

· ช่วยเชื่อมต่อชาวบ้านได้รับผลกระทบสถานการณ์พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา
· ติดตั้ง Free WiFi ที่ศูนย์อพยพฯ และมอบ 1000 ซิมเพื่อเชื่อมต่อสื่อสารช่วงวิกฤต
27 กรกฎาคม 2568 – บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การปะทะพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา เร่งจัดทัพรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (Cell-On-Wheel: COW) และเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary Site) เข้าไปเสริมสัญญาณมือถือ 5G/4G เพื่อรองรับการใช้งานทั้งการโทรและอินเทอร์เน็ตในศูนย์อพยพต่างๆ และพร้อมใช้งานแล้ว เช่น ที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ สระแก้ว และจันทบุรี พร้อมทั้งติดตั้งเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary Site) ที่ ศรีสะเกษ และกำลังจะนำ COW ไปติดตั้งเพิ่ม และวางแผนเพิ่มสัญญาณตามสถานการณ์ในพื้นที่หรือจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นได้ติดตั้ง Free WiFi ในพื้นที่ศูนย์อพยพจังหวัดต่างๆ เรียบร้อยแล้วประมาณ 50 จุด และกำลังติดตั้งเพิ่มเติมเพื่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบได้ใช้งานสื่อสารฉุกเฉินในขณะมาพักพิง รวมทั้งมอบซิมการ์ดฟรี 1,000 ซิมให้ใช้โทรติดต่อและส่งข้อความ โดยมอบไปแล้วมากกว่า 500 ซิม บริการฟรีทรูวิชั่นส์ นาว ป๊อบ และยังดำเนินการช่วยเหลือต่อเนื่องตามสถานการณ์ ที่จังหวัด จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ สระแก้ว อุบลราชธานี และจันทบุรี รวมทั้งมอบความช่วยเหลือสำหรับลูกค้าแบบรายเดือนและแบบเติมเงิน ทรูมูฟ เอช และดีแทค ด้วยการมอบอินเทอร์เน็ตฟรี 10 GB โทรฟรี 100 นาที และขยายเวลาชำระค่าบริการอีกด้วย
ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งมั่นดูแลระบบสื่อสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนติดต่อสื่อสารกันได้แม้ในยามวิกฤต พร้อมทั้งประสานงานกับ กสทช. อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ความร่วมมือ และเพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
เราพร้อมดูแลและสนับสนุนด้วยการเตรียมเครือข่าย 5G และ 4G ให้ครอบคลุมพื้นที่ศูนย์อพยพต่างๆ พร้อมเสริมสัญญาณด้วย รถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่ (Cell-On-Wheel: COW) และติดตั้งเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary Site) เพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และปรับพารามิเตอร์สัญญาณให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีทีมวิศวกรเครือข่ายตรวจสอบสัญญาณประจำพื้นที่ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดทีมเฉพาะกิจที่ BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง
บมจ.สหการประมูล (AUCT) เผยยังมีปัจจัยที่ทำให้ปริมาณรถยนต์มือสองไหลเข้าสู่ตลาดประมูล ยืนยันตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จับมือไฟแนนซ์เปิดประมูลเดือนมิถุนายนที่สาขาโคราช อุบลราชธานี อุดรธานี และสาขาขอนแก่นจำนวน 16 รอบ
นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เปิดเผยถึงทิศทางตลาดรถยนต์มือสองว่า สภาวะตลาดปัจจุบันรวมทั้งการปรับตัวของสถาบันการเงินส่งผลให้มีรถยนต์และรถจักรยานยนต์เข้าสู่การประมูลมากขึ้น เห็นได้จากช่วงที่ผ่านมาจำนวนรถยนต์จากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเปิดให้บริการประมูลขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองทุกวันทั่วประเทศ เพราะนอกจากสำนักงานใหญ่และสาขารังสิต-คลอง 8 แล้ว ยังมีสาขาต่าง ๆ เปิดให้บริการอยู่ทุกภูมิภาค เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดรถยนต์มือสองต่างจังหวัด ทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค และช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคผ่านการสนับสนุนธุรกิจเต็นท์รถยนต์มือสองและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
“โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่บริษัทฯ มีสาขาอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี และอุดรธานี เพื่อเป็นการเพิ่มรอบประมูลและขยายสาขาที่ให้บริการมาตรฐานเดียวกับสำนักงานใหญ่ มีศักยภาพสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับสถาบันการเงินและผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เนื่องจากแต่ละสาขาสามารถเปิดให้บริการประมูลขายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 300-400 คัน จึงทำให้ตลาดรถยนต์มือสองภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีทิศทางการเติบโตที่ดี” นายสุธีกล่าวและเปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 นี้บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เปิดประมูลขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองจำนวน 16 รอบ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครราชสีมาจัดประมูลถึง 7 วัน คือ ในวันที่ 2, 9, 13, 16, 20, 23 และ 27 รวมทั้งสาขาอุบลราชธานีเปิดประมูลในวันที่ 4, 9, 18, 19 และ 23 ส่วนสาขาอุดรธานีเปิดประมูลในวันที่ 11 และ 25 สาขาขอนแก่นเปิดประมูลในวันที่ 4 และ 18 มิถุนายน 2568
นายสุธีเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์มือสองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความคึกคักอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากราคาประหยัดกว่าการซื้อรถใหม่ประมาณ 40-60% นอกจากนี้แล้วปัจจัยด้านบริการที่สะดวกสบายและคุณภาพรถยนต์ที่ถูกจัดเกรดระบุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้ซื้อทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อรายย่อยให้ความไว้วางใจช่องทางการประมูลมากยิ่งขึ้น โดยการประมูลในแต่ละครั้งทำให้เกิดการซื้อ-ขายมากว่า 90% เนื่องจากในภาวะที่ผู้บริโภคมองหาความคุ้มค่า บริษัทฯ สามารถตอบโจทย์ด้วยการนำเสนอรถยนต์มือสองคุณภาพดีราคาประหยัดผ่านการประมูลที่โปร่งใส ทำให้ผู้ที่ต้องการใช้รถยนต์สามารถเข้าถึงและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่สนใจประมูลรถยนต์ที่สาขาต่าง ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ www.auct.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-033-6555
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมกับ บริษัท ที.ซี.ซี เทคโนโลยี จำกัด และบริษัทยิบอินซอย จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการพัฒนา Center of Digital Learning Hub
โดย รองศาสตราจารย์ประยุกต์ ศรีวิไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลงนามร่วมกับ นายธีรพันธุ์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด และ นางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด โดยมี ผู้ช่วยศาสตรจารย์จรวย สาวิถี ผู้อำนวยการ สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นายพิพิธ จริยวัฒนวิจิตร Deputy Managing Director - Commercial & Operation บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด และ นายสุขสันต์ มงคลจุฑา Senior AVP-Sales & Marketing บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ร่วมลงนามเป็นพยาน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคารบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และเยี่ยมชมพร้อมแนะนำการใช้งานและการให้บริการของ Digital Learning Hub ณ อาคารสโมสรบุคลากร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (MSU Staff club)

โดยทั้ง 3 ฝ่าย มีจุดมุ่งหมายที่จะร่วมกันพัฒนามหาวิทยาลัยมหาสารคามให้เป็น Center of Digital Learning Hub (Learning Center) พัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ ทักษะและความสามารถของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ Center of Educational Technology (Learning Center) ให้มีความรู้ ความสามารถในสายงานด้านเทคโนโลยี เช่น สายงาน Web/Mobile สายงานกลุ่ม Data สายงานกลุ่ม IoT สายงานกลุ่ม Automate สายงาน Infrastructure และ Hardware และสายงานธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาระบบ Digital Learning Platform เพื่อรองรับการเข้าใช้งานของ บุคลากรและ นิสิตภายในมหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์ประยุกต์ ศรีวิไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ ของการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้สนับสนุนพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ การทำนุบำรุงศิลปะวัฒนธรรม การบริหารจัดการ และการบริการต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย รวมถึงการพัฒนาด้านทรัพยากรบุคคล ทั้งนิสิตและบุคลากร เพื่อเตรียมพร้อมกับการแข่งขัน ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบัน และวันนี้มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท ที.ซี.ซี เทคโนโลยี จำกัด และ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ที่ให้การสนับสนุนด้านระบบ Smart Classroom ให้แก่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน จัดกิจกรรมสำหรับนิสิต พร้อมร่วมผลักดันมหาวิทยาลัยเพื่อก้าวสู่การเป็น Smart University”
นายธีรพันธุ์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด (ทีซีซีเทค) กล่าวว่า “การสร้างระบบเครือข่ายการศึกษาให้สอดคล้องกับโลกดิจิทัลในยุคปัจจุบันนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทีซีซีเทคได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ภาคการศึกษา โดยในครั้งนี้ ทีซีซีเทคได้จับมือร่วมกับยิบอินซอยในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการจัดการการเรียนการสอน Digital Learning Management Platform (DLMP) เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาคณาจารย์สามารถผลิตและใช้สื่อการเรียนการสอนดิจิทัลได้ โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว อีกทั้งยังสนับสนุนการยกระดับทักษะ Reskill/ Upskill เพื่อช่วยขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยมหาสารคามในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็น Digital Learning Hub”
นางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศอย่างครบวงจร มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นส่วนสำคัญ ในการสนับสนุน และร่วมกันพัฒนา Education Learning Technology อย่างสร้างสรรค์ และใช้ได้จริง เพื่อรองรับและเป็นการก้าวเข้าสู่ยุค Digital Transformation รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้ทางมหาวิทยาลัยมหาสารคามในการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแรงผลักดันสู่ความเป็น Digital Learning Hub พัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่าย และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อรองรับการเป็น Learning Center ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาทิ การจัดทำ System Integration เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายต่าง ๆ เป็นต้น”