

อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือของ Amazon.com เปิดเผยผลการศึกษาพบว่า แม้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แต่เกิดช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างบริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจมานาน ในด้านการประยุกต์ใช้ AI ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดเศรษฐกิจสองระดับ โดยสตาร์ทอัพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสามารถพัฒนานวัตกรรมได้เร็วกว่าและแซงหน้าธุรกิจดั้งเดิม การใช้ AI ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีธุรกิจ 150,000 รายนำ AI มาใช้ในปี 2567 หรือเฉลี่ยเกือบทุก 3 นาทีจะมีธุรกิจใหม่นำ AI มาใช้ ปัจจุบันมีธุรกิจ 600,000 ราย หรือ 32% ของธุรกิจทั้งประเทศที่นำ AI มาใช้แล้ว เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน ด้านผลลัพธ์ทางธุรกิจ 67% ของธุรกิจที่ใช้ AI มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% ในขณะที่ 78% คาดว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนได้เฉลี่ย 17%
AWS ร่วมกับ Strand Partners สำรวจการใช้ AI ในไทยผ่านการศึกษา “Unlocking Thailand's AI Potential” โดยเก็บข้อมูลจากผู้นำธุรกิจและประชาชนทั่วไป กลุ่มละ 1,000 รายในประเทศไทย
การใช้ AI ในธุรกิจไทยแพร่หลาย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน
แม้การใช้ AI ในไทยจะแพร่หลายขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในระดับก้าวหน้า สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาการใช้ AI ให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศ โดย 72% ของธุรกิจยังใช้ AI เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการทำงาน มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ มีเพียง 18% ที่ใช้ในระดับกลาง และ 10% ที่ผสาน AI เข้าเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจ และโมเดลธุรกิจ
สตาร์ทอัพไทยมีความกระตือรือร้นและสร้างสรรค์ในการใช้ AI โดยนำ AI ขั้นสูงมาใช้เร็วกว่าบริษัทที่มีมานาน โดย 50% ของสตาร์ทอัพใช้ AI ในรูปแบบต่าง ๆ และ 40% กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มศักยภาพ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่แม้ 44% จะใช้ AI แต่มีเพียง 16% ที่สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ด้วย AI และ 18% ที่มีกลยุทธ์ AI ครอบคลุม ส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 32% นำ AI มาใช้ แต่มีเพียง 9% ที่ใช้ในระดับก้าวหน้าที่สุด ช่องว่างด้านนวัตกรรม AI นี้อาจส่งผลสำคัญต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
นิค บอนสโตว์ (Nick Bonstow) ผู้อำนวยการบริษัท สแตรนด์ พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า “นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในประเทศไทย จากผลการศึกษาพบว่า แม้ 32% ของธุรกิจจะรายงานว่าได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงใช้งานอยู่ในระดับพื้นฐานเท่านั้น ทั้งที่ในปีที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลายและรวดเร็ว ในขณะที่สตาร์ทอัพซึ่งมีความคล่องตัวสูงกำลังก้าวล้ำหน้าทั้งบริษัทขนาดใหญ่และ SME ทั้งในแง่ความเร็วและความลึกของนวัตกรรม การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจ AI แบบ “สองระดับ” นี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เราไม่ควรพิจารณาเพียงตัวเลขการนำ AI มาใช้เท่านั้น เพราะอาจทำให้มองข้ามความท้าทายที่แท้จริงที่ธุรกิจไทยจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่
ช่องว่างด้านทักษะ AI และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการประยุกต์ใช้ AI ในวงกว้าง
ผลการศึกษาชี้ชัดว่า 47% ของธุรกิจในประเทศไทยระบุว่า การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI เป็นอุปสรรคหลักในการนำ AI มาใช้หรือขยายการใช้งาน แม้หลายธุรกิจจะมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ แต่กลับประสบปัญหาในการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศไทยและเป็นข้อจำกัดต่อการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการคาดการณ์ระบุว่า 61% ของตำแหน่งงานในอนาคตจะต้องการทักษะด้าน AI ในขณะที่มีเพียง 29% ของธุรกิจเท่านั้นที่เชื่อว่าพนักงานปัจจุบันมีความพร้อมด้านทักษะดังกล่าว
เมื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกของกฎระเบียบใหม่ที่มีต่อภาคธุรกิจ พบว่า 49% ของธุรกิจคาดหวังว่ากฎระเบียบด้าน AI จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้า และ 39% เห็นว่าจะนำไปสู่การพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่มีเสถียรภาพ สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ภาคธุรกิจได้จัดสรรงบประมาณ 27% เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดย 76% ของธุรกิจคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า
แนวทางการพัฒนานวัตกรรม AI ในอนาคต
ผลการศึกษาได้นำเสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการในการก้าวข้ามอุปสรรคและปลดล็อกศักยภาพของ AI ทั้งในบริษัทสตาร์ทอัพและองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการเกิดเศรษฐกิจแบบแบ่งแยก ได้แก่ การลงทุนและสร้างโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตด้วย AI การกำหนดกรอบกฎระเบียบที่ชัดเจน คาดการณ์ได้ และเอื้อต่อนวัตกรรมในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI อย่างลึกซึ้งในทุกภาคธุรกิจ และการเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการศึกษา รวมถึงการใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม เนื่องจาก 67% ของภาคธุรกิจระบุว่าจะมีแนวโน้มนำ AI มาใช้มากขึ้นหากภาครัฐเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
AWS เปิดตัว Asia Pacific (Thailand) Region ในเดือนมกราคม 2568 ด้วยเม็ดเงินลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานเต็มเวลากว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ GDP ของประเทศไทยถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2560 AWS ได้มุ่งพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลของประเทศไทยผ่านการฝึกอบรมด้านคลาวด์คอมพิวติ้งให้กับบุคลากรกว่า 100,000 คน ด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ AWS Skill Builder, AWS Educate, AWS Academy และ AWS re/Start รวมถึงโครงการในประเทศอย่าง “Tech for Digital Future” และ “AWS Skills to Jobs Tech Alliance” นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการ ในการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงทักษะสู่การจ้างงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI
คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า "ธุรกิจในประเทศไทยมีความตื่นตัวและมุ่งมั่น อย่างมากในการพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี AI โดยระดับการนำไปใช้ที่สูงสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดนี้ ชี้ให้เห็นว่ายังมีอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาการใช้งาน AI ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีด้าน AI ระดับโลก ทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขอุปสรรคที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญอยู่อย่างเป็นระบบ ทาง AWS ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการใช้งาน Generative AI อย่างแพร่หลาย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง"
รายงานของ Bain & Temasek คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ภายในปี 2070 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030 หรือประมาณ 5% ของ GDP รวมทั้งภูมิภาคเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ งาน Decarbonize Thailand Symposium 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2025 ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้นำจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสตาร์ทอัพกว่า 30 รายจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแสดงนวัตกรรม Climate Tech ที่พร้อมใช้งานจริง
ภายในงาน มี 5 สตาร์ทอัพน่าจับตามอง ที่มีแนวทางเฉพาะในการลดคาร์บอนและสร้างโลกที่ยั่งยืนพร้อมคำถามชวนคิดส่งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ คุณอยากเปลี่ยนให้มันเป็นอะไร”
![]()
Helical Fusion สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นที่มุ่งไปถึงการสร้าง ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นพลังงานสะอาดสูงสุดแห่งอนาคต
“เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเหมือน ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นผลิตพลังงานแห่งอนาคต” Takaya Taguchi ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Helical Fusion เริ่มเล่าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันที่บริษัทกำลังพัฒนา เพื่อเป็นแหล่งพลังงานอนาคตที่ไม่ปล่อยคาร์บอน ไม่มีของเสียกัมมันตรังสีระดับสูง และใช้แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงอันอุดมสมบูรณ์จากน้ำทะเล จุดเด่นคือการใช้เตาปฏิกรณ์แบบ Helical Stellarator ซึ่งควบคุมพลาสมาด้วยขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเกลียวคู่ที่สร้างสนามแม่เหล็กแรงสูงช่วยให้เดินเครื่องได้ต่อเนื่อง ปลอดภัย และบำรุงรักษาได้ง่าย บริษัทตั้งเป้าสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานฟิวชันแบบ steady-state แห่งแรกของโลกให้แล้วเสร็จภายในปี 2034 และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงทศวรรษ 2040
แม้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและการยอมรับในระดับนานาชาติ แต่ Helical Fusion ยังคงมองหาเงินทุนเพิ่มเติมกว่า 300–400 ล้านดอลลาร์เพื่อเดินหน้าโครงการให้ถึงเป้าหมาย โดยเริ่มขยายความร่วมมือมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของการใช้พลังงานสะอาด
หากเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ Takaya บอกว่า “คาร์บอนเป็นพลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติมายาวนาน แต่ตอนนี้ ผมเชื่อว่าถึงเวลาที่จะจินตนาการใหม่ให้มันกลายเป็นสื่อแห่งการแสดงออกของมนุษย์ ด้วยพลังงานฟิวชัน เรากำลังเปิดประตูสู่อนาคตที่ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญคาร์บอนอีกต่อไป ปลดปล่อยมันให้กลายเป็นแหล่งของความสร้างสรรค์แทน”
![]()
CHOSEN กับเทคโนโลยีบริหารจัดการพลังงาน เพื่อ EV Ecosystem ที่พร้อมรองรับอนาคต
ในยุคที่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตอย่างก้าวกระโดด CHOSEN สตาร์ทอัพสัญชาติไทยจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อมรองรับการชาร์จจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ ใน 2 ด้าน คือ หนึ่ง พัฒนาแพลตฟอร์มจัดการสถานีชาร์จ EV ที่รองรับอุปกรณ์หลากหลายแบรนด์และจัดการผ่านระบบเดียวได้ง่าย และ สอง พัฒนาเทคโนโลยีควบคุมโหลดการชาร์จไฟฟ้า ช่วยลดความเสี่ยงของไฟฟ้าดับจากการใช้ปริมาณไฟเกิน โดยไม่ต้องลงทุนหม้อแปลงใหม่ “เราทำหน้าที่เหมือนคนจัดการจราจรของพลังงานไฟฟ้า” วรพจน์ รื่นเริงวงศ์ ผู้ก่อตั้ง CHOSEN กล่าว
นอกจากนี้ CHOSEN ยังมองไกลถึงระบบนิเวศของพลังงานในระดับภูมิภาค โดยมีแผนเชื่อมโยงการบริหารพลังงานข้ามประเทศในอาเซียน เพื่อรองรับอนาคตที่ผู้คนสามารถขับรถ EV ข้ามพรมแดนได้ ปัจจุบันได้มีการทดลองระบบร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดพลังงานได้สูงสุดถึง 70% พร้อมเริ่มขยายไปยังลาว มาเลเซีย และเวียดนาม หลังคว้ารางวัลนวัตกรรมจากหลายเวทีระดับนานาชาติ
วรพจน์ตอบคำถามชวนคิดทิ้งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนได้ ผมอยากให้กลายเป็นสิ่งที่สลายได้เองโดยไม่กระทบใคร ไม่ต้องเป็นภาระให้โลก”
![]()
Continewm นวัตกรรมญี่ปุ่นที่ช่วยให้แอร์เย็นเร็ว ประหยัดไฟ และลดคาร์บอนในขั้นตอนเดียว
“นี่คือนวัตกรรมที่ชาญฉลาดมากๆ อย่างที่คนญี่ปุ่นเท่านั้นที่สามารถคิดค้นได้” Thomas GAL ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Continewm กล่าวถึง นวัตกรรมแผ่นกรองอากาศเซรามิกฝังรังสีอินฟราเรดที่จดสิทธิบัตรจากญี่ปุ่น ซึ่งเพียงติดตั้งกับเครื่องปรับอากาศก็สามารถลดพลังงานได้ทันที “เมื่ออากาศไหลผ่านตาข่ายนี้ จะเกิดสองปฏิกิริยาคือ หนึ่ง ฟอกอากาศด้วยประจุลบ ช่วยลด PM 2.5 และ PM 10 และ สอง ช่วยประหยัดพลังงานจากการแตกโมเลกุลน้ำในอากาศให้เล็กลง เพิ่มพื้นที่สัมผัสกับคอยล์เย็น ทำให้เครื่องปรับอากาศเย็นเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง” Thomas อธิบาย พร้อมเสริมว่าบริษัทพิสูจน์ผลลัพธ์จากการวัดค่าการใช้พลังงานก่อน–หลังอย่างเป็นระบบ
เทคโนโลยีแผ่นกรองนี้เริ่มใช้ในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2011 และขยายสู่ไทยในปี 2015 โดยใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ ตั้งแต่โรงแรม โรงงาน สถานทูต ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ ยุโรป และสหรัฐฯ Thomas เชื่อว่าแนวทางสู่ Net Zero ต้องเริ่มจากการร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายมากกว่าการแข่งขัน โดยเน้นว่าการลดคาร์บอนต้องผนึกกำลังทำไปด้วยกันทั่วโลก เพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศนั้นไม่มีพรมแดน และหากเปลี่ยนคาร์บอนได้ Thomas อยากให้คาร์บอนเกลายเป็น ‘เพชร’ “เพราะเพชรคือคาร์บอนที่ผ่านแรงอัดมหาศาล เหมือนเป็นการเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นสิ่ง หรือเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้นั่นเอง”
LOCOL สตาร์ทอัพไทยที่เปลี่ยนโกโก้ตกเกรดให้เป็นอาหารวัวลดมีเทน เพื่อปศุสัตว์ที่อยู่ร่วมกับโลกได้
เพราะวงการปศุสัตว์ปล่อยก๊าซมีเทนในปริมาณมหาศาล และมีเทนคือก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่าในช่วง 20 ปีแรกที่อยู่ลอยในชั้นบรรยากาศ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ LOCOL พัฒนาอาหารเสริมสำหรับวัวที่สกัดจากผลโกโก้ตกเกรดเหลือทิ้งในประเทศไทย โดยมีการวิจัยรับรองว่าสามารถลดการปล่อยมีเทนจากระบบย่อยของวัวได้ถึง 44.52% “ที่สำคัญคือ โกโก้เหล่านี้ไม่ต้องปลูกเพิ่ม และไม่เพิ่มคาร์บอนฟุตพรินต์” หทัยธนิต ธงทอง ผู้ร่วมก่อตั้ง LOCOL อธิบายเพิ่มเติม ปัจจุบัน LOCOL มีผลิตภัณฑ์สองรูปแบบให้เกษตรกรเลือกใช้ คือ คือ Pre-Mix (ผสมในอาหาร) และ Lick Block (ก้อนแร่ธาตุให้วัวเลีย) โดยเริ่มจากการทดลองในจังหวัดน่าน และเตรียมขยายสู่พื้นที่อื่นในไทย
แม้ยังเป็นทีมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่ LOCOL มีเป้าหมายไกลกว่าการลดก๊าซมีเทน พวกเขาอยากเปลี่ยนวิธีคิดของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในประเทศเขตร้อนผ่านโมเดลธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้จากท้องถิ่น และเตรียมวางระบบเก็บข้อมูลเพื่อรองรับการเคลมคาร์บอนเครดิตในอนาคต พร้อมต่อยอดไปยังภูมิภาคอื่นที่มีของเสียคล้ายกัน
ถ้าสามารถเปลี่ยน “คาร์บอน” ให้เป็นอะไรก็ได้ หทัยธนิตอยากให้เปลี่ยนเป็น “เม็ดเงิน เพื่อนำไปลงทุนในโซลูชันดีๆ ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนให้หายไป”
![]()
VEKIN กับการเปลี่ยนคาร์บอนให้ตรวจสอบได้ด้วย AI และบล็อกเชน สู่การลดคาร์บอนที่ยั่งยืน
VEKIN คือสตาร์ทอัพไทยสาย Deep Tech ที่เริ่มต้นจากการเป็น ผู้ทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ก่อนต่อยอดพัฒนาแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI และบล็อกเชน เพื่อเปลี่ยนข้อมูลการปล่อยคาร์บอนที่ซับซ้อนให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริง “จากที่มีเอกสารหรือกระบวนการที่ซับซ้อน เราก็ใช้ AI มาทำงานซ้ำๆ แทน เพื่อประหยัดเวลา และช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ เข้าถึงการวัดคาร์บอนได้ง่ายและสะดวกขึ้น” วณัส คะเนเร็ว Business Development Manager ของ VEKIN กล่าว พร้อมเสริมว่าระบบทั้งหมดถูกออกแบบให้ปลอดภัยตามมาตรฐาน ISO เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้
นอกจากนี้ VEKIN ยังพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลที่ทำให้การลดคาร์บอนกลายเป็นเรื่องของทุกคน ตั้งแต่ CERO Carbon Wallet ที่เปรียบเหมือนกระเป๋าสตางค์สำหรับเก็บเครดิตคาร์บอนส่วนบุคคล ไปจนถึง Carbon Receipt ที่ยืนยันการชดเชยคาร์บอนในงานอีเวนต์ด้วยบล็อกเชน ล่าสุดยังพัฒนาฟีเจอร์ที่ให้ผู้ร่วมงานอีเวนต์สแกน QR Code เพื่อเลือกวิธีเดินทางและชดเชยคาร์บอนได้แบบเรียลไทม์
“ต่อไปเวลาคุณซื้อสนีกเกอร์ คุณอาจไม่ได้ดูแค่ดีไซน์หรือความสบาย แต่อาจอยากรู้ด้วยว่ารองเท้าคู่นี้ปล่อยคาร์บอนกี่กิโล” วณัสกล่าว ก่อนตอบคำถามทิ้งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนได้ อยากให้มันกลายเป็นเครดิตที่ตรวจสอบได้ เพราะทุกการกระทำควรมีข้อมูลรองรับเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน”
Thailand Fast Track ทางด่วนสตาร์ทอัพและนักธุรกิจต่างชาติลงทุนในประเทศไทย หนึ่งในความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่น่าลงทุน ผ่านการผนึกพลังกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เติมเต็มทุกความต้องการของสตาร์ทอัพและนักลงทุนจากทุกทวีปทั่วโลกที่จะเข้ามาลงทุนและประกอบกิจการในไทย ปิดช่องว่าง ลดอุปสรรคและความท้าทายในการเข้ารับบริการต่างๆ ในไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ทั้งบริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย ตอบโจทย์การเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ เปิดให้บริการแก่สตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างชาติแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย ผสานระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค และความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม
พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track: Attracting Global Community, Accelerating Thailand’s Growth สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เร่งเพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย โดยมีการแสดงวิสัยทัศน์จากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ตลอดจนการเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ จากผู้แทนสถานเอกอัครราชฑูตสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และลักเซมเบิร์ก พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นเกียรติในงาน
ทรู มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ
นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึง ความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขับเคลื่อนประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่ยุดดิจิทัล ผ่านทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยได้สรรหาทรัพยากรให้กับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน เพื่อสนับสนุนการเติบโตและประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมา ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอมานานกว่า 6 ปี เราได้ทำงานร่วมกัน เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถและธุรกิจระดับโลก สร้างเครือข่ายชุมชนเทคโนโลยีที่มีการขับเคลื่อนมากที่สุดในประเทศไทย สำหรับงาน Thailand Fast Track นี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ ทั้งยังได้เปิดตัว TDPK International Service Center ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งการจัดตั้งธุรกิจ บริการวีซ่า และสนับสนุนด้านการลงทุน และในฐานะตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบีโอไอสำหรับวีซ่าพํานักระยะยาวในประเทศไทย จะช่วยทำให้ธุรกิจดำเนินการได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้น
บีโอไอ กรุยทางดึงสตาร์ทอัพลงทุนในไทย

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงประเทศไทย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า ระบบนิเวศสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสตาร์ทอัพและนักลงทุนทั่วโลก มีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ ได้แก่
· ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงตลาดที่สำคัญอย่างอาเซียน จีน และ อินโด-แปซิฟิก รวมถึงมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
· บุคลากรที่มีทักษะสูง ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาระดับโลก
· นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ มาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพจากบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคล และ การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ และโครงการ Startup Matching Fund ที่ให้
เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 50 ล้านบาทต่อสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Global Talent Attraction ผ่านวีซ่าพิเศษสำหรับสตาร์ทอัพ ทั้ง Long-Term Residence (LTR) Visa และ Smart Visa ทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ด้วยการร่วมมือกับภาคการศึกษาต่าง ๆ ปรับหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ วิศวกรรมศาสตร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชนต่าง ๆ รวมถึงได้แต่งตั้งให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์สนับสนุนการขอวีซ่าและการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ และเสริมสร้างการเติบโตของสตาร์ทอัพและระบบนิเวศเทคโนโลยีของประเทศ"
ญี่ปุ่นเน้นพัฒนาบุคลากร ควบคู่กับธุรกิจที่เติบโตไปกับคนไทย
Mr. Kajiwara Toru, Minister and Chief of the Economic Section Embassy of Japan ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยว่า มีบริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยมีกลยุทธ์ที่ต้องการเติบโตไปด้วยกันกับคนไทย และให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมสําหรับนักพัฒนาแรงงานไทย รวมถึงร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งยังชี้ให้เห็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ ปัญหามลภาวะทางอากาศ รวมถึงกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ (Decarbonization) ซึ่งรัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังให้ครบทุกมิติ พร้อมย้ำว่า เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของไทย ทั้งยังเป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืน และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือบทบาทของคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
สหราชอาณาจักร ชื่นชมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยที่แข็งแกร่ง

Mr. Zak Lawton, Frist Secretary Technology & Head of Investment Embassy of the United Kingdom
กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยว่า สหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี มีความร่วมมือในด้านต่างๆ มากมาย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดธุรกิจด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เช่นปัญญาประดิษฐ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสหราชอาณาจักรมีโครงการที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานและส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการลดการใช้กระดาษและขั้นตอนต่างๆ เปลี่ยนไปใช้ระบบข้อมูลดิจิทัล อาทิ การจัดเก็บ การสืบค้น รวมไปถึงการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเสนอแนะเรื่องการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อช่วยให้การค้าและการลงทุนดำเนินการได้ง่ายมากขึ้น
ลักเซมเบิร์ก มองไทยโดดเด่นทั้งเทคโนโลยีทางการเงินและการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน
Mr. Eric Lauer, Trade and Investment Advisor, Embassy of Luxembourg กล่าวว่านโยบายหลาย ๆ ด้านที่ไทยกำลังดำเนินการเป็นไปในทิศทางที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขั้นตอนทางกฎระเบียบให้คล่องตัวมากขึ้น หรือการลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ อีกทั้งประเทศไทยยังมีความโดดเด่นมากใน 2 ด้าน ได้แก่ ความมุ่งมั่นของประเทศในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และ การเติบโตของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มี Sustainability Linked Bonds หรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน พร้อมกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการ ASEAN Startup Exchange ระหว่างลักเซมเบิร์กและอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพในแต่ละประเทศได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TDPK International Service Center สามารถดูได้ที่ https://www.truedigitalpark.com/business-service
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพ ล่าสุดผนึกพลังกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เสริมแรงดึงดูดชาวต่างชาติเข้าลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ด้วยบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบทุกความต้องการด้านการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ผ่าน TDPK International Service Center เริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก พร้อมโอกาสสร้างธุรกิจเติบโตได้เร็วตามเป้าหมาย ครอบคลุมบริการสำคัญๆ ทั้งเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาว กระตุ้นชาวต่างชาติที่มีความมั่งคั่งและมีทักษะสูงเข้าสู่ประเทศไทย พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย ตอกย้ำศักยภาพความพร้อมเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มอาเซียนที่น่าลงทุน
รายงานของ ASEANstats เปิดเผยมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน พบว่า ประเทศไทยรั้งท้ายอยู่อันดับ 6 และมีอัตราการเติบโตลดลงต่อเนื่อง ในปี 2567 ที่ผ่านมา FDI ของประเทศไทยมีมูลค่าราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2566 ที่มีมูลค่า 11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคอาเซียนยังคงน่าลงทุนและมีเม็ดเงิน FDI เติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศ ประเทศไทยจึงต้องเร่งส่งเสริมการลงทุน รวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการลงทุนของชาวต่างชาติในอาเซียน หากชาวต่างชาติหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน จะไม่มีการลงทุนใหม่ๆ เข้ามา ส่งผลให้การจ้างงานในประเทศลดลง และกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอ มานานกว่า 6 ปี เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งในการดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้รับการแต่งตั้งจากบีโอไอ ให้เป็นตัวแทนที่ได้รับการรับรอง (Certified Agent) ให้ดูแลชาวต่างชาติในการยื่นขอวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) และผู้ให้บริการด้านการสนับสนุนการเข้าสู่ตลาดประเทศไทย โดยได้จัดตั้ง
TDPK International Service Center เป็นศูนย์บริการแบบครบวงจรทั้งเพื่อธุรกิจและการพำนักในประเทศไทย ที่ผ่านมา เราสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติให้ได้รับการอนุมัติวีซ่า SMART “S” Visa มากกว่า 100 ราย จาก 32 สัญชาติ เพื่อประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ดิจิทัล การเงิน ความบันเทิง และการศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนมากมาจากทวีปเอเชียและยุโรปตามลำดับ รวมถึงดูแลให้นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงได้รับวีซ่าพำนักระยะยาวแล้วกว่า 50 ราย จาก 15 สัญชาติ และมีบริษัทต่างชาติในระบบนิเวศของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค มากกว่า 300 บริษัท ผ่านโปรแกรม Global Startup หรือเช่าพื้นที่สำนักงานและโคเวิร์คกิ้งสเปซ
การทำงานอย่างใกล้ชิดกับบีโอไอและนักลงทุนต่างชาติจากทุกทวีปทั่วโลก ทำให้เราเข้าใจความท้าทายที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญ โดยเฉพาะในด้านการเข้ารับบริการต่างๆ ในประเทศไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ ทำให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้ามาดำเนินธุรกิจและใช้ชีวิตในประเทศไทย
ระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค สามารถตอบโจทย์และลดอุปสรรคในการเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center เชื่อมโยงทุกความต้องการของนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งบริษัทเทคระดับโลก องค์กรเอกชนชั้นนำ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนผู้ประกอบการเทครุ่นใหม่และสตาร์ทอัพในแวดวงธุรกิจต่างๆ และให้บริการครบวงจรครอบคลุมทั้งบริการด้านกฎหมาย การเงิน การลงทุน บริการสนับสนุนทางธุรกิจ และอีกมากมาย จึงช่วยลดความยุ่งยากและประหยัดเวลาในการติดต่อขอรับบริการต่างๆ สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมได้ชัดเจน และที่สำคัญยังได้รับคำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับตลาดในประเทศไทย เปิดโอกาสใหม่ๆในการเริ่มต้นธุรกิจ

เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย
TDPK International Service Center ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย
1. บริการวีซ่า : ทรู ดิจิทัล พาร์ค สนับสนุนนโยบายของบีโอไอ โดยส่งเสริมให้ชาวต่างชาติสามารถมาพำนักในประเทศไทยในระยะยาวได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น วีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Residence Visa) บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ (Thailand Privilege Card) สมาร์ทวีซ่า (SMART Visa) สำหรับผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพ และ วีซ่านักท่องเที่ยว ประเภทพิเศษ (Destination Thailand Visa - DTV) ทั้งนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์คยังเป็นศูนย์ให้คำแนะนำเรื่องการ ตั้งถิ่นฐาน รวมถึงบริการให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพและประกันอีกด้วย
2. บริการด้านธุรกิจแบบครบวงจร : บริการดูแลเรื่องการปรึกษาด้านธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย และการหาเครือข่ายและนักลงทุนเพื่อเป็นหุ้นส่วนในอนาคต รวมไปจนถึงการเช่าออฟฟิศที่เป็นที่อยู่สำหรับการจัดตั้งบริษัท
3. เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต : บริการต่างๆที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้กับชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตในประเทศไทย เช่น ฟิตเนส สปา ร้านอาหาร และโรงเรียนนานาชาติ รวมไปถึงกิจกรรมสร้างเครือข่ายชุมชนชาวต่างชาติในประเทศไทยที่จัดขึ้นเฉพาะกลุ่ม เช่น ชมรมวิ่ง และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ
“ทรู ดิจิทัล พาร์ค ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนนี้ เรามุ่งมั่นที่จะดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติให้เข้าสู่ประเทศไทยผ่าน TDPK International Service Center เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2568 โดยเน้นนำเสนอบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจและนวัตกรรม พร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดึงดูด ผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เรามั่นใจว่า ความพยายามต่อเนื่องนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย ช่วยผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก” ดร.ธาริต กล่าวสรุป
โอเพ่นสเปซ (Openspace) กองทุนชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับการเติบโตของสตาร์ทอัพในประเทศไทย พร้อมเผยวิสัยทัศน์ของบริษัทเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทย มุ่งผนึกกำลังกับสถาบันต่าง ๆ ในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงผู้ร่วมลงทุน และชุมชนสตาร์ทอัพ เพื่อปลดล็อคศักยภาพของประเทศไทยในด้านเทคโนโลยีและส่งเสริมอีโคซิสเต็มที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
โอเพ่นสเปซ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2557 ปัจจุบันเป็นกองทุนชั้นนำที่บริหารจัดการเงินทุนเกือบ 30,000 ล้านบาท ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุม 6 ตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โอเพ่นสเปซ ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ลงทุนสำคัญในวงการเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพอย่างรวดเร็ว ด้วยการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมากกว่า 60 แห่งทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กุญแจสู่ความสำเร็จของโอเพ่นสเปซ คือการใช้ข้อมูลเชิงลึกและความเชี่ยวชาญระดับสูงของทีมงานเพื่อเสริมศักยภาพให้แก่บริษัทที่ได้เข้าลงทุนได้สร้างผลงานที่โดดเด่นพร้อมกับสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
โอเพ่นสเปซ ยังได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยและส่งเสริมอีโคซิสเต็มอย่างต่อเนื่อง ความมุ่งมั่นนี้สะท้อนให้เห็นได้จากบทบาทของ คุณณิชาภัทร อาร์ค ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของกองทุนโอเพ่นสเปซเวนเจอร์ส ซึ่งนอกจากบทบาทในกองทุนแล้ว ยังดำรงตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ ที่มุ่งส่งเสริมการเติบโตของประเทศไทย ได้แก่ บทบาทกรรมการสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Thai Venture Capital Association), สมาชิกคณะกรรมการของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management, Chulalongkorn University) และสมาชิกคณะกรรมการของสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล (Institute for Technology and Innovation Management, Mahidol University)

คุณณิชาภัทร อาร์ค ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กองทุนโอเพ่นสเปซ กล่าวว่า “โอเพ่นสเปซ ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ด้วยเงินลงทุนรวมเกือบหนึ่งพันล้านบาท เราภูมิใจในบริษัทสตาร์ทอัพไทยที่เราได้ลงทุนอย่างมาก เนื่องจากมีทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ทำอยู่ในเชิงลึกและสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างน่าพอใจ กองทุนของเรายังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย และมองหาโอกาสที่จะเพิ่มเงินลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับจุดแข็งของประเทศไทย เช่น การเงิน การแพทย์ การเกษตร การบริการและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ เรายังสนใจสตาร์ทอัพที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานทดแทนและการลดโลกร้อน เนื่องจากปัญหาใหญ่เช่นนี้จะต้องนำเทคโนโลยีมาแก้ไขถึงจะเห็นผลที่ชัดเจน”
พอร์ตโฟลิโอของโอเพ่นสเปซในประเทศไทยประกอบด้วย ฟินโนมีนา (Finnomena) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการลงทุนดิจิทัลชั้นนำของไทยที่มีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลเกือบ 50,000 ล้านบาท, เฟรชเก็ต (Freshket) ซึ่งจำหน่ายวัตถุดิบด้านอาหารแบบครบวงจรผ่านแพลตฟอร์มที่สะดวกต่อการติดตามในทุกขั้นตอน โดยปัจจุบันได้ให้บริการแก่ธุรกิจร้านอาหารกว่า 20,000 แห่ง และมีอัตราการเติบโตถึง 10 เท่าในระยะเวลาเพียง 4 ปี นอกจากนี้ ยังมีอบาคัส ดิจิทัล (Abacus Digital) ผู้ให้บริการสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันมันนี่ทันเดอร์ (MoneyThunder) ที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางการเงินด้วยเทคโนโลยี AI ให้กับกลุ่มคนที่หลากหลาย โดยเฉพาะคนที่ต้องใช้เงินกู้นอกระบบ ปัจจุบัน มีผู้สนใจสมัครสินเชื่อกับมันนี่ทันเดอร์ สูงถึง 200,000 รายต่อเดือน โดยมียอดดาวน์โหลดแอปแล้วกว่า 20 ล้านครั้ง ยอดปล่อยสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง โดยมี NPL ต่ำกว่าตลาดถึง 3 เท่า อบาคัส ดิจิทัลได้รับการจัดให้อยู่ใน Forbes Asia 100 to Watch โดยนิตยสาร Forbes เมื่อปีที่แล้ว โดยมีการคัดเลือกสตาร์ทอัพจากผู้สมัครทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 13 ประเทศ

คุณเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง กลุ่มบริษัท ฟินโนมีนา กล่าวถึงความร่วมมือกับโอเพ่นสเปซ และการสนับสนุนที่ช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับฟินโนมีนาอย่างต่อเนื่อง ว่า “โอเพ่นสเปซ เวนเจอร์ส ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักลงทุน แต่เป็นพันธมิตรที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของฟินโนมีนา ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โอเพ่นสเปซช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับการสร้างแบรนด์ การสร้างกลยุทธ์เพื่อกระจายประเภทสินทรัพย์ และการวางแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจ นอกเหนือจากเงินทุนแล้ว ทีมงานของโอเพ่นสเปซ ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อความสำเร็จของฟินโนมีนา โดยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์และให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญกับธุรกิจของเราในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสรรหาบุคลากรไปจนถึงการวางกลยุทธ์”
โอเพ่นสเปซยังคงมุ่งมั่นผลักดันอนาคตสตาร์ทอัพของประเทศไทย และในการก้าวเข้าสู่ปี พ.ศ. 2568 นี้ บริษัทพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่มีความมุ่งมั่นเดียวกันในการขับเคลื่อนการเติบโตที่มั่นคง และผลักดันนวัตกรรมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมต่อประเทศไทย โดยผู้ที่สนใจหรือต้องการหารือเกี่ยวกับโอกาสในการร่วมมือกับโอเพ่นสเปซ ในประเทศไทย สามารถติดต่อได้ที่อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.