย อาสากู้ภัย อาสาสมัครจิตอาสา มูลนิธิต่างๆ และสื่อมวลชน ที่ดำเนินภารกิจตลอด 24 ชั่วโมง ณ กองอำนวยการร่วมบรรเทาสาธารณภัย เขตจตุจักร

 

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังได้ประสานการสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและขนมสำหรับสุนัขภายใต้แบรนด์ "เจอร์ไฮ" (Jerhigh) แก่ พลตรี สมพงษ์ สุขประดิษฐ เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก ในวันพรุ่งนี้ ภายใต้ภารกิจนำกำลังพลจาก ศูนย์สุนัขทหาร กรมการสัตว์ทหารบก (ศสท.กส.ทบ.) พร้อมชุดปฏิบัติการสุนัขทหาร (K9) เข้าร่วมภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเหตุอาคารถล่ม

 

ซีพีเอฟ ขอส่งกำลังใจและความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชน และพร้อมเคียงข้างสังคมในทุกวิกฤติ ด้วยการส่งมอบความห่วงใยผ่านอาหารและสิ่งของจำเป็น ขอให้ทุกคนก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกันอย่างเข้มแข็งและปลอดภัย.

Page 1 of 8
X

Right Click

No right click