November 22, 2024

บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จํากัด หรือ SBFT   หนึ่งในผู้นำอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณภาพให้กับคนไทยควบคู่กับการตอบแทนสิ่งดีๆ คืนกลับสู่สังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง (Giving Back to Society)

ล่าสุด มอบผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (BRAND’S) ให้กับโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ ภายใต้โครงการ “สร้างสุขภาพดีไปกับแบรนด์” เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลและมูลนิธิ รวมไปถึงผู้พักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิ รวมมูลค่า 9,694,192 บาท

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ ตระหนักถึงภาระหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆที่ต้องทำงานกันอย่างหนักจึงได้ส่งมอบความปรารถนาดีทั้งในด้านกำลังใจและสุขภาพที่ดีให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุข ด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (BRAND’S) ให้กับโรงพยาบาล มูลนิธิ รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขต่างๆ มาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันแม้สถานการณ์โรคโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายแต่ก็ยังพบจำนวนผู้ป่วยอยู่ในหลายพื้นที่ บุคลากรทางการแพทย์และมูลนิธิต่างๆ ยังคงต้องทำหน้าที่กันอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด เพื่อเป็นการสานต่อค่านิยม ‘Giving Back to Society’ บริษัทฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ “สร้างสุขภาพดีไปกับแบรนด์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและส่งต่อกำลังใจให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ ตลอดจนผู้ป่วยพักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิ เดินสายมอบผลิตภัณฑ์ทั้งแบรนด์ซุปไก่สกัดสูตรต่างๆ ได้แก่ แบรนด์ซุปไก่สกัดสูตรต้นตำรับ ที่ช่วยเติมความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย เพิ่มความพร้อมให้กับบุคลากรที่ทำงานหนัก แบรนด์จูเนียร์ซุปไก่สกัดผสมนม ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยเพิ่มความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์แบรนด์กลุ่มต่างๆ เช่น แบรนด์เบอร์รี่พลัส ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงดวงตา เป็นต้น ให้กับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ (รพ.เด็ก) โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์การแพทย์กาญจนาฯ มหิดล และมูลนิธิเด็ก รวม 8 แห่ง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 199,456 ขวด คิดเป็นมูลค่ารวม 9,694,192 บาท ซึ่งบริษัทฯ มุ่งหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยพักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิมีสุขภาพและกำลังใจที่ดี เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งใหม่ๆ ในปีนี้ ไปด้วยกัน

ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ตอกย้ำจุดยืนการเป็น King of Essence นำเสนอคุณค่าสิ่งดีๆ จากธรรมชาติให้กับทุกคน

นายดรงค์ ถนอมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย ประเทศไทย จับมือ “สลัดแฟคทอรี่” ร้านสลัดที่เสิร์ฟความอร่อยจากเมนูเพื่อสุขภาพที่หลากหลายให้คนทานได้ทานผักจากแหล่งผลิตอาหารที่ดี ภายใต้งานบริหารงานโดยบริษัทกรีนฟู้ดแฟคทอรี่ นำโดย นายปิยะ ดั่นคุ้ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ภายใต้แคมเปญ “Gathering happiness moment” นำเสนอเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพรังสรรค์จากน้ำผักผลไม้ เข้มข้นจากผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” กลุ่มผลิตภัณฑ์จากผักผลไม้สกัด (BRAND’S Plant-based Essence) ได้แก่ แบรนด์ เบอร์รี่พลัส แบรนด์พรุนพลัส และแบรนด์แอคทีฟ 14 ในประสบการณ์รูปแบบใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ในช่วงเทศกาลปีใหม่

ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนวิสัยทัศน์ ‘Growing for Good’ หรือการเติบโตอย่างยั่งยืน และการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้หลักการ Gemba Focused ของบริษัทฯ ที่เน้นให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางเป็นหลักสำคัญด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ดีต่อสุขภาพ และมีคุณภาพให้กับผู้บริโภคชาวไทยที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น โดยบริษัทฯ เล็งเห็นถึงจุดยืนในการดำเนินงานของสลัดแฟคทอรี่ที่สอดรับกับแนวทางของบริษัทที่ต้องการมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภคจึงได้ร่วมกันส่งต่อคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายผ่านเมนูเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้สูตรพิเศษ 3 เมนู ที่ใช้ผลิตภัณ์ฑแบรนด์ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์เป็นส่วนผสมเพื่อให้ผู้บริโภคทั้งกลุ่มครอบครัว คนวัยทำงาน และคนรักสุขภาพ ได้ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆกับเครื่องดื่มที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายสูง ประกอบด้วย เมนู Super Duper Berry (ซูเปอร์ดูเปอร์เบอร์รี่) ราคา 135 บาท เมนู Banana & Prune (บานาน่าแอนด์พรุน) ราคา 115 บาท และเมนู Orange Active 14 (ออเรนจ์แอคทีฟโฟร์ทีน) 125 บาท

สามารถลิ้มลองเมนูเครื่องดื่มสูตรพิเศษทั้งสามเมนูได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 ที่ร้านสลัด แฟคทอรี่ 29 สาขา และการสั่งผ่านบริการเดลิเวอรีทุกช่องทาง

 บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จํากัด ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เดินหน้าสานต่อโครงการ “แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต 2566” (BRAND’S Young Blood 2023) ต่อเนื่องปีที่ 23 ภายใต้แนวคิด “Give Blood…Give Lives” ชวนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ ร่วมเป็น “ผู้ให้” ด้วยการเริ่มต้นบริจาคโลหิตสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยบริจาคโลหิต

พร้อมรณรงค์กระตุ้นให้ผู้ที่เคยบริจาคแล้วหันมาบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน รวมถึงจัดการประกวดแต่งเพลงสั้น และประกวดร้อง เต้น และลิปซิงค์ “TikTok Challenge” ชิงโล่พระราชทาน ทุนการศึกษา และรางวัลต่างๆ พร้อมจัดกิจกรรมโรดโชว์ และออกหน่วยรับบริจาคโลหิตไปยังสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ ตั้งเป้าโลหิตที่ได้รับบริจาคในโครงการฯ จำนวน 90,000 ยูนิตทั่วประเทศ

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “ภารกิจหลักในปี 2566 ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มุ่งมั่นจัดหาโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอ และมีคุณภาพสูงสุด โดยตั้งเป้าในการจัดหาโลหิตให้ได้ปีละประมาณ 2,500,000 ยูนิต เพื่อรองรับกับปริมาณการเบิกใช้โลหิตที่เพิ่มขึ้น 8-10% ทุกปี ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่า การบริจาคโลหิตยังไม่สม่ำเสมอ และมีบางช่วงเวลาที่โลหิตขาดแคลน เช่น ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการบริจาคโลหิตลดน้อยลงมาก ดังนั้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จึงจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายและภาคีร่วมในการรณรงค์ และประชาสัมพันธ์ชวนให้มีการบริจาคโลหิต เพื่อกระตุ้นให้มีผู้บริจาคโลหิตเพิ่มขึ้น และเพื่อจัดหาโลหิตคุณภาพให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในแต่ละปี รวมถึงจำเป็นต้องมีโลหิตสำรอง เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ต้องการใช้โลหิตอย่างเร่งด่วนอย่างน้อย 2-5 วัน”

“ในส่วนกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นผู้บริจาคโลหิตที่มีคุณภาพ คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีช่วงระยะเวลาการบริจาคโลหิตได้ยาวนานและยั่งยืนในอนาคต ซึ่งโครงการฯ มุ่งหวังให้เยาวชนมีความตระหนักถึงความสำคัญและรับรู้ถึงการบริจาคโลหิตว่า เป็นเรื่องที่จำเป็นและเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน รวมถึงสร้างจิตสำนึกการเป็น “ผู้ให้” แก่เยาวชนที่มีสุขภาพดีที่ยังไม่เคยบริจาคโลหิตได้เริ่มต้นเป็นผู้บริจาคโลหิตรายใหม่ รวมถึงรณรงค์กระตุ้นให้กลุ่มดังกล่าวบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาเป็นโลหิตสำรองคงคลังไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ตลอดจนยังเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนได้มีส่วนรับผิดชอบสังคมร่วมกัน ด้วยการรณรงค์การบริจาคโลหิตด้วยความสมัครใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ โดยในปีนี้ตั้งเป้าโลหิตที่ได้รับบริจาค จำนวน 90,000 ยูนิตทั่วประเทศ”

นางมธุวลี สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และอินโดไชน่า กล่าวว่า “บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินงานภายใต้ค่านิยม “Giving back to society” ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อตอบแทนสิ่งดีๆ คืนสู่สังคม ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมไทย บริษัทฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ “แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต” (BRAND’S Young Blood) ร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย และดำเนินโครงการฯ มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมาช่วงระหว่างปี 2563-2564 เราได้รับโลหิตจากการบริจาคภายใต้กิจกรรมรณรงค์ของโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 68,701 ยูนิต สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งการให้ของบรรดานิสิต นักศึกษา และเยาวชน ที่มีจิตอาสาอย่างแท้จริง นอกจากนี้เรายังได้มีการจัดกิจกรรมการประกวด BRAND’S Young Blood Game Creator ในหัวข้อ BRAND’S Young Blood Hero การสร้างสรรค์ผลงานเกมจากคอมพิวเตอร์ เสนอแนวคิด พร้อมภาพและเสียงประกอบสื่อสารการรณรงค์บริจาคโลหิต สร้างจิตสำนึก และความภูมิใจของการเป็น “ผู้ให้” โดยทีมของน้องๆ เยาวชนที่ชนะเลิศการประกวดผลงานเกมจากคอมพิวเตอร์ ได้แก่ทีม I am alone จากมหาวิทยาลัยรังสิต

สำหรับโครงการ “แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต 2566” (BRAND'S Young Blood 2023) ปีที่ 23 โครงการฯ ได้เตรียมออกหน่วยรับบริจาคโลหิตไปยังสถานศึกษาต่างๆ และจัดกิจกรรมโรดโชว์ เพื่อสร้างความรับรู้โครงการฯ ทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อให้กลุ่มนิสิตนักศึกษาได้ร่วมแสดงพลัง และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ โดยมีกิจกรรมหลัก ดังนี้

1. การประกวดแต่งเพลงสั้น ชวนบริจาคโลหิต ในหัวข้อ “Give Blood…Give Lives” เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาที่มีอายุระหว่าง 17-22 ปี ที่มีพรสวรรค์ ความรู้ ความสามารถด้านการแต่งเนื้อร้อง หรือทำนองเพลง ได้แสดงความคิดเชิงสร้างสรรค์ผ่านทางบทเพลงเชิญชวนเยาวชนคนรุ่นใหม่มาร่วมบริจาคโลหิต และรวมถึงสร้างจิตสำนึก และความภูมิใจของการเป็น “ผู้ให้” โดยผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศจะได้รับโล่พระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเกียรติบัตร และทุนการศึกษาจำนวน 30,000 บาท และผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดดื่มฟรีตลอดปี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมสามารถส่งผลงานด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม - 31 มีนาคม 2566 โดยโครงการฯ จะประกาศผลผู้ที่รับรางวัลในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566

2. การประกวดเต้น “TikTok Challenge” จากเพลงสั้น “Give Blood…Give Lives” ให้นิสิตนักศึกษาที่มีอายุระหว่าง 17-22 ปี ได้แสดงความสามารถด้วยลีลา ท่าทาง และความคิดสร้างสรรค์ สไตล์ที่เป็นตัวเอง เพียงแค่ร้อง เต้น หรือลิปซิงค์เพลง Give Blood…Give Lives ลงในแพลตฟอร์ม TikTok เพื่อเป็นสื่อชวนเชิญ และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มาร่วมบริจาคโลหิต โดยผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศจะได้รับเกียรติบัตร พร้อมทุนการศึกษาจำนวน 10,000 บาท และผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดดื่มฟรีตลอดปี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมสามารถกรอกใบสมัครเข้าร่วมการประกวดได้ที่ email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. เริ่มโพสต์ผลงานใน TikTok ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน 2566 โดยโครงการฯ จะประกาศผลผู้ที่ได้รับรางวัล วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566

นายภูศิลป์ วารินรักษ์ หรือเต๋า ศิลปินและนักร้องชื่อดังที่ร่วมรณรงค์โครงการฯ ในปีนี้ กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต’ อยากชวนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาร่วมกันทำความดี ด้วยการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และสำหรับน้องๆ ที่มีความสามารถด้านงานเพลง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลง หรือการร้องและเต้น ผมก็อยากเชิญชวนน้องๆ มาร่วมส่งผลงานประกวดแต่งเพลงสั้น และประกวดร้อง เต้น หรือลิปซิงค์ใน ‘TikTok Challenge’ เพราะนอกจากจะเป็นเวทีให้น้องๆ ได้ฝึกความสามารถให้เก่งยิ่งขึ้นแล้ว ผลงานของเรายังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ หันมาสนใจการบริจาคโลหิตเพื่อเป็นคลังสำรองในยามฉุกเฉินได้อีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ผมอยากส่งมอบความห่วงใย และชวนน้องๆ ร่วมกันบริจาคโลหิตได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย หรือหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศครับ”

ทั้งนี้ นิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการฯ บริจาคโลหิต และต้องการร่วมกิจกรรมต่างๆ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.blooddonationthai.com และ www.brandsworld.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายจัดหาผู้บริจาคโลหิตและสื่อสารองค์กร โทร. 02-255-4567, 02-263-9600 ต่อ 1743

หลังจากที่ “โครงการมิตซุยกุ ปีที่ 2” โดยซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ร่วมกับสถาบันการเรียนรู้ของคนทุกวัยจังหวัดระยอง (RILA) และ ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา EEC ได้เริ่มดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นใหม่เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของน้ำ ด้วยการจัดกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ได้แก่ กิจกรรม Train the Trainers ที่จัดขึ้นเพื่อจุดประกาย ‘คุณครู’ ให้ตระหนักและรับรู้ถึงปัญหาและความสำคัญของน้ำและธรรมชาตินำไปสู่การ ‘ออกแบบห้องเรียนสิ่งแวดล้อม’ เพื่อส่งต่อองค์ความรู้และแรงบันดาลใจให้กับเด็กนักเรียน กิจกรรมปฐมนิเทศ (Orientation) ที่จัดขึ้นเพื่อให้คุณครูและนักเรียนผู้เข้าร่วมได้แบ่งปันความรู้ พร้อมทั้งแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการดูแลรักษาน้ำให้ยั่งยืน ล่าสุด โครงการฯ เดินหน้าจัดกิจกรรม “แคมป์รักษ์น้ำ” ณ จังหวัดนครนายก เพื่อให้ครูและนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้เรียนรู้แหล่งกำเนิดน้ำ การใช้ประโยชน์จากน้ำและการอนุรักษ์น้ำจากประสบการณ์จริงพร้อมจัดกิจกรรมระดมความคิด ‘คืนสมดุลให้น้ำ คืนสมดุลให้โลก’ แชร์ไอเดียการส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้างมาร่วมกันดูแลแหล่งน้ำและธรรมชาติในชุมชนของตนเองให้ยั่งยืน

นางมธุวลี สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทยและ อินโดไชน่า กล่าวว่า “โครงการมิตซุยกุ คือ หนึ่งในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมที่ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลรักษาและส่งต่อองค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์แหล่งน้ำและทรัพยากรทางธรรมชาติ รวมถึงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อคำมั่นสัญญา “Mizu To Ikiru” ซึ่งแปลว่า “การมีชีวิตอยู่กับน้ำ” ซึ่งเป็นพันธกิจของเราในการสร้างความกลมเกลียวกับผู้คนและธรรมชาติเพื่อความยั่งยืน โดยการดำเนินโครงการมิตซุยกุ ปีที่ 2 เราได้ร่วมมือกับ ‘สถาบัน RILA’ และ ‘ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา EEC’ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานเป็นพันธมิตรที่ร่วมกันผลักดันให้โครงการฯ ดำเนินไปได้อย่างลุล่วงจนประสบผลสำเร็จ อีกทั้งในปีนี้เรายังไดัรับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นถึงความมุ่งมั่นของโครงการฯ ที่ต้องการกระตุ้นคนในพื้นที่ให้เกิดจิตสำนึกรักษ์น้ำ ช่วยตอกย้ำให้โครงการฯ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น และเป็นโครงการต้นแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้คนในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิต อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เปิดให้ผู้คนได้มาสัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อีกด้วย”

นายธงชัย มั่นคง ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้ของคนทุกวัยจังหวัดระยอง (RILA) กล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการมิตซุยกุในจังหวัดระยอง ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนในกลุ่มครูอาจารย์และเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม คือ ความตื่นตัวต่อเรื่องการศึกษาและเรียนรู้ความสำคัญของ 3 แหล่งน้ำสำคัญในจังหวัดระยอง โดยหลังจากจบโครงการฯ ทาง RILA ได้วางแผนที่จะรวบรวมองค์ความรู้มาพัฒนาเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ ‘ห้องเรียนสิ่งแวดล้อม’ ภายใต้โครงการแหล่งเรียนรู้พื้นที่ 3 ชุ่มน้ำ เพื่อส่งต่อให้กับเด็กนักเรียนและคนในพื้นที่ตามวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาของสถาบัน RILA ที่ต้องการเป็นกลไกจังหวัด จัดการศึกษาด้วยตนเอง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมดำเนินโครงการมิตซุยกุในพื้นที่จังหวัดระยอง ขอขอบคุณ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และ EEC ที่ได้ริเริ่มโครงการด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้ทางทฤษฎีเพียง อย่างเดียว แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้เกิดเรียนรู้จากบริบทในชีวิตจริงที่ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ถือเป็นการ บ่มเพาะคุณลักษณะที่ดีในการที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างกลไกและกระบวนการในการบ่มเพาะเด็ก และเยาวชนเรื่องการดูแลและอนุรักษ์แหล่งน้ำนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่มีความสมบูรณ์และเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น”

นายอเล็กซานเดอร์ ไซมอน เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) กล่าวว่า “EEC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการมิตซุยกุต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยในปีนี้ EEC ยังคงต้องการตอกย้ำให้ผู้ร่วมโครงการฯ ได้เรียนรู้ความสำคัญของสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ “น้ำ” ที่เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิต การจัดกิจกรรมแคมป์รักษ์น้ำภายใต้แนวคิว “Give Balance to the Water and the World: คืนสมดุลให้นํ้า คืนสมดุลให้โลก” ในครั้งนี้ เรามีความมุ่งหวังที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาการศึกษาแหล่งธรรมชาตินอกห้องเรียนให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยผ่านกิจกรรมหลากหลายแบบเพื่อให้คุณครูและนักเรียนได้เข้าใจถึงทรัพยากรน้ำอย่างครอบคลุม อาทิ กิจกรรมสายน้ำสร้างชีวิต กิจกรรมในห้องเรียนธรรมชาติ การเดินทางของสายน้ำ และสำรวจสิ่งมีชีวิตในสายน้ำ กิจกรรมกลุ่มระดมความคิดในหัวข้อ “Give Balance to the Water and the World: คืนสมดุลให้น้ำ คืนสมดุลให้โลก” เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนกลไกที่จะช่วยให้คุณครูและนักเรียนได้เรียนรู้และสัมผัสจุดกำเนิดของความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ซึ่งก็คือ แหล่งต้นน้ำ ตลอดจนการเดินทางของสายน้ำและการตรวจสุขภาพของน้ำที่ดี เพื่อต่อยอดในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการอนุรักษ์น้ำ เพื่อตอกย้ำและสร้างจิตสำนึกให้แก่ผู้เข้าร่วมได้นำข้อคิดและการลงมือปฎิบัติจริงไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”

ด้านคุณครูนุก – ศุภลักษณ์ ธรรมษา คุณครูจากโรงเรียนสาธิตเทศบาลนครระยอง (วัดตรีรัตนาราม) หนึ่งในคุณครูที่ได้เข้าร่วมแคมป์ “รักษ์น้ำ” บอกเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อโครงการว่า “การได้เข้าร่วมโครงการมิตซุยกุในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งตัวคุณครูและนักเรียนเอง ตั้งแต่กิจกรรม Train the Trainers ไปจนถึงเข้าแคมป์ “รักษ์น้ำ” ที่ได้เปิดโอกาสให้คุณครู และนักเรียนได้เรียนรู้ทั้งในแง่ของทฤษฎีและการปฎิบัติลงมือจริงในห้องเรียนธรรมชาติที่ช่วยให้นักเรียนได้ซึมซับความรู้จากการลงพื้นที่ ซึ่งทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรน้ำมากยิ่งขึ้น โดยตัวคุณครูเองได้เห็นถึงการพัฒนาทั้งในด้านศักยภาพและความคิดของเด็กๆ ที่เพิ่มมากขึ้นจากการระดมความคิดในหลากหลายแง่มุมซึ่งคุณครูคิดว่าการสร้างจิตสำนึกใน การอนุรักษ์น้ำในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดให้คุณครูนำองค์ความรู้ที่ได้รับมาไปถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ในโรงเรียน โดยเรามีความตั้งใจ ที่จะจัดตั้งกิจกรรมสำหรับนักเรียนในโรงเรียนในระยะยาวเพื่อที่จะกระจายความรู้ไปยังชุมชนและจังหวัดระยองของเราให้มีผืนน้ำที่อุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปได้ใช้น้ำอย่างยั่งยืน”

น้องม่อน – อัคคณัฐ ทิพย์เทียมรัตน์ ตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนสาธิตเทศบาลนครระยอง (วัดตรีรัตนาราม) เล่าถึงกิจกรรมครั้งนี้ว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นและสนุกมากครับที่ได้มีโอกาสมาเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในหลากหลายมุม โดยเฉพาะมุมที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน ได้มาเจอธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก แม่น้ำและสัตว์หลากหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าในจังหวัดนครนายก และจากที่ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมทำให้ผมเข้าใจและเห็นคุณค่า ความสำคัญของน้ำที่มีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มากยิ่งขึ้นครับ ผมได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกมีน้ำเป็นที่หล่อเลี้ยงเพื่อการดำรงชีวิต รวมถึงมนุษย์ที่ใช้ประโยชน์จากน้ำมากมายหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การทำการเกษตร หรือการใช้ในชีวิตประจำวัน กิจกรรมครั้งนี้ทำให้ผมเข้าใจและเห็นภาพคำว่า “No Water No Life” ชัดเจนขึ้นเลยครับ เราได้ทั้งความรู้จากพี่อเล็กซ์และครูผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาและได้ลงไปสำรวจ แหล่งน้ำในพื้นที่จริงอีกด้วย โดยก่อนจะจบกิจกรรมเข้าแคมป์ ผมได้ร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ เพื่อแชร์ไอเดียเกี่ยวกับการอนุรักษ์น้ำโดยการคัดแยกขยะ เพราะผมมองว่าปัญหาการเกิดน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่มากจากการทิ้งขยะและไม่คัดแยกขยะอย่างชัดเจนทำให้เกิดผลกระทบแก่ผู้คนมากมาย ผมจึงอยากรณรงค์และสร้างการอบรมให้ทุกคนคัดแยกขยะให้ถูกต้องเพื่อลดปริมาณน้ำเสีย โดยผมจะนำสิ่งที่เรียนรู้มาตลอดการเข้าร่วมกิจกรรมไปบอกต่อเพื่อนๆ ในโรงเรียนและครอบครัวให้ทุกคนเห็นคุณค่าของทรัพยากรน้ำและช่วยกันดูแลรักษาแหล่งน้ำเพื่อให้เด็กๆ อย่างพวกผมและทุกคนได้มีน้ำใช้กันนานๆ ครับ

แบรนด์ ซันโทรี่ ประเทศไทย ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย’

X

Right Click

No right click