December 05, 2025

เตรียมตัวให้พร้อม เชื่อมทุกหัวใจคนไทยให้รวมเป็นหนึ่งเดียวในมหกรรมกีฬาครั้งประวัติศาสตร์...

นพ. มีชัย อินวู๊ด รองผู้ว่าการ การกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายบริหาร ประธานคณะกรรมการบริหารการจัดการแข่งขัน การจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด โดย นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ บริษัท สปิน เวิร์ค จำกัด โดย นายธิษัณย์ ธนโรจน์ประดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร เพื่อมอบสิทธิ์ “ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW)” เป็นผู้ถ่ายทอดสดเอ็กซ์คลูซีฟเพียงรายเดียวในไทย ครอบคลุม 2 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (9–20 ธันวาคม 2568) โดยประเทศไทยรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพกระจายตามจังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี และสงขลา และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (20–26 มกราคม 2569) ที่จะจัดขึ้น ณ จังหวัดนครราชสีมา และกรุงเทพฯ โดย ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW) ในฐานะ ผู้นำด้านคอนเทนต์กีฬาและความบันเทิงดิจิทัลครบวงจรของไทย จะถ่ายทอดสดฟรี ครบทุกแมตช์ ทุกประเภทกีฬา ให้คนไทยได้ร่วมส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยให้เป็นเจ้าเหรียญทองได้แบบเรียลไทม์ ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ททีวี หรือกล่องทรูไอดี สะท้อนความมุ่งมั่นของทรูวิชั่นส์ในการคัดสรรคอนเทนต์ที่ดีที่สุด เพื่อเติมเต็มทุกช่วงเวลาสำคัญของผู้ชม และสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า เพราะทรูวิชั่นส์เข้าใจดีว่า ทุกชัยชนะของนักกีฬาไทยคือความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของทรูวิชั่นส์ ในฐานะ King of Sport ผู้นำคอนเทนต์กีฬาที่ครบถ้วนที่สุดในไทย เรามุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการถ่ายทอดสดสู่ระดับโลก

นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของทรูวิชั่นส์ ในฐานะ King of Sport ผู้นำคอนเทนต์กีฬาที่ครบถ้วนที่สุดในไทย เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW) ได้รับสิทธิ์เป็น OTT รายเดียวในประเทศในการถ่ายทอดสด 2 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทั้งการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยเฉพาะปีนี้ ที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันซีเกมส์ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญที่คนไทยทั่วประเทศจะได้ร่วมส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยแบบใกล้ชิด ติดขอบสนาม สร้างพลังและความภาคภูมิใจร่วมกันในฐานะเจ้าภาพ

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทรูวิชั่นส์ ที่พร้อมสนับสนุนวงการกีฬาไทยอย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่นนำเสนอประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุด ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครบวงจรที่สุดในประเทศ เราต้องการให้แฟนกีฬาทุกคนไม่พลาดทุกแมตช์สำคัญ สามารถรับชมแบบเรียลไทม์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ททีวี และกล่องทรูไอดี ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเชียร์ทัพนักกีฬาไทยได้อย่างใกล้ชิด ลื่นไหล และเต็มอิ่มกับทุกอารมณ์ของการแข่งขัน”

นายธิษัณย์ ธนโรจน์ประดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปิน เวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า “ความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการจัดการแข่งขันกับทรูวิชั่นส์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการถ่ายทอดพลังแห่งกีฬาซีเกมส์ และอาเซียนพาราเกมส์สู่สายตาผู้ชมทั่วประเทศ ผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ล้ำสมัย บริษัท สปินเวิร์ค จำกัด รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเป็นทางการ และเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การรับชมให้สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพ พร้อมส่งเสริมประโยชน์ให้กับทั้งแฟนกีฬา ผู้สนับสนุน และสังคมไทยโดยรวม”

เตรียมตัวให้พร้อม! สำหรับ 2 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคอาเซียน “ซีเกมส์ ครั้งที่ 33” (SEA Games 2025) และ “อาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13” (ASEAN Para Games 2025) ถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ ส่งตรงถึงหน้าจอคุณได้ที่ ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW) เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVision NOW) วันนี้ สามารถรับชมคอนเทนต์บันเทิง และกีฬาคุณภาพ ระดับพรีเมียมผ่าน สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ททีวี และกล่องทรูไอดี เพียงค้นหาคำว่า TrueVisions NOW ทาง App Store (IOS), Google Play (Android) และทาง TV STORE อาทิ Apple TV, Android TV, Samsung TV, LG TV

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ แกร็บ ประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วย การนำโซลูชัน GrabForBusiness มาใช้ในการจองบริการรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน Grab แอปเรียกรถ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ กฟภ. ในการเดินทางในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการปฏิบัติงานของ กฟภ. ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ผ่านระบบออนไลน์ทั้งยังช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนช่วยยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่มีเทคโนโลยีและมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากล

นายจักรี กิจบัญชา รองผู้ว่าการโลจิสติกส์และบริการองค์กร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ แกร็บ ในการทดลองเปลี่ยนมาใช้ระบบเรียกรถแบบ On-Demand ภายในองค์กร จากเดิมที่ใช้ระบบเช่ารถพร้อมพนักงานขับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งค่าจ้าง และค่าเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง รวมถึงไม่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานจริงที่มักเกิดขึ้นรายวัน การมีทางเลือกบริการของแกร็บนอกจากจะช่วยให้การเดินทางมีความยืดหยุ่น ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นระบบมากขึ้น และตอบโจทย์การใช้งานของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความโปร่งใส่ในองค์กร โดยเราให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้บริหาร และพนักงานปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้มาโดยตลอด โดย การจับมือกับแกร็บในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญขององค์กรภาครัฐในการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล มาใช้ในการเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ และช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น ตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่โปร่งใส”

นางสาวปุณณดา เหลืองอร่าม รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กรและงานโฆษณา แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 12 ปีในประเทศไทย บริการของแกร็บได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คนในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น บริการเรียกรถ บริการสั่งอาหาร-ของใช้ และส่งพัสดุ ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้บริการทั่วไป แต่ยังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าในองค์กรด้วย ดังนั้น แกร็บจึงได้ริเริ่มและพัฒนา GrabForBusiness ซึ่งเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับลูกค้าองค์กร ไม่ว่าจะเป็น การช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น การลดงานเอกสารและลดภาระในการสำรองจ่ายเงินของพนักงาน และการนำเสนอบริการของแกร็บที่มีมาตรฐานทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ แกร็บ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้สามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งานได้อย่างละเอียด ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นได้ในองค์กร”

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด โดยศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรไทร์พลัส ต่อยอดความร่วมมือพัฒนาช่างศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส แบบครบวงจร ตรวจสอบบำรุงรักษารถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า บริการประทับใจทุกระดับ โดยมีนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนางสาวมนฑรัตน์ ลิมปิยากร ผู้อำนวยการธุรกิจไทร์พลัสแฟรนไชส์ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งได้ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์การผลิตแรงงานฝีมือสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส ที่กลายเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญในการให้บริการการตรวจสอบระบบความปลอดภัย การบริการรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้งอุปกรณ์เสริม หรือบริการหลังการขายที่ช่วยให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายและมั่นใจ ซึ่งระหว่างปี 2558-2567ทั้ง 2 องค์กรได้ร่วมกันการขับเคลื่อนผลิตแรงงานฝีมือ จัดฝึกอบรมหลักสูตรด้านยานยนต์สมัยใหม่ ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ และสาขาการซ่อมรถยนต์ มีผู้ผ่านฝึกอบรมและทดสอบฯ รวมทั้งสิ้น 3,453 คน สำหรับในปี 2568 เป็นการต่อยอดความร่วมมือโดยร่วมกันพัฒนาหลักสูตรด้านยานยนต์ มีแผนจัดฝึกอบรมหลักสูตรการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า (ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชม.) และหลักสูตรมาตรฐานการปฏิบัติงานในศูนย์บริการบำรุงรักษารถยนต์(ระยะเวลาการฝึกอบรม 6 ชม.)  ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น สุพรรณบุรี เชียงใหม่ และตรัง และจัดทดสอบฯ สาขาช่างซ่อมรถยนต์ ระดับ 1 ให้แก่ช่างฝีมือ ช่างทั่วไป และพนักงานศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส ให้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะสำหรับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้มาตรฐานฝีมือแรงงาน สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ ตั้งเป้ามีผู้เข้ารับการฝึกอบรบไม่น้อยกว่า 200 คน

 

 

“ขอขอบคุณทางบริษัท สยามมิชลิน จำกัด ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ สร้างความเชื่อมั่นและประทับใจให้แก่ประชาชนในการรับบริการต่างๆ ในศูนย์บริการรถยนต์ พร้อมมีการจ้างงานมากขึ้นในตำแหน่งช่างฝีมืออีกด้วย”

นางสาวมนฑรัตน์ ลิมปิยากร ผู้อำนวยการธุรกิจไทร์พลัสแฟรนไชส์ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด กล่าวว่า “ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรไทร์พลัสพร้อมผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อเป้าหมายสำคัญ ในการมุ่งพัฒนายกระดับศักยภาพบุคลากรและศูนย์บริการไทรพลัส ให้มีความเชี่ยวชาญทางด้านการบำรุงรักษารถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า ตามมาตรฐานการรับรองจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและมาตรฐานสากล ITSO เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าใช้บริการที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดี จากบริการในระดับมาตรฐานสากล ส่งมอบความปลอดภัย  และความอุ่นใจด้วยความโปร่งใส จริงใจในทุกการให้บริการ พร้อมดูแลคุณและคนที่คุณรักด้วยบริการครบวงจรของไทร์พลัส ที่มีอยู่กว่า 170 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศไทย

 

 

BINANCE TH by Gulf BINANCE  หนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น นักการตลาดดิจิทัล

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  “กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย"

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า "การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้"

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ"

 Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า "เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับ Gulf Thailand และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คน

เกี่ยวกับบล็อกเชนและคริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีคริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3"

ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

 บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เดินหน้าจับมือโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ต่อยอดความสำเร็จจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดตั้งแต่ปี 2566 เพื่อให้ประชาชนภายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงการตรวจหาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ในปีนี้เราได้ขยายขอบเขตความร่วมมือสู่การวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยเฉพาะราย รวมถึงการสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่ครอบคลุม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มดำเนินการในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปอดและมะเร็งตับเป็นกลุ่มนำร่อง ทั้งยังช่วยสนับสนุนการเข้าถึงการตรวจหายีนส์กลายพันธุ์และร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะแรกเริ่มซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในเพิ่มโอกาสรอดชีวิต

โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลศูนย์ของภาคตะวันออก พื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล 8 โรงพยาบาล ครอบคลุมผู้ป่วยในจังหวัดจันทบุรี ตราด สระแก้ว และ 3 อำเภอของจังหวัดระยอง อาคารศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “มะเร็งรักษาหายได้ หากได้รับโอกาสในการรักษา” โดยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เข้ามารับการรักษาที่ศูนย์แห่งนี้อยู่ที่ประมาณ 2,000 คนต่อปี และพบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่สูงถึง 200 คน ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในระยะสุดท้าย จากความร่วมมือกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประกอบการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในปี 2566 ที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า และโรงพยาบาลในเครือข่าย ส่งผลให้พบผู้ป่วยในระยะแรกเริ่มได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงขยายไปสู่โรคปอดอื่น ๆ เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด วัณโรค และ โรคหัวใจ เช่น

หัวใจล้มเหลว เป็นต้น นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีศูนย์ Clinical Research Center ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก เพื่อศึกษาวิจัยยาใหม่ในผู้ป่วยมะเร็ง

 

นายแพทย์ธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในภาคตะวันออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับโรคมะเร็งซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย การลงนามความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระปกเกล้าเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้มีความครอบคลุมการพัฒนาในทุกมิติ ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และการคัดกรองโรคในระยะเริ่มต้น การพัฒนาระบบการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การรักษาที่แม่นยำเฉพาะบุคคลด้วยการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม ไปจนถึงการวิจัยระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งปอดและมะเร็งตับ ซึ่งพบมากในประชากรไทย นอกจากนี้ เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ผ่านการอบรมและสัมมนาวิชาการ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และเพื่อให้โครงการนี้สามารถเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในระดับประเทศต่อไปในอนาคต”

 

ด้านนายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เผยว่า “ปัจจุบัน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญมากในประเทศไทย โดยมีโรคมะเร็งเป็นปัญหาหลัก ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลพระปกเกล้านี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้นำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยมาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของการคัดกรองมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพและขยายผลไปสู่การตรวจในกลุ่มมะเร็งตับ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการทำงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้าแห่งนี้ให้สามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น”

“และเนื่องจากสถิติการตรวจพบมะเร็งในคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี แอสตร้าเซนเนก้าเล็งเห็นความสำคัญของการผลักดันให้คนไทยเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต เพราะการตรวจพบจะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้รวดเร็วขึ้น สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค และเพิ่มโอกาสในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมแก่แพทย์ได้ แอสตร้าเซนเนก้าคาดหวังว่าการร่วมมือกับ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ในครั้งนี้จะส่งเสริมการยกระดับคุณภาพชีวิตและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทย และด้วยเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปอด โครงการนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าที่จะช่วยให้คนไทยห่างไกลโรคร้าย เพราะสุขภาพที่ดีของทุกคนคือจุดมุ่งหมายที่เรายึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด” นายโรมัน กล่าวทิ้งท้าย

Page 1 of 11
X

Right Click

No right click