

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จัดงาน “MED Drive Demo Day : Journey to Medical Billion Business สัมมนาเส้นทางธุรกิจพันล้านเครื่องมือแพทย์ไทย” ภายใต้โครงการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ (MED Drive)
เป้าหมายสำคัญของการจัดงานเพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานเครื่องมือแพทย์สู่อนาคตของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มยอดขายระดับร้อยล้านสู่หลักพันล้านได้ภายใน 5 ปี ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อ กลุ่มรักษาแผล กลุ่มวัสดุฝังใน กลุ่มอุปกรณ์ล้างไต และกลุ่มทันตกรรม ด้วยกลไกการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พร้อมเชื่อมโยงสู่ตลาดทั้งในประเทศและระดับโลก หวังสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย นอกจากนี้ งาน Demo Day ยังเป็นเวทีสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทยเพื่อร่วมกันจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ และผลักดันให้ไทยก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้บนเวทีโลก โดยมีพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ตลอดจนผู้ประกอบการกว่า 200 คนเข้าร่วมงาน

ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน มีมูลค่าตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านมาตรฐานระดับสากลที่สูง ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโครงการ MED Drive ขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งก้าวเดินธุรกิจ และพัฒนาให้เครื่องมือแพทย์ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก โดยงานครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ด้วยการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบในระบบนิเวศของการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เดินหน้าไปด้วยกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะก้าวสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE)
สามารถขยายธุรกิจให้มียอดขายสู่ 1,000 ล้านบาท งานนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงและต่อยอดความสำเร็จที่จะช่วยยกระดับสินค้านวัตกรรม เพิ่ม GDP และขีดความสามารถของประเทศ

รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รักษาการรองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า บพข. ได้สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการ MED Drive ภายใต้แผนงาน “พัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise: IDEs)” ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยทั้ง 5 รายให้พัฒนาสู่องค์กรฐานนวัตกรรม เป้าหมายหลักคือการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่ได้การรับรองตามมาตรฐานสากล สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย โดยการดำเนินการประกอบด้วย การวินิจฉัยประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ IDE ทั้ง 5 ราย เพื่อวิเคราะห์โอกาสและช่องว่างของธุรกิจ การสนับสนุนการยกระดับธุรกิจและผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยสนับสนุนการวิเคราะห์ทดสอบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และส่งเสริมการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ โดยสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะเฉพาะทางด้านเครื่องมือแพทย์ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานและการบำรุงรักษา การให้ความรู้ด้านการจดสิทธิบัตร เป็นต้น
ทั้งนี้ ในงานมีนิทรรศการของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย
1) บริษัท โพสเฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลและกลุ่ม Personal Use
2) บริษัท โนวาเมดิค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไหมเย็บแผล แผ่นปิดแผลต่างๆ และถุงทวารเทียม
3) บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุศัลยกรรมกระดูกและเครื่องมือผ่าตัดกระดูก
4) บริษัท ซี วี พี เมดิคอล เทคโนโลยี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เข้มข้นสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (น้ำยาไตเทียม) และสายส่งเลือดสำหรับเครื่องไตเทียม
5) บริษัท ซี.ซี.ออโตพาร์ท จำกัด ผู้ผลิตขึ้นรูปโลหะให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร และเครื่องมือแพทย์ทางด้านทันตกรรม
รวมถึงยังมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกลไกการเบิกจ่ายของภาครัฐด้านสวัสดิการสุขภาพ ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เติบโต โดยผู้แทนจากกองทุนและกลุ่มผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทย การสัมมนาอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์โลก โดยผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลการตลาดเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์จากผู้ผลิต
เครื่องมือแพทย์ไทย ผลงานวิจัย สวทช. พันธมิตร และมหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์ เพื่อต่อยอดผลงานสู่อุตสาหกรรมและการใช้งานจริง และในช่วงท้ายงานได้เปิดเวทีสร้างเครือข่าย (Networking) ระหว่างทุกภาคส่วนที่มีภารกิจด้านการแพทย์ด้วย
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลักดันศักยภาพของการศึกษาแพทย์ไทยผ่านการสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ของสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการสนับสนุนในการสร้างอาคาร และเครื่องมือทางการแพทย์จากผู้บริจาค ซึ่งเป็นพลังแห่งน้ำใจที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาและการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมเปิดให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการรับบริจาคร่างกาย การรักษาสภาพร่างอาจารย์ใหญ่ และการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาวิจัยในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ แพทย์เฉพาะทาง และแพทย์นวัตกร ควบคู่กับการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการศึกษาแพทย์ และเตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์ก้าวเข้าสู่ระบบสาธารณสุขในยุคดิจิทัล
‘อาจารย์ใหญ่’ คือผู้ที่อุทิศร่างกายเพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้ทางการแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการศึกษาที่ช่วยให้นักศึกษาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจถึงโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมเสริมสร้างทักษะด้าน กายวิภาคศาสตร์ก่อนรักษาผู้ป่วยจริง เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญในกระบวนการรักษาและลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ และอาจารย์ใหญ่ยังมีบทบาทด้านการวิจัยเพื่อยกระดับการรักษาพยาบาล ผ่าน การพัฒนาเทคนิคการรักษารูปแบบใหม่ ตลอดจนการทดลองนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อนำผลลัพธ์ทางการศึกษามาต่อยอดเป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่วยต่อไปในอนาคต

อ.ดร. เบญริตา จิตอารี อาจารย์สาขาพรีคลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี กล่าวว่า “อาจารย์ใหญ่เปรียบเสมือน ‘ผู้ให้’ ที่สร้างอนาคตใหม่ทางการแพทย์ได้อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับนักศึกษาแพทย์การเข้าใจโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงของแต่ละอวัยวะภายในของมนุษย์ผ่านการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาชีพแพทย์ ในวิชามหกายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy) นักศึกษาแพทย์จะได้ศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ควบคู่กับการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้สู่การต่อยอดการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”
อาคารกายวิภาคคลินิกเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจรแห่งแรกของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตั้งอยู่ที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมใน 4 มิติ ได้แก่ ด้านการรับบริจาคร่างกายและดูแลร่างอาจารย์ใหญ่จนเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนา ด้านการรักษา-คงสภาพและจัดเก็บร่างอาจารย์ใหญ่ ด้านการบริหารการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และด้านการผลิตสื่อการเรียน การสอนที่มีคุณภาพภายในห้องเรียนของอาคารกายวิภาคคลินิกนำเทคโนโลยีการสอนและอุปกรณ์ผ่าตัดทันสมัยเข้ามาช่วยในการศึกษา เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่ยังสามารถมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับการผ่าตัดจริงในรูปแบบสามมิติ โดยเฉพาะเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนหรือ Virtual Reality (VR) ที่ช่วยให้สามารถเรียนรู้โครงสร้างร่างกายมนุษย์ได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการศึกษาจากบทเรียนและรูปภาพสองมิติเพียงอย่างเดียว โดยเนื้อหาที่อยู่ภายในระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลจริงของอาจารย์ใหญ่ จัดทำโดยสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และถือเป็นแห่งแรกในไทยที่ผลิตเนื้อหาลักษณะนี้ขึ้นเอง รวมถึงมีเครื่องจำลองระบบภาพกายวิภาคเสมือนจริง (Anatomage Table) ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทบทวนบทเรียนได้ทุกเวลา โดยอาคารแห่งนี้จะมีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 (ชั้น Pre-clinic) เข้ามาเรียนเฉลี่ยปีละ 220 คน สำหรับแพทย์เฉพาะทางมีห้องผ่าตัดไฮบริด (Hybrid Operating Room) รองรับเทคโนโลยีการวินิจฉัยขั้นสูง ช่วยให้สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากบทบาทของอาจารย์ใหญ่ในด้านการเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญ ร่างอาจารย์ใหญ่ยังถูกนำมาใช้เพื่อทดลองและฝึกฝนการใช้นวัตกรรมการแพทย์ล้ำสมัย รวมทั้งสำหรับการฝึกฝนและพัฒนากระกวนการทำหัตถการต่างๆ ทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดเฉพาะทาง ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดความชำนาญการก่อนนำไปใช้จริงกับผู้ป่วย เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ปัจจุบัน อาคารกายวิภาคคลินิกได้รับร่างอาจารย์ใหญ่เฉลี่ยเพียง 15 ร่างต่อเดือน จากจำนวนผู้แจ้งความประสงค์บริจาคร่างกายประมาณ 300 คนต่อเดือน ขณะที่จำนวนร่างอาจารย์ใหญ่ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการศึกษาอยู่ที่ประมาณ 200 ร่างต่อปี ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเรียนการสอนและการวิจัยทางการแพทย์ เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนการศึกษาจากอาจารย์ใหญ่ได้ทั้งหมด
“กายวิภาคศาสตร์คลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี ศึกษาและปรับเปลี่ยนสูตรของสารที่ใช้คงสภาพอาจารย์ใหญ่อยู่เสมอให้สามารถรักษาสภาพเพื่อให้คงคุณภาพของเนื้อเยื่อที่ใกล้เคียงคนที่ยังมีชีวิตและใช้ในการศึกษาได้ในระยะเวลายาวนานที่สุด รวมทั้งเพื่อให้มีการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดก่อนจัดงานพระราชทานเพลิงศพผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่ที่มอบองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา นอกจากนี้ ยังตั้งใจเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคร่างกาย เพื่อให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เปิดใจกับการบริจาคร่างกายมากขึ้น” อ.ดร. เบญริตา จิตอารี กล่าวปิดท้าย
มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นสนับสนุนพันธกิจด้านการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง การมอบงบประมาณสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการปลดล็อกโอกาสทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านทักษะทางการแพทย์ พร้อมพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ทางกายวิภาคศาสตร์ นำไปสู่การยกระดับวงการแพทย์ไทยในอนาคต ร่วมบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ ได้ที่ อาคาร กายวิภาคทางคลินิก สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการสร้างบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ขอเชิญร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และ โครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th
แพทย์เฉพาะทางชี้สตรีมีครรภ์มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนสูง หากได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ แนะทานแคลเซียมเสริมก่อนนำไปสู่ภาวะกระดูกหัก
จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า "โรคกระดูกพรุน" เป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขในลำดับที่ 2 ของโลก รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด โดยสอดคล้องกับข้อมูลของ "มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ" พบว่า ประชากรไทยที่มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน 80-90% ยังไม่ได้รับการประเมินและรักษา
"โรคกระดูกพรุน เป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการ และไม่มีสัญญาณเตือนก่อนล่วงหน้า เมื่อผู้ป่วยประสบภาวะกระดูกพรุนจะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่ายขึ้น หากเกิดร่วมกับกระดูกสะโพกหักจะมีอัตราการเสียชีวิตในปีแรกมากถึง 17% และมีสัดส่วน 80% ที่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม"
![]()
นพ.ฐปนัตว์ จันทราภาส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เผยว่าโรคกระดูกพรุน คือ โรคที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะโครงสร้างของกระดูก ซึ่งจะมีผลทำให้กระดูกบางและเปราะง่าย ไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดได้ตามปกติ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงกระดูกหักได้ง่าย
โรคกระดูกพรุนมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมักพบมากในสตรีที่ตั้งครรภ์ เพราะบุตรจะดึงปริมาณของแคลเซียมออกไป ทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกของผู้เป็นแม่ลดลง ดังนั้นเราจึงควรมีความรู้ในเรื่องของการสะสมมวลกระดูกเอาไว้ ยกตัวอย่าง แพทย์จะเสริมปริมาณแคลเซียมให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ แต่เมื่อหลังคลอดลูกก็ต้องกินนม ซึ่งจำเป็นที่คุณแม่ก็ต้องได้รับปริมาณแคลเซียมเสริมด้วยเช่นกัน เพราะธนาคารกระดูก หรือ Bone Bank เกิดขึ้นและสะสมปริมาณแคลเซียมนี้เอาไว้ตั้งแต่เราอยู่ในท้องจนถึงอายุ 20 กว่าๆ ร่างกายจะค่อยๆ ถอนเอาไปใช้ สำหรับในเพศชายจะมีการสะสมของมวลกระดูกมากกว่าในเพศหญิง ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเพศชายไม่ต้องตั้งครรภ์จึงไม่สูญเสียมวลกระดูกในส่วนนี้ไป ในขณะที่เพศหญิงการมีบุตรจะดึงปริมาณแคลเซียมที่สะสมเอาไว้เพื่อสละให้ลูกน้อยตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
ขณะเดียวกันจากสถิติพบว่าผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนจะเริ่มมีภาวะของโรคกระดูกพรุนเช่นเดียวกัน จึงต้องมีการเสริมแคลเซียมเข้าไปด้วย
![]()
อย่างไรก็ตามกระดูกประกอบด้วยโปรตีนที่เป็นเส้นใยคอลลาเจนและมีแคลเซียมมาตกผลึกจับตัวกับคอลลาเจน จนกลายเป็นของแข็งที่สามารถรับน้ำหนัก แรงกด หรือแรงกระแทก และมีความยืดหยุ่นในตัวเอง การ
สร้างกระดูกให้แข็งแรงจำเป็นต้องได้รับปริมาณแคลเซียมและสารอาหารที่เหมาะสม โดยแคลเซียมจะทำให้กระดูกแข็งแรง ส่วนโปรตีนโดยเฉพาะคอลลาเจนและโปรตีนอื่น ๆ จะทำให้กระดูกมีความเหนียวและยืดหยุ่น
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว ได้แก่ การได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ กรรมพันธุ์ หรือผู้ที่มีประวัติกระดูกเปราะและหักง่าย หญิงวัยหมดประจำเดือน การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา และคาเฟอีน ไม่ออกกำลังกาย หรือผู้ที่รับประทานยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต
นพ.ฐปนัตว์ เผยว่า การฉีดซีเมนต์ (Bone Cement) เพื่อรักษากระดูกสันหลังแตก หัก และทรุด โดยการเสริมความแข็งแรงของตัวกระดูกสันหลังที่หักด้วยซีเมนต์ เพื่อให้สามารถกลับมารับน้ำหนักตัวได้อีกครั้ง เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัด ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก และทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการปวด ฟื้นตัวได้เร็ว อีกทั้งขนาดแผลยังเล็กมากจนแทบจะมองไม่เห็น
สำหรับขั้นตอนการฉีดซีเมนต์ แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กโดยใช้เครื่องเอกซเรย์พิเศษ (Fluoroscope) เพื่อหาตำแหน่งและเจาะเข้าไปในบริเวณที่กระดูกสันหลังแตก หัก หรือยุบ แล้วค่อยๆ ฉีดซีเมนต์ไปทีละนิด เพื่อไม่ให้ซีเมนต์ไหลออกมาจากกระดูก และรอให้ซีเมนต์แข็งตัว จึงดึงเข็มออกแล้วใช้พลาสเตอร์ปิดแผล เนื่องจากขนาดแผลที่เล็ก จึงไม่จำเป็นต้องเย็บปิดแผล
โดยทั่วไปแล้ววิธีการรักษาโรคกระดูกสันหลังแตก หัก ยุบ ด้วยวิธีการฉีดซีเมนต์นั้น มี 2 วิธี 1.การฉีดซีเมนต์อย่างเดียวตรงๆ 2.การฉีดซีเมนต์โดยใช้ Balloon ขยายก่อน เพื่อที่จะฉีดซีเมนต์เข้าไปให้ได้ปริมาณที่มาก แต่ที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เราใช้เทคนิคพิเศษโดยการฉีดซีเมนต์ปริมาณมาก เข้าไปตรงบริเวณที่แตกหัก ยุบ อย่างตรงจุด ด้วยอุปกรณ์นำวิถี ซึ่งวิธีนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากและข้อแทรกซ้อนน้อย
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ 1–2 ชั่วโมง เพื่อให้ซีเมนต์ที่ฉีดเข้าไปนั้นแข็งตัว ก็สามารถลุกนั่ง ยืน เดินได้ตามปกติ และอาการปวดของผู้ป่วยก็จะค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากที่ฉีดเสร็จ การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ซึ่งมีความชำนาญในการทำหัตถการเท่CRานั้นC
CR : โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ
มร. ปีเตอร์ สตรีบัล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 5 จากซ้าย) เป็นตัวแทนของมูลนิธิวิทยาศาตร์ทาเคดา (Takeda Science Foundation) มอบทุนการศึกษาเพื่องานวิจัยและต่อยอดองค์ความรู้ด้านการแพทย์ ณ ประเทศญี่ปุ่น ให้แก่แพทย์ไทยจำนวน 6 ท่าน ซึ่งเป็นทุนที่มอบต่อเนื่องเป็นปีที่ 57 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมอบโอกาสแก่แพทย์ไทยในการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น และนำความรู้กลับมาพัฒนาวงการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ยกระดับการรักษาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นอีกด้วย พิธีการมอบทุนมีขึ้น ณ ห้องประชุุมสยามมกุฎราชกุมาร อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ในการประชุมสามัญประจำปีของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ศ. เกียรติคุณ นพ. อมร ลีลารัศมี นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ที่ 5 จากขวา) และ ศ. เกียรติคุณ พญ. สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานอนุุกรรมการพิจารณาทุุน แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชููปถัมภ์ (ที่ 4 จากซ้าย) ร่วมพิธีมอบทุน
ปัจจุบัน มูลนิธิวิทยาศาตร์ทาเคดา ได้ให้การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการศึกษาระดับนานาชาติร่วมกับมหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นแล้วมากกว่า 200 ท่าน ตามแนวทางการดำเนินงานของ ทาเคดา บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลกที่ยึดมั่นในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีกว่าผ่านนวัตกรรมและความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและยั่งยืน