

ลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ตอกย้ำจุดยืนการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสร้างประโยชน์ให้สังคมไทย คว้ารางวัล “องค์กรที่มีผลงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นประจำปี 2568 ระดับแพลตินัม (AMCHAM Corporate Social Impact Awards 2025: Platinum Level)”
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) และพันธมิตร เปิดรับสมัครผู้ท้าชิงที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ม.1-ม.6 หรือเทียบเท่า ร่วมสร้างทีมจำนวน 4-15 คน (ควรมีสมาชิกผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน (inclusive member) เพื่อส่งเสริมความหลากหลาย) เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์ FIRST® Tech Challenge Thailand ครั้งที่ 7 มุ่งสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ STEM Education พัฒนาผู้เรียนด้านทักษะกระบวนการคิด การแก้ปัญหา การออกแบบ และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพิชิตภารกิจในหัวข้อ “DECODE Presented by RTX” ระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมทุนการศึกษา และได้รับสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติที่สหรัฐอเมริกา ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันสามารถสแกน QR Code ในโปสเตอร์รับสมัครภายในวันที่ 17 ตุลาคม 2568 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/FIRSTTechChallengeTHAILAND/
กลุ่มภาคีเครือข่าย PPP Plastics เดินหน้า Roadmap การจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 2 อย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันให้เกิดการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ขับเคลื่อนสู่เป้ารีไซเคิลพลาสติกเป้าหมายได้ 100% และลดปริมาณขยะหลุดรอดลงทะเล 50% ในปี 2570
เครือข่ายและสมาคม PPP Plastics (Public-Private Partnership for Sustainable Plastic and Waste Management) ได้ประกาศความร่วมมือกับภาคีเพื่อจัดการพลาสติกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อติดตามความก้าวหน้า Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทย โดยนำเสนอแผนปฏิบัติการระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566–2570) และความคืบหน้าในการสร้างระบบนิเวศหมุนเวียนพลาสติก (Plastics Circularity Ecosystem) ครอบคลุมนโยบาย งานวิจัย การจัดการวัสดุใช้แล้ว การรีไซเคิล ไปจนถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบฐานข้อมูลวัสดุรีไซเคิลระดับประเทศ รองรับแนวทางขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR)

นายทวีชัย เจียรนัยขจร นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษ กรมควบคุมมลพิษ สรุปว่า Roadmap ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563–2565) มีเป้าหมายลด ละ เลิกผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ไม่จำเป็น แต่สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน ขณะที่แผนระยะที่ 2 ซึ่งจัดทำในช่วงที่โควิดยังไม่คลี่คลาย จึงเน้นการปรับตัว ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง และคัดแยกเพื่อสร้างระบบนิเวศหมุนเวียนพลาสติก นำผลิตภัณฑ์เป้าหมายเข้าสู่การรีไซเคิลให้ได้มากที่สุดจนถึง 100% ภายในปี 2570 และลดขยะพลาสติกหลุดรอดสู่สิ่งแวดล้อมและทะเลลง 50% ในปีเดียวกัน
แผนปฏิบัติการระยะที่ 2 ประกอบด้วย 4 มาตรการหลัก ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรฐาน Eco-design ลดการใช้บรรจุภัณฑ์เกินจำเป็น ส่งเสริมการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) อย่างน้อย 30% และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ผลิตที่ปฏิบัติตาม การลดขยะพลาสติกในขั้นตอนการบริโภค โดยรณรงค์ให้ผู้บริโภคลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ส่งเสริมภาชนะใช้ซ้ำ และสร้างจุด Drop Point การจัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค โดยออกข้อบัญญัติท้องถิ่นให้มีการคัดแยกขยะตั้งแต่ครัวเรือน พัฒนาระบบเก็บรวบรวม เช่น รถเร่ ซาเล้ง ร้านรับซื้อของเก่า และส่งเสริมธุรกิจรีไซเคิลที่มีมาตรฐาน รวมถึงศึกษาความคุ้มค่าสำหรับการสร้างโรงคัดแยกขยะโดยเอกชน และการจัดการขยะพลาสติกในทะเล โดยเพิ่มระบบเก็บขยะในพื้นที่ริมคลอง แม่น้ำ ชายฝั่ง วางระบบจัดการขยะบนเรือท่องเที่ยว และนำเครื่องมือประมงเข้าสู่ระบบรีไซเคิล
นายทวีชัยกล่าวว่า แม้มาตรการใน Roadmap จะเป็นแบบสมัครใจ แต่มีความคืบหน้าหลายด้าน เช่น การเลิกใช้บางผลิตภัณฑ์ เช่น แคปซีล การเติมไมโครบีดส์และสาร OXO การทดลองโมเดลขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Voluntary EPR Model) เพื่อเตรียมการสำหรับร่าง พรบ. การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนที่คาดว่าจะมีการประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้ การผลักดันมาตรฐานขวดน้ำดื่ม PET ให้เป็นขวดไร้ฉลากซึ่งสามารถรีไซเคิลได้ 100% การผลักดันประกาศกระทรวงมหาดไทยให้การคัดแยกและนำกลับมาใช้ใหม่เป็นหนึ่งในวิธีการกำจัดขยะ การนำเสนอการคัดแยกขยะผ่านโครงการจังหวัดสะอาด และโครงการ Thailand Smart Recycling Hub รวมถึงนโยบายควบคุมการนำเข้าเศษพลาสติกบางประเภท และการขับเคลื่อนแผนอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล รวมถึงการจัดการขยะในพื้นที่เกาะนำร่อง

ด้านนายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม PPP Plastics กล่าวว่า เครือข่าย PPP Plastics มีบทบาทในทุกมาตรการของ Roadmap โดยผลักดันให้มีการกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติ เช่น มาตรฐาน PCR และมาตรการสมัครใจเชิงรุกเพื่อสร้างระบบรีไซเคิลผลิตภัณฑ์
ที่ผ่านมา PPP Plastics ร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ดำเนินโครงการกว่า 40 โครงการที่สนับสนุน Roadmap การจัดการพลาสติกของประเทศ ด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น ระยองโมเดล โครงการมือวิเศษ x วน และมือวิเศษกรุงเทพ จุดรับพลาสติก โครงการ Recycle Market Application และ Smart Recycling Hub ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า

ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ยังมีการนำเสนอโครงการที่สนับสนุนการสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียน ครอบคลุมงานวิจัย นโยบาย การคัดแยกขยะจากต้นทาง การรวบรวมวัสดุรีไซเคิล ศูนย์คัดแยกวัสดุหมุนเวียน และผู้ประกอบการรีไซเคิล ซึ่งมีความคืบหน้าไปมากแล้วในประเทศไทย โดยมีนางภรณี กองอมรภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทดาว ประเทศไทย (Dow) เป็นผู้ดำเนินรายการ ในฐานะ Communication Taskforce Leader ของเครือข่าย PPP Plastics รวมถึงการนำเสนอและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลแห่งชาติเพื่อวัสดุรีไซเคิลด้วย

ข้อเสนอจากการสัมมนาจะถูกนำไปบูรณาการในการจัดทำแผนปฏิบัติการระยะที่ 3 เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชน โดยย้ำว่าพลาสติกเป็นวัสดุที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทั้งในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และสามารถทดแทนข้อจำกัดของวัสดุอื่นๆ ได้ เราจึงต้องขับเคลื่อนการใช้พลาสติกอย่างเข้าใจและยั่งยืน รวมทั้งจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างเหมาะสม เพื่อให้เรายังสามารถใช้ประโยชน์จากพลาสติกได้โดยไม่สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการพัฒนาการเรียนการสอนการทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยหลักการของปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา” พร้อมร่วมมือกันขยายผลการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แนวใหม่ที่ “ย่อส่วน” การทดลอง เพื่อ “ขยายโอกาส” ทางการศึกษา ให้นักเรียนได้ประสบการณ์การลงมือทำด้วยอุปกรณ์การทดลองขนาดเล็กที่ประหยัด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนรัฐบาลสังกัด สพฐ. และ โรงเรียนเอกชนสังกัด สช. ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
โครงการนี้เป็นการขยายความร่วมมือในการต่อยอดความสำเร็จโครงการ “ห้องเรียนเคมีดาว” ซึ่ง Dow และ สมาคมเคมีฯ ได้ร่วมดำเนินงานมาครบ 10 ปี ในปีที่ผ่านมา โดยจะเพิ่มโอกาสให้ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาในสังกัด สพฐ. และ สช. ได้เข้าอบรมและสามารถนำเทคนิคไปถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น เพื่อให้กับนักเรียนได้ใช้ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนในการทำการทดลองด้วยตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีใจรักในการศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ที่เป็นสาขาอาชีพที่ยังต้องการมากของประเทศในขณะนี้ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต โดยโครงการฯ ในส่วนขยายความร่วมมือนี้ตั้งเป้าจะจัดอบรมให้ครูในโรงเรียนสังกัดมากกว่า 1,000 คน

นายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการศึกษาด้านสะเต็ม หรือ STEM Education ที่ประกอบด้วยสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในประเทศไทย เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่จะคิดค้นนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในอนาคต การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แนวใหม่นี้ จะช่วยให้โรงเรียนจำนวนมากสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่ใช้งบประมาณต่ำ มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงได้อย่างรวดเร็ว เราจึงมีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ สพฐ. และ สช. เล็งเห็นความสำคัญของการทดลองแบบ “ย่อส่วน” เพื่อ “ขยายโอกาส” ทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยทั้งสองหน่วยงานจะเป็นกำลังสำคัญในการขยายผลซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการพัฒนาบุคคลกรด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยในอนาคต”
ศาสตราจารย์ ดร.วุฒิชัย พาราสุข นายกสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “สมาคมฯ เป็นผู้ริเริ่มในการนำเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนมาเผยแพร่ในโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทย โดยได้ออกแบบหลักสูตรการฝึกอบรมและกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับ Dow ในการนำความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี หลักการเคมีกรีน และการประยุกต์ใช้การทดลองเคมีแบบย่อส่วน มาเสริมการเรียนการสอนในโรงเรียน ทำให้นักเรียนได้ทำการทดลองจริงด้วยตนเองอย่างปลอดภัย และได้สร้างเครือข่ายครูต้นแบบเคมีแบบย่อส่วน เพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนและต่อยอดองค์ความรู้ได้มากขึ้น ครูต้นแบบจะทำหน้าที่เผยแพร่เทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนแก่เพื่อนครูที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ในความร่วมมือครั้งนี้ สมาคมฯ จะทำหน้าที่บริหารงานด้านวิชาการ จัดหาบุคลากรผู้ชำนาญที่เหมาะสมกับหลักสูตรฝึกอบรม และเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในการประเมินผลการเรียนการสอนตามแนวทางการสอนแบบใหม่ของโครงการฯ”

ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า “สพฐ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ วิชาการ และเอกชน ขับเคลื่อนโครงการ ‘ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา’ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการทดลองที่ปลอดภัย ประหยัด และมีประสิทธิภาพ โครงการนี้มุ่งพัฒนาทักษะผู้เรียนให้คิด วิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติจริง พร้อมยกระดับคุณภาพครูและสถานศึกษาให้สามารถจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สพฐ. จะสนับสนุนการนิเทศ ติดตาม และประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมให้เกิดต้นแบบโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ เราต้องการจุดประกายให้นักเรียนรักวิทยาศาสตร์ และสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้การศึกษาไทยก้าวทันโลกอย่างยั่งยืน”

นายมณฑล ภาคสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กล่าวว่า “การเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้โรงเรียนเอกชนสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงได้มากขึ้น สช. มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนการพัฒนาครูและนักเรียนในโรงเรียนเอกชนให้มีความรู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง”
ศาสตราจารย์ ดร.ประณัฐ โพธิยะราช คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ภาควิชาเคมีได้ริเริ่มนำแนวคิดของการทดลองเคมีแบบย่อส่วนมาใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ 2543 ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนของภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบัน มีการทดลองเคมีแบบย่อส่วนหลายเรื่อง ที่ได้นำมาใช้สอนในวิชาบริการสำหรับนิสิตสายวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่ 1 จึงเป็นที่น่ายินดี ที่ได้เห็นการนำมาประยุกต์ใช้สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษาอย่างทั่วถึง จะทำให้ลดความเหลื่อมล้ำด้านการสอนการทดลองวิทยาศาสตร์แก่นักเรียนในโรงเรียนเล็กและห่างไกล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นความสำคัญของโครงการนี้ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับการพัฒนาเยาวชนให้มีประสบการณ์ที่ดีในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อต่อยอดการเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่เราได้ร่วมลงนามความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้เราเข้ามาเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการเพื่อร่วมผลักดันโครงการดี ๆ ให้ไปถึงเด็กไทยทั่วประเทศต่อไป”

จากการดำเนินงานกว่า 10 ปี ของโครงการห้องเรียนเคมีดาว มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,200 แห่ง อบรมคุณครูไปแล้วกว่า 2,100 คน มีนักเรียนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงทั้งสิ้นกว่า 470,000 คน และในปีนี้ จะยังคงมีการจัดประกวดโครงงาน “ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน” DOW-CST Award เพื่อเป็นเวทีให้คุณครูและนักเรียนได้นำแนวคิดไปประยุกต์สร้างเป็นการทดลองใหม่ ๆ ด้วยวัสดุและทรัพยากรในท้องถิ่นของตนเอง
สำหรับคุณครูและนักเรียนที่สนใจแนวทางการเรียนวิทยาศาสตร์ด้วย “ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน” สามารถเข้าชมข้อมูลได้ฟรีที่เว็บไซต์ http://www.DowChemistryClassroom.com