

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล สร้างความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ให้กับวงการธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคที่โลกหมุนเร็วเศรษฐกิจหมุนตาม นอกจากเทคโนโลยีแล้ว ทรัพยากรที่สำคัญไม่แพ้กันคือกำลังคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์วางแผนด้านธุรกิจ ที่ปรึกษาในเวลาสำคัญ เพราะหากพลาดแม้แต่ก้าวเดียว นั่นหมายถึงการตกเป็นเหยื่อทางธุรกิจของปลาใหญ่ทันที
มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ร่วมกับ หอการค้าจังหวัดขอนแก่น และสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น จึงจัดเสวนาหัวข้อ “Sustainable Rise : 33 ปี KKBS ร่วมคิด ร่วมสร้าง สานพลังสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ในโอกาสครบรอบ 33 ปี แห่งการสถาปนาคณะฯ เพื่อเป็นการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น องค์ความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ จากภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน ถึงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกธุรกิจในยุคปัจจุบันและอนาคต โดยได้รับเกียรติจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ประธานเวทีเสวนา ร่วมด้วยคุณจักรกฤษณ์ ศิริพานิชย์ ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น คุณเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น โดยมีดร.นริสรา พาลุสุข รองคณบดีฝ่ายบริหารและภาพลักษณ์องค์กร คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา โดยมีนักศึกษา นักวิชาการธุรกิจและสื่อมวลชน ร่วมงานจำนวนมาก ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 1 อาคาร BS.01 คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี เผยว่า ไม่เพียงแต่พัฒนาวิสาหกิจชุมชนเท่านั้น แต่คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังเปรียบเสมือนคู่คิดของนักธุรกิจ ทั้งสมาชิกของหอการค้า สภาอุตสาหกรรมในจังหวัดขอนแก่น 33 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คณะฯ มีการพัฒนาสนับสนุนนักวิชาการ นักวิจัยด้านธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนตลอดจนสามารถเพิ่มมูลค่าธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากหลักหมื่นเป็นหลักแสน และหลักล้าน ถึงหลักร้อยล้าน
“เมื่อนักธุรกิจต้องการที่ปรึกษาทุกมิติ อาทิ การวิเคราะห์คู่ค้า การขายหุ้นบริษัท การทำบัญชี ฯลฯ ก็ล้วนแต่ให้คำปรึกษาอย่างครบถ้วน รอบด้าน คณะบริหารธุรกิจฯ มีการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้บางอย่างให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล ประกอบด้วยเครื่องมือด้านธุรกิจเพื่อสอดคล้องกับการตลาดสมัยใหม่ ในยุคที่มีการใช้ AI และประยุกต์เข้าไปในหลักสูตรให้นักศึกษา ส่งเสริมการคิดอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เครื่องมือ AI ในด้านบริหารธุรกิจใหม่ ๆ เราสามารถสร้างที่ปรึกษาในภาคธุรกิจที่ดีได้ ฉะนั้นการเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจของเรา ไม่หยุดนิ่งพร้อมผลักดันธุรกิจในจังหวัดขอนแก่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือและประเทศไทย พานักธุรกิจขยายไปสู่ลุ่มน้ำโขง ก้าวไปสู่อาเซียน และระดับโลก เราอยากเห็นนักศึกษาของเราเป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานของนักธุรกิจ ทำให้นักศึกษาของเราเติบโตพร้อมภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี กล่าว

ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี คณะฯ ได้ทุ่มเทในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง ได้รับรางวัลการันตีต่าง ๆ ทั้งในระดับชาติ และนานาชาติ ผ่านการประเมินคุณภาพ EdPEx หรือ โครงการนำเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศไปใช้ในการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในระดับ 300 คะแนน ซึ่งนับเป็นคณะแรกของกลุ่มคณะวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาบริหารธุรกิจของประเทศไทย และจากการจัดอันดับของสถาบัน SCIMAGO ในปี 2025 ประเภทสาขาวิชาด้าน BUSINESS, MANAGEMENT AND ACCOUNTING มหาวิทยาลัยขอนแก่น อยู่ในอันดับ 5 ของประเทศ และประเภทสาขาวิชา Economics, Econometrics and Finance อยู่ในอันดับ 4 ของประเทศ และนอกจากนี้ Times Higher Education (THE) องค์กรจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกจากสหราชอาณาจักร ได้จัดอันดับ World University Rankings 2025 by subject: business and economics สาขาด้านบริหารธุรกิจ และสาขาด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อยู่ในลำดับที่ 601-800 ของโลก และอยู่ในลำดับ 3 ร่วมของประเทศไทย โดยมีเพียง 8 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเท่านั้นที่ได้รับการจัดอันดับ ทั้งนี้ผลการจัดอันดับที่เกิดขึ้นนับเป็นผลงานที่ร่วมกันสนับสนุนและผลักดันของคณะ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี (KKBS) คณะเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ และคณะสหวิทยาการ

พร้อมกันนี้ คณะฯ ยังเป็นสมาชิกและอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเข้าสู่การรับรองมาตรฐาน AACSB (Association to Advance Collegiate Schools of Business) ซึ่งเป็นสถาบันรับรองมาตรฐานการศึกษาทางด้านบริหารธุรกิจและการบัญชีที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ การเป็นส่วนหนึ่งของ AACSB ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา การเรียนการสอน และงานวิจัยของคณะฯ ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับสากล
ทั้งนี้คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ก่อตั้งครั้งแรกในนาม “คณะวิทยาการจัดการ” เมื่อปี พ.ศ. 2535 จนถึงปี พ.ศ. 2559 ปีแห่งการเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี”เราเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดดเด่นด้วยหลักสูตรที่ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของศตวรรษที่ 21 ครอบคลุมสาขาวิชาสำคัญ พร้อมบูรณาการองค์ความรู้ทางธุรกิจกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาบัณฑิตที่มีทักษะรอบด้าน คิดสร้างสรรค์ และตอบสนองตลาดแรงงานยุคใหม่ ตามวิสัยทัศน์ “KKBS is a Premier Business School Focused on Industrial Integration for Sustainable Economic Development สถาบันบริหารธุรกิจชั้นนำที่มุ่งเน้นการบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรมร่วมกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน”

คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันการศึกษาที่บ่มเพาะนักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย ด้านการบริหารธุรกิจและการบัญชี ผนวกการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ นับเป็นกุญแจสำคัญในการนำพานักธุรกิจทั้งขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดใหญ่ ยกระดับขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคตะวันออกฉียงเหนือในทุกมิติ ไม่เพียงแค่อาเซียน แต่หมายรวมถึงเวทีโลก พร้อมขับเคลื่อนและผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัลให้เติบโตอย่างมั่นคงและก้าวสู่ระดับสากลอย่างยั่งยืน
มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดงานแถลงข่าวความสำเร็จของ โครงการวิจัย “Ugly Veggies Plus – การต่อยอดแบบจำลองธุรกิจบนพื้นฐานของเทคโนโลยี การตรวจสอบย้อนกลับและเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำ เพื่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการส่งออกของสินค้าอาหารอินทรีย์อย่างยั่งยืน” และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการ
รองศาสตราจารย์ ดร.ภาณินี นฤธาราดลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมและสังคมแห่งความยั่งยืน วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า “โครงการ Ugly Veggies Plus มุ่งแก้ไขปัญหาขยะอาหาร ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของโลกและประเทศไทย เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทำให้ทรัพยากรถูกใช้อย่างสูญเปล่า โครงการนี้ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนจากขยะอาหารให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ดินพร้อมปลูก โปรตีนบาร์สุขภาพ และหลอดพลาสติกย่อยสลายได้ ซึ่งช่วยลดปริมาณของเสียและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์ เพื่อให้เป็นเศรฐกิจหมุนเวียนและเป็น Zero Waste อย่างแท้จริง”
นอกจากนี้ โครงการยังได้พัฒนาเทคโนโลยี Blockchain Traceability เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบจากขยะอาหาร สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค รวมถึงใช้ Life Cycle Assessment (LCA) และ Carbon Footprint เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ และพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โครงการของเรายังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเครือข่ายเกษตรกร ผู้ประกอบการ และภาคอุตสาหกรรม โดยสามารถสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์นำร่องกว่า 1.33 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี อีกทั้งยังขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการกว่า 100 ราย ที่นำแบบจำลองของโครงการไปปรับใช้ในเชิงพาณิชย์”
ผลการวิจัยของโครงการ Ugly Veggies Plus แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาโมเดลธุรกิจเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่สามารถนำไปใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากขยะอาหารที่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ การออกแบบระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสร้างมาตรฐานและความโปร่งใสในอุตสาหกรรม การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมผ่าน LCA และ Carbon Footprint ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัย เกษตรกร และผู้ประกอบการ เพื่อขยายผลแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์
ภายในงานแถลงข่าวมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการ และจัด Business Talk เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีและแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนไปปรับใช้ในระบบการผลิตจริง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์อย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในตลาดโลก
โครงการ Ugly Veggies Plus จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำ ที่สามารถต่อยอดไปสู่ระบบนิเวศทางธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์ของประเทศไทยในระยะยาว
คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ร่วมกับ บริษัท พัทยา เอวิเอชั่น จำกัด ณ ลาน Pattaya Connect Space อาคารคอสโม ออฟฟิศพาร์ค ชั้น 8 โดยภายในพิธีได้รับเกียรติจากผู้บริหารทั้งสองหน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์สุทธิ พื้นแสน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี พร้อมด้วย ดร.พงศ์พันธุ์ ศรัทธาทิพย์ รองคณบดีฝ่ายอุตสาหกรรมสัมพันธ์และความยั่งยืน ดร.ชิชาญา เล่ห์รักษา ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และนายรชรินทร์ เปี่ยมชาโต รองประธานกรรมการ บริษัท พัทยา เอวิเอชั่น จำกัด พร้อมด้วย นางไปรยา ณ รังสี ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล นางจุฑารัตน์ จุฑามาศ ผู้จัดการแผนกสนับสนุนปฏิบัติการทรัพยากรบุคคล และบุคลากรจากทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้

ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือนี้ เป็นการส่งเสริมการศึกษาและการฝึกปฏิบัติงานที่ช่วยให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์ตรง และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทักษะวิชาชีพให้นักศึกษาเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน นอกจากนี้ บริษัท พัทยา เอวิเอชั่น จำกัด จะให้การสนับสนุนการฝึกปฏิบัติงานแก่นักศึกษาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือน พร้อมออกหนังสือรับรองการฝึกงาน และเปิดโอกาสการจ้างงานให้แก่นักศึกษาที่มีผลการฝึกปฏิบัติงานในระดับที่ดี มีความรู้ความสามารถ และมีคุณสมบัติตรงกับตำแหน่งงานที่เหมาะสม ในขณะที่คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะดำเนินการจัดส่งนักศึกษาเข้าฝึกงานและติดตามผลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งค้าปลีก แม็คโคร-โลตัส ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเดินหน้านโยบายสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ “เปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์” โดยนำอาหารส่วนเกินจากสาขาแม็คโครและโลตัสทั่วประเทศ มอบให้เกษตรกรเพื่อนำไปใช้เพาะเลี้ยงแมลงโปรตีน (Black Soldier Fly – BSF) ในการลดขยะอาหารสู่เป้าหมาย Zero Food Waste ภายในปี 2573
โครงการนี้มีความมุ่งมั่นที่จะลดการสูญเสียอาหารและลดปริมาณขยะอาหารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี แอ็กซ์ตร้า กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ซีพี แอ็กซ์ตร้า มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) เราร่วมกับพันธมิตรอย่างมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ BEDO เพื่อนำอาหารส่วนเกินจากสาขากว่า 230 แห่งไปให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงแมลงโปรตีน ซึ่งช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ได้ถึง 50% อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากปุ๋ยที่ได้จากมูลหนอนและซากแมลงอีกด้วย”
![]()
นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาขยะอาหารที่ยั่งยืน ช่วยเกษตรกรลดต้นทุน และส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในพิธีมีบุคคลสำคัญจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ BEDO ร่วมงานด้วย
ซีพี แอ็กซ์ตร้าคาดหวังว่าโครงการนี้จะไม่เพียงลดขยะอาหารเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายโอกาสทางธุรกิจและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและเกษตรกรทั่วประเทศอีกด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมสายสุรี จุติกุล มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายสุรพล เพชรวรา อุปนายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้สัมภาษณ์ว่า มหาวิทยาลัยมีนโยบายส่งเสริมการถ่ายทอด Technical Khow How จากมหาวิทยาลัย ไปสู่ภาคเอกชน เพื่อนำออกสู่อุตสาหกรรม ด้วยการทำวิจัยและพัฒนาสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องใช้องค์ความรู้ชั้นสูง พร้อมทั้งออกแบบและผลิตเครื่องจักรที่ต้องใช้ในอุตสาหกรรมนั้นให้กับภาคเอกชนที่ต้องการนำไปผลิตและทำการตลาด เพราะเราเชื่อว่าภาคเอกชนมีความชำนาญมากกว่าที่เราจะทำเองทุกอย่าง
มากไปกว่านั้น มหาวิทยาลัยได้มุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดงานวิจัยและพัฒนาไปสู่ระดับโลก เราจึงได้คัดเลือกผู้ประกอบการประเทศมาเลเซียมาร่วมทุนก่อตั้ง Holding company ปุ๋ยน้ำนาโนซึ่งเป็นการถือหุ้นระหว่าง Lily Pharma จำนวนหุ้น 40% กับ Einstein Nanoscience Sdn. Bhd. จำนวนหุ้น 60% โดยจะตั้งโรงงานผลิตที่รัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย

แนวคิดนี้จะทำให้ทางเราเน้น R&D ของปุ๋ยน้ำนาโนและผลิตเครื่องจักรเป็นหลัก ส่วนทางมาเลเซียจะเน้น เรื่องการผลิตและขยายการลงทุนไปประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ เพราะเราเชื่อว่าทีมงานของเขาสามารถพูดและเขียนได้ดีทั้ง มาเลย์ จีน และอังกฤษ ซึ่งจะทำให้สามารถจัดหาบุคลากรที่มีความพร้อมในการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาก็คือจะทำให้มหาวิทยาลัยนำผลงานวิจัยออกสู่ตลาดโลกได้อย่างจริงจัง
ทางด้าน รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวถึงนโยบายการตั้งStartup แนวใหม่ เพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าแบบเดิมว่า เราคัดเลือกบริษัทเอกชนที่มีความสามารถในด้านการจัดการและเข้าใจในเทคโนโลยี เช่น Biotech โดยการจัดตั้ง Holding company ที่ บ. มิสลิลลี่ จำกัด ถือหุ้น 51% มหาวิทยาลัยถือหุ้น 49% โดย Holding company นี้ จะไปจัดตั้งบริษัท Startup เพื่อดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์และจัดตั้งห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยโดยมีนักวิจัยที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกเป็นผู้ทำงานวิจัยตั้งแต่ต้นจนออกสู่ผลิตภัณฑ์ ส่วนมหาวิทยาลัยมีบทบาทในการสนับสนุน ให้คำปรึกษาพร้อมอำนวยความสะดวกในการใช้เครื่องมือต่างๆ และการทดสอบทางวิชาการ และเมื่อเราจะขยายการผลิตไปสู่อุตสาหกรรม ทางบริษัท Startup จะเป็นผู้วิจัยประดิษฐ์เครื่องจักรในการผลิตพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชนที่ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมนั้นๆได้ทันที โดยที่เราเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ทำงานวิจัยสู่อุตสาหกรรมแบบสำเร็จรูป และเข้าร่วมถือหุ้นในโครงการนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจในการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องให้กับภาคเอกชน

รศ.นพ.ชาญชัยยังกล่าวต่ออีกว่า ความสำเร็จในโครงการปุ๋ยน้ำนาโน ปัจจัยหนึ่งมาจากเครื่อง Nano Homogenizer แบบอุตสาหกรรม ซึ่งถูกนำมาทำให้ Chitosan มีขนาดต่ำกว่า 100 นาโนเมตร โดยครั้งนี้ เราได้สร้าง Nano Homogenizer ขนาด 2,000 ลิตร ซึ่งเป็นขนาดใหญ่สุดในอุตสาหกรรมที่มีอยู่ นอกจากนี้ โครงการปุ๋ยน้ำนาโน ยังสนับสนุนนโยบาย BCG economy ซึ่งเป็นการผลิตปุ๋ยน้ำนาโนที่ไม่มีของเสียหรือขยะ และช่วยปรับปรุงและลดความเป็นพิษในดิน ทำให้ปลูกพืชได้อย่างยั่งยืน
ดร.นพรัตน์ อินทร์วิเศษ Chief R&D Officer ของ Lily Pharma กล่าวถึงเรื่องการใช้ปุ๋ยเม็ดมีการสูญเสียธาตุอาหารไปในอากาศ น้ำ และ ดิน ซึ่งธาตุไนโตรเจน (N) ประมาณ 60-70% ส่วน ฟอสฟอรัส (P) และ โพแทสเซียม (K) สูญเสียถึง 80% ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่ออากาศ น้ำ และ ดิน นอกจากนี้ ในการผลิตปุ๋ยยูเรียจำเป็นต้องใช้แอมโมเนีย ในการผลิตต้องใช้พลังงานสูงและมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จำนวน 1.8% ของปริมาณทั้งโลก (Royal Society) และการใส่ปุ๋ยยูเรีย จุลินทรีย์ในดินจะทำการย่อยแล้วทำให้เกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ปล่อยขึ้นสู่อากาศประมาณ 312 ล้านเมตริกตันต่อปี (EPA greenhouse gas explorer) และทั่วโลกมีนโยบายที่จะลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง 20%
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เราจึงมีแนวคิดที่จะผลิตตปุ๋ยน้ำนาโนที่ลดการใช้ธาตุ N P Kและอยู่ในดินได้นานแม้อยู่ในสภาวะที่อากาศร้อนมาก โดยมี Nano Chitosan เป็นตัวอุ้มธาตุอาหารไว้ และพืชสามารถนำปุ๋ยน้ำนาโนไปใช้เมื่อต้องการ เราเรียกว่า On Demand Fertilizer ซึ่งจะแตกต่างกับปุ๋ยเม็ดแบบ Slow release ที่ปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ตลอดเวลา แม้พืชไม่ได้ต้องการก็ตาม ดังนั้นเราจึงเป็นประเทศแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีนี้
นอกจากนี้ ผศ.ดร. จิรวัฒน์ สนิทชน อาจารย์สาขาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการวิจัยเพื่อทดสอบการเจริญเติบโตของข้าวพันธุ์ มข-60-1 ระหว่างปุ๋ยน้ำนาโน Nitrogen ของ Lily Pharma และปุ๋ยเม็ดยูเรียในแปลงทดลอง พบว่า การใช้ปุ๋ยน้ำนาโน Nitrogen ในอัตรา 0.66 Kg N/ไร่ สามารถส่งเสริมศักยภาพด้านลักษณะทางการเกษตร เช่น จำนวนหน่อต่อต้น ความสูงต้น ความยาวรวง ค่าดัชนีการเก็บเกี่ยว น้ำหนัก 1000 เมล็ด ขนาดเมล็ด และความหอมของข้าวไม่แตกต่างจากการใช้เม็ดปุ๋ยยูเรียที่ 9.2 Kg N/ไร่ ซึ่งเป็นการใช้ปุ๋ยน้ำนาโน Nitrogen น้อยกว่าปุ๋ยเม็ดยูเรียถึง 14 เท่า
พร้อมกันนี้ ผศ.ดร. ชานนท์ ลาภจิตร หัวหน้าภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ทำการทดสอบปุ๋ยน้ำนาโน Nitrogen ของ Lily Pharma ต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้ากัญชง พบว่า การใช้ปุ๋ยน้ำนาโน Nitrogen ที่ความเข้มข้นของไนโตรเจน น้อยกว่าปุ๋ยเม็ด สูตร 21-0-0 ที่ 0.5 เท่าหรือครึ่งหนึ่ง ทำให้ต้นกล้ากัญชงมีความสูง ความกว้างของใบ ความยาวใบ เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น ค่าเฉลี่ยปริมาณคลอโรฟิลล์สูงกว่าการฉีดพ่นด้วยปุ๋ยเม็ดละลายน้ำ
นอกจากนี้ยังได้ทำการทดลองในผักสลัดเรดโอ๊คโดยใช้ระบบน้ำหยด ปลูกกลางแจ้งในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าการใช้ปุ๋ยน้ำนาโน Nitrogen ที่ความเข้มข้นต่ำกว่าปุ๋ยเม็ดสูตร 21-0-0 ละลายน้ำ 15 เท่า ยังทำให้ต้นสลัดเรดโอ๊คมีอัตราการเจริญเติบโตได้ดีกว่าปุ๋ยเม็ดละลายน้ำ

ผู้ร่วมทุนจากประเทศมาเลเซีย คุณ Ng Kim Yun, CEO บริษัท Einstein Nanoscience Sdn Bhd ได้กล่าวว่า รัฐบาลมาเลเซีย “มาดานิ” ภายใต้นายกรัฐมนตรี Datuk Seri Anwar เสนอความช่วยเหลือให้กับนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างเต็มที่ ซึ่งผลิตภัณฑ์ปุ๋ยน้ำนาโนนี้จะช่วยให้เกษตรกรสร้างรายได้ที่มากขึ้นเนื่องมาจากประสิทธิผลที่ดีและในราคาที่คุ้มค่า
Ng Kim Yun ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า บริษัท ของเขาซื้อ Khow how และร่วมลงทุนกับ Lily Pharma ซึ่งเราจะใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรทั้งหมดจาก Lily Pharma ส่วนวัตถุดิบเกือบทั้งหมดจัดหาในประเทศมาเลเซีย เราจะผลิตปุ๋ยน้ำนาโน N P K ครบวงจร รวมถึงธาตุอาหารเสริมที่ช่วยทำให้พืชแต่ละชนิดให้ผลผลิตที่ดีขึ้น โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 10,000 ลิตรต่อวัน และสามารถเพิ่มได้ถึง 20,000 ลิตรต่อวัน
เกี่ยวกับบทบาทของบริษัทร่วมทุน Ng Kim Yun บอกว่า เราได้ตกลงกับทางฝ่ายไทย ให้มาเลเซียเป็นบริษัทแม่หรือสำนักงานใหญ่ของธุรกิจนี้ ดังนั้น ทางมาเลเซียต้องมีหน้าที่ขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยทางฝ่าย Lily Pharma ทำหน้าที่ R& D และพัฒนาเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง การลงทุนโดยรวมในครั้งนี้ อยู่ที่ประมาณ MYR 10 ล้าน และภายใน 3 ปี การลงทุนของกลุ่มเราจะอยู่ที่ประมาณ MYR 30 ล้าน