เป็นเวลากว่า 1 ปีที่ SCGD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการตามพันธกิจเป็นผู้นำวัสดุปิดผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง แม้ปีนี้จะเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติที่ท้าทาย แต่บริษัทยังมุ่งมั่นเดินหน้าตามกลยุทธ์ดำเนินงาน เตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อสถานการณ์ตลาดฟื้นตัว ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง มีการเติบโตที่สำคัญใน 6 ด้านหลัก ได้แก่
บริษัทเร่งลงทุนในโครงการลดต้นทุนโดยการใช้เชื้อเพลิงทดแทน และพลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้สามารถใช้พลังงานชีวมวลประมาณ 19% และพลังงานจากโซลาร์เซลล์ประมาณ 10% ในการผลิตทั้งหมด โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทั้งสองประเภทให้ถึง 46% และ 15% ภายในปี 2573 ตามลำดับ
บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น เช่น กระเบื้องเกรซพอร์ซเลน X-Strong ที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และวัสดุตกแต่งพื้นผิว Paws & Play ลดอาการข้อเสื่อมของสัตว์เลี้ยง และทนต่อรอยขีดข่วนรวมถึงสุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Smart toilet) นอกจากนี้ SCGD ได้ปรับปรุงไลน์การผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงทั้งในไทยและเวียดนาม เพราะมีคุณสมบัติที่แข็งแรง สวยงาม อีกทั้งเปิดไลน์ผลิตวัสดุตกแต่งพื้นผิว SPC LT by COTTO ในไทย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ใช้งานได้สะดวกสบายขึ้นด้วยคุณสมบัติการติดตั้งง่าย และทนทาน
บริษัทขยายตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์ในแต่ละประเทศกว่า 170 รายทั่วอาเซียนในปีนี้ อีกทั้งร่วมปรับหน้าร้านโชว์รูมของตัวแทนจำหน่ายให้สอดคล้องกับแบรนด์ของสินค้าทุกระดับ ส่งผลให้ยอดขายการส่งออกสุขภัณฑ์ไปยังอาเซียนเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะกว่า 500 ล้านบาท
SCGD ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงตลาดและเข้าใจความต้องการลูกค้ามากขึ้น โดยในประเทศไทยได้เปิดร้าน COTTO LiFE สาขาดอนเมืองซึ่งเป็นแฟลกชิปโชว์รูม พร้อมบริการครบวงจร ส่วนในต่างประเทศ ได้เพิ่มร้าน CTM ในฟิลิปปินส์กว่า 4 สาขา รวมทั้งเปิดร้านค้าของบริษัทแห่งแรกในประเทศเวียดนามและประเทศกัมพูชาชื่อ V-Ceramic และ OK Tiles Outlet ตามลำดับ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดวัสดุก่อสร้าง และการตกแต่งบ้านที่กำลังขยายตัว
SCGD ได้รับรางวัลมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค เช่น รางวัล “2024 THAILAND’S MOST ADMIRED BRAND” จาก BrandAge ในโอกาสที่ COTTO ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 13 รางวัลแบรนด์วัสดุปิดผิวและสุขภัณฑ์ชั้นนำ "Marketeer Number 1 Brand Thailand" รางวัลชนะเลิศ กระเบื้อง COTTO รักษ์โลกรุ่น ECO-SHIZZO ในเวที TGDA 2024 และรางวัลวัสดุก่อสร้างเพื่อสัตว์เลี้ยงดีเด่นจากบ้านและสวน รวมถึงรางวัลระดับภูมิภาคอย่าง "ASIA's Top Influential Brands Awards 2023" สุดยอดแบรนด์ระดับเอเชีย ที่ครองใจผู้บริโภคในอุตสาหกรรมและ "Asia Excellent Brand Awards 2024" ในประเทศเวียดนาม
ช่วงเดือนธันวาคม SCGD ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็นหนึ่งใน "หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings" ระดับ A กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Propcon) และ "ดัชนี SETESG" ประจำปี 2567 สะท้อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ลงทุน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสิ่งแวดล้อม
บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาพัฒนานวัตกรรมสินค้า โซลูชัน ตอบเทรนด์โลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแผนงานระยะยาว (ปี 2025-2030) ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยั่งยืน และลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้เป็น 2 เท่า ตามเป้าที่ตั้งไว้ภายในปี 2030
เอสซีจี ร่วมแบ่งปันหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในงาน “Vietnam Circular Economy Forum 2024” จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเวียดนาม และพันธมิตรองค์กรชั้นนำทั้งเวียดนามและไทย เพื่อนำแผนยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนแห่งชาติเวียดนาม ซึ่งกำลังจะได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีของเวียดนามไปปฏิบัติจริง หลังภาครัฐ เอกชน องค์กรไม่แสวงผลกำไร สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งเอสซีจี ร่วมผลักดันแผนดังกล่าวมากว่า 3 ปี
นายชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี เผยในงานดังกล่าวว่า “แนวคิดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน ESG (Environmental, Social, Governance) เพื่อสร้าง Inclusive Green Growth ของเอสซีจี เราจึงร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเวียดนาม และอีกหลายภาคส่วน จัดงาน “Vietnam Circular Economy Forum 2024” ขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สำหรับปีนี้ที่เวียดนามได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนแห่งชาติขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ เอสซีจีในฐานะองค์กรที่ส่งเสริม ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า นำทรัพยากรใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงมุ่งมั่นร่วมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนนี้ทั้งในเวียดนามและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน หรือภูมิภาคอื่น ๆ ที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ อย่างเช่นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เอสซีจีได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน จัดงาน “ESG SYMPOSIUM 2024 INDONESIA: INCLUSIVE GREEN GROWTH FOR GOLDEN INDONESIA” ในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสร้างความร่วมมือผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
นายดุสิต ชัยรัตน์ Head of Smart Solution Business เอสซีจี ร่วมแสดงความยินดีในพิธีมอบป้ายมาตรฐานอาคารเขียว LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) แก่บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) นำโดย ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หลังโครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร ในส่วนอาคารสำนักงานประสบความสำเร็จผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED ตอกย้ำแนวคิด “Green Building @ Sathorn” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างลงตัว โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท SCG Building and Living Care Consulting เป็นที่ปรึกษาการขอรับรองมาตรฐานครั้งนี้
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ มุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 40 ภายในปี 2573 จาก BAU (Business As Usual) สำหรับโครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร เป็นหนึ่งในโครงการมาสเตอร์พีซของศุภาลัย ที่โดดเด่นด้วยแนวคิดรักษ์โลก “Green Building @ Sathorn” ให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบอาคารที่ช่วยประหยัดพลังงาน การเลือกใช้วัสดุ Green Product และการเลือกคู่ค้าที่ใส่ใจกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในการก่อสร้าง การบริหารจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ นอกจากนี้ การได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED สำหรับอาคารสำนักงาน ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของศุภาลัยในการสร้างสรรค์อาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับมาตรฐานที่อยู่อาศัยรักษ์โลก ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม”
ด้าน นายดุสิต ชัยรัตน์ Head of Smart Solution Business เอสซีจี กล่าวว่า “โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร เป็นตัวอย่างของการพัฒนาอาคารสำนักงานอย่างยั่งยืน โดยสามารถลดการใช้พลังงานและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED เกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัท SCG Building and Living Care Consulting ในฐานะที่ปรึกษาการทำมาตรฐานอาคาร LEED ของโครงการ และบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่นำแนวคิดอาคารเขียวมาผสมผสานกับการพัฒนาที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการอยู่อาศัยและการทำงานในยุคปัจจุบัน”
ทั้งนี้ บริษัท SCG Building and Living Care Consulting จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญให้บริการด้านอาคารเขียว อาคารประหยัดพลังงาน อาคารเพื่อสุขภาวะที่ดี และการพัฒนาอาคารเพื่อมุ่งสู่ Net Zero โดยเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรอง LEED Proven Provider จากองค์กร U.S. Green Building Council การันตีถึงประสบการณ์และคุณภาพระดับสูงของทีมงานให้คำปรึกษา มีบริการด้านการขอรับรองมาตรฐานอาคาร อาทิ LEED, TREES, Edge, WELL และ Fitwel โดยมีโครงการที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากลแล้วกว่า 200 โครงการ สำหรับผู้ที่สนใจรับคำปรึกษาการขอรับรองมาตรฐานอาคาร สอบถามข้อมูลได้ที่ อีเมล : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ โทร. 065-719-7909