

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO เผยความสำเร็จของ “โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) โดยชูพื้นที่ปากน้ำปราณบุรี อุทยานแห่งชาติกุยบุรีและอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เป็นต้นแบบของการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ผ่านกิจกรรมพิเศษ “BEDO Reach to Love: เที่ยวให้ลึกเพื่อที่จะรักษ์”

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการ BEDO กล่าวว่า “BEDO มีเป้าหมายหลักในการผลักดันนโยบายตอบสนองต่อเป้าหมายระดับโลกในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและ Nature Positive เพื่อหยุดยั้งและฟื้นฟูการสูญเสียธรรมชาติภายใน ปี 2030 โดยใช้ปี 2020 เป็นปีฐาน และมุ่งให้เกิดการฟื้นฟูธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050 BEDO เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมให้ ‘การอนุรักษ์’ สามารถสร้าง ‘รายได้’ ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนท้องถิ่นได้ ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมกระบวนทัศน์ดั้งเดิมที่มักมองว่าการอนุรักษ์เป็นเพียงภาระหรือต้นทุนที่ชุมชนต้องแบกรับ ให้กลายเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดในสินทรัพย์ทางธรรมชาติที่มีอยู่ การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนในรูปของตัวเงิน แต่ยังสร้างคุณค่าที่ประเมินไม่ได้ ทั้งความภาคภูมิใจในท้องถิ่น การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการเป็นผู้พิทักษ์ทรัพยากรอันล้ำค่าด้วยตนเอง โดยไม่ได้มองพื้นที่เป้าหมายเหล่านี้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่มุ่งเน้นยกระดับให้เป็น ‘พื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต’ ซึ่งแตกต่างกับการท่องเที่ยวทั่วๆไป นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่เป็นผู้มีส่วนร่วมในวงจรแห่งความยั่งยืน การใช้จ่ายของของนักท่องเที่ยวจะถูกส่งตรงกลับไปบำรุงรักษาระบบนิเวศที่พวกเขากำลังชื่นชม และกิจกรรม ‘BEDO Reach to Love’ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นได้และประสบความสำเร็จแล้วอย่างไร การจัดเส้นทางต้นแบบ “กุยบุรี-สามร้อยยอด” นี้จึงเปรียบเสมือนบทสรุปที่มีชีวิตของโครงการทั้งหมด เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยและแผนงานต่างๆ ออกมาจากหน้ากระดาษ มาสู่การสัมผัสจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้อย่างไร โดยแต่ละสถานที่ที่ไปเยือนนั้น ไม่ได้ถูกเลือกมาอย่างบังเอิญ แต่จะสะท้อนผลลัพธ์ของโครงการในมิติต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่โมเดลการจัดปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับ สัตว์ป่าที่กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงนวัตกรรมชุมชนที่เปลี่ยนของเหลือใช้ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่า และการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับคนรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้คือจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันเป็นภาพความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง”

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวถึงบทบาทของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่โอบรับผู้คนและธรรมชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
“การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทย ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทำงานร่วมกับประเทศไทยเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวนั้นควบคู่ไปกับธรรมชาติ ที่จะช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยประสบการณ์จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเห็นแนวทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมกันได้”
โดยในปีพ.ศ. 2570 ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) UNDP เตรียมร่วมมือกับ BEDO นำ Access and Benefit Sharing (ABS) มาสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถจัดการการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่างครอบคลุม และและทำให้มั่นใจว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือองค์ความรู้ จะถูกแบ่งปันอย่างเป็นธรรม ซึ่งระบบนี้ช่วยปกป้องสิทธิของประเทศและชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยุติธรรมและยั่งยืน

อุทยานแห่งชาติกุยบุรี: จากพื้นที่ขัดแย้งสู่โมเดลการอยู่ร่วมกันและซาฟารีเมืองไทย
ในอดีต ปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้างป่าในพื้นที่กุยบุรีเป็นเรื่องใหญ่ แต่ด้วยเป้าหมายในการสร้างสมดุล ทำให้เกิดการพัฒนาจนกลายเป็นต้นแบบการจัดการที่ได้รับการยอมรับ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือการก่อตั้ง “Kuiburi Ecotourism Club” วิสาหกิจชุมชนที่เปลี่ยนผืนป่าให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศระดับพรีเมียม กิจกรรม “นั่งรถซาฟารีชมช้างป่าและกระทิง” ไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยว แต่คือผลผลิตโดยตรงจากการอนุรักษ์ที่ประสบความสำเร็จ เมื่อป่าสมบูรณ์ สัตว์ป่าปลอดภัย ชุมชนก็สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืนจากการเป็นผู้พิทักษ์และนำเที่ยวได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ ที่ ชุมชนบ้านรวมไทย ยังเป็นที่ตั้งของนวัตกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าทึ่ง “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกระดาษจากใบสับปะรดและขี้ช้างป่ากุยบุรี” โดยเปลี่ยน “มูลช้าง” ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษสาที่มีเอกลักษณ์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ขณะที่ “วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงชันโรงและผึ้งโพรงไทย” คือผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาด้วยธรรมชาติ โดยใช้ “ผึ้ง” เป็นแนวป้องกันช้างเข้าพื้นที่เกษตร ซึ่งไม่เพียงลดความเสียหาย แต่ยังสร้างอาชีพเสริมจากการขายน้ำผึ้งคุณภาพสูง เป็นการตอกย้ำเป้าหมายของโครงการในการส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง

อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด: เมื่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศคือผลิตภัณฑ์ล้ำค่า
พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งสามร้อยยอด คือหัวใจของความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศแห่งนี้ให้คงอยู่ และมีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของมัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยชุมชนบ้านหน้าทุ่งสามร้อยยอด” ซึ่งได้เปลี่ยนความงามของทิวทัศน์และระบบนิเวศให้เป็นกิจกรรม “ล่องเรือถ่อ” ที่สร้างรายได้และชื่อเสียง กิจกรรมนี้คือข้อพิสูจน์ว่า เมื่อชุมชนเห็นคุณค่าและร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรนั้นก็จะมอบประโยชน์คืนกลับมาสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
ที่สำคัญ โครงการยังมุ่งเน้นการสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อสืบสานการอนุรักษ์ ดังจะเห็นได้จาก “วิสาหกิจชุมชนเด็กรักษ์ทุ่งเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนที่ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อสารเรื่องราวของระบบนิเวศบ้านเกิดของตนเอง นี่คือผลลัพธ์ระยะยาวที่สำคัญที่สุด คือการสร้างผู้พิทักษ์รุ่นต่อไปที่เข้าใจและหวงแหนมรดกทางธรรมชาติของตนเอง

เรื่องราวความสำเร็จและผลิตภัณฑ์อันเปี่ยมด้วยนวัตกรรมจากชุมชนต้นแบบเหล่านี้ ถูกนำมารวบรวมและจัดแสดงอย่างเต็มรูปแบบในงาน “BioMart Hua Hin 2025” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า Market Village Hua Hin ซึ่งงานนี้เป็นมากกว่าเวทีให้ผู้ประกอบการชุมชนได้พบกับผู้บริโภคโดยตรง แต่คือบทสรุปที่มีชีวิตและเป็นรูปธรรมที่สุดของความสำเร็จจากโครงการทั้งหมด
เป็นพื้นที่ซึ่งผลลัพธ์ของการอนุรักษ์สามารถจับต้องได้ผ่านผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น และเป็นบทพิสูจน์ว่าการดำเนินงานของโครงการนี้ ได้สร้างโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน ซึ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจฐานราก สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO จับมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) ประกาศจัดงาน “Bio Mart Hua Hin 2025” มหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้าชีวภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 1 - 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า Market Village Hua Hin จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) มีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการ BEDO กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการว่า BEDO มุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ ซึ่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไม่เพียงแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีชื่อเสียง แต่ยังเป็นคลังมหาสมบัติด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของประเทศ งาน BioMart Hua Hin 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงสินค้า แต่เป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ได้นำความหลากหลายทางชีวภาพมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์และบริการ
“เราต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ‘การอนุรักษ์’ สามารถสร้าง ‘รายได้’ ที่มั่นคงให้กับชุมชนได้จริง เป็นการเปลี่ยนต้นทุนทางธรรมชาติให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เราเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่แข็งแกร่งในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศไว้สำหรับคนรุ่นหลังต่อไปในอนาคต”

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวถึงบทบาทของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่โอบรับผู้คนและธรรมชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
“การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทย ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทำงานร่วมกับประเทศไทยเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวนั้นควบคู่ไปกับธรรมชาติ ที่จะช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยประสบการณ์จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเห็นแนวทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมกันได้”
โดยในปีพ.ศ. 2570 ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) UNDP เตรียมร่วมมือกับ BEDO นำ Access and Benefit Sharing (ABS) มาสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถจัดการการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่างครอบคลุม และทำให้มั่นใจว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือองค์ความรู้ จะถูกแบ่งปันอย่างเป็นธรรม ซึ่งระบบนี้ช่วยปกป้องสิทธิของประเทศและชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยุติธรรมและยั่งยืน
การจัดงานครั้งนี้ยังถือเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยตรง คาดว่าจะช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นมีช่องทางการตลาดที่เข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริม ‘เศรษฐกิจชีวภาพ’ (Bio-economy) ตามนโยบายของประเทศที่มุ่งเน้นการนำทรัพยากรชีวภาพมาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งงานนี้จะเป็นการนำเสนอตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในมิติของการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยได้เลือกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดต้นแบบ

นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า “จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก มีทั้งพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ยาวสวยงาม อุทยานแห่งชาติทางบกและทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ มีศักยภาพอันโดดเด่นทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ที่เป็นบ้านของสัตว์ป่านานาชนิด, อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ที่มีระบบนิเวศทั้งทางบกและทางทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำและปากน้ำปราณบุรี ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนทางธรรมชาติที่ประเมินค่ามิได้ จึงเป็นความท้าทายในการพัฒนาโมเดลการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์อย่างจริงจัง เราสามารถเป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมสามารถเดินไปด้วยกันได้”

ภายในงาน “Bio Mart Hua Hin 2025” ผู้เข้าชมจะได้พบกับกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายภายใต้แนวคิด “ความหลากหลายทางชีวภาพที่เราไม่ค่อยรู้” ประกอบด้วย:

นอกจากกิจกรรมในตลาดแล้ว โครงการฯ ยังได้ริเริ่มกิจกรรมนำร่องสุดพิเศษ “BEDO Reach to Love: เที่ยวให้ลึกเพื่อที่จะรักษ์” ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ แบบ One Day Trip ที่จะนำนักท่องเที่ยวไปสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไป โดยตลอดการเดินทางจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมให้ความรู้ อาทิ คุณเจท-อธิปัตย์ อู่ศิลปกิจ นักวิจัยจากมูลนิธิโลกสีเขียว ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงและแมงมุม และคุณแวนชัย ประมาณ นักถ่ายภาพนกและสัตว์ป่าชื่อดัง เพื่อสร้างความเข้าใจและความผูกพันระหว่างนักท่องเที่ยวกับทรัพยากรท้องถิ่นอย่างแท้จริง และยังมี Influencer ชื่อดัง คุณเคธี เพจ Kethy and George และคุณนิว ชยพล จูเลียน พูพาร์ต ร่วมเดินทางสัมผัสประสบการณ์ที่น่าค้นหาและซาบซึ้งไปกับการท่องเที่ยวอย่างไรให้ยั่งยืน

การจัดงาน ‘Bio Mart Hua Hin 2025’ ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวชีวภาพให้เป็นรูปธรรมและยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยจะเป็นต้นแบบที่พิสูจน์ว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งสามารถอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และตอกย้ำศักยภาพของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในการเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานโยบายการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบและยั่งยืนของประเทศต่อไป
เจนเนอราลี่ กรุ๊ป ผนึกกำลัง โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme – UNDP) จัดประชุมใหญ่ “Building SME Resilience in Asia” เผยผลวิจัยด้านความยืดหยุ่นและความเสี่ยงของผู้ประกอบการกลุ่ม MSMEs ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะที่ประเทศไทย-มาเลเซีย เพื่อผลักดันความช่วยเหลือ พร้อมนำเสนอคู่มือป้องกันความสูญเสียสำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนและการสร้างสรรค์นวัตกรรมประกันภัย เพื่อเป็นกุญแจสู่ความมั่นคงและความยั่งยืนในการทำธุรกิจ รวมถึงการขยายโครงการ SME EnterPRIZE สู่ภูมิภาคเอเชีย
เจนเนอราลี่ กรุ๊ป ร่วมมือกับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme) จัดงานประชุมเพื่อต่อยอดโครงการสนับสนุนการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง เพื่อมุ่งลดช่องว่างด้านความคุ้มครองให้กลุ่มผู้ประกอบการเปราะบางทั่วโลกผ่านโซลูชันการประกันภัย ที่สอดคล้องกับภารกิจสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และกำหนดแนวทางให้การประกันภัยเป็นกุญแจสู่ความมั่นคง ยั่งยืน และช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พร้อมเปิดเผยผลการวิจัยร่วม หัวข้อ "การเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ที่เน้นการศึกษาห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย เพื่อนำเสนอแนวทางในการประเมินความเสี่ยงของ MSMEs และบริการประกันภัย ซึ่งงานวิจัยระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ประกอบการ MSMEs คิดเป็นร้อยละ 99.6 ประเทศมาเลเซีย คิดเป็นร้อยละ 97.4 ถือเป็นสัดส่วนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีบทบาทสำคัญในการแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่หลากหลาย ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ปัญหาการหยุดชะงักของธุรกิจ และการเข้าถึงตลาดเงินทุนที่จำกัด โดยความเสี่ยงเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นจากการขาดการบริหารจัดการความเสี่ยง กลไกการรับมือ และความคุ้มครองจากประกันภัย และยังพบว่า MSMEs ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประกันภัยคุ้มครองน้อยกว่าร้อยละ 5

นายไฮเม่ อังคัสเตกุย เมลกาเรโจ CEO International of Generali กล่าวว่า “วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตและพัฒนาการของตลาดเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจกลุ่มนี้กำลังเผชิญกับความเสี่ยงซึ่งทวีความรุนแรงมาก ส่งผลต่อความต่อเนื่องของธุรกิจและความสามารถในการคว้าโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ประกันภัยถือเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาเพื่อให้วิสาหกิจเหล่านี้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเป็นก้าวสำคัญของเจนเนอราลี่ กรุ๊ป ในการสนับสนุนผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มเปราะบางในเอเชีย”
โดยแนวทางใหม่ที่เสนอในการวิจัยฉบับนี้ คือ การแบ่งประเภทธุรกิจเพื่อทำความเข้าใจลักษณะความเสี่ยงและความต้องการเฉพาะของผู้ประกอบการในแต่ละประเภท พร้อมกับการสร้างความยืดหยุ่นต่อความเสี่ยง ด้วยการผนวกผลิตภัณฑ์ประกันภัยเข้ากับเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มดิจิทัล และการขยายโครงการ SME EnterPRIZE ในภูมิภาคเอเชีย ต่อยอดจากความสำเร็จที่ได้ร่วมกับ SMEs หลายพันรายในยุโรปตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาในการส่งเสริมและปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งความยั่งยืน
พร้อมกันนี้เจนเนอราลี่ และ UNDP ได้เปิดตัว “คู่มือป้องกันความสูญเสียสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” (SME Loss Prevention Framework) ซึ่งเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ใช้ประโยชน์ช่วยยกระดับความพร้อมและสร้างการรับรู้ด้านความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ รวมถึงแนวทางการรับมือ

ทางด้าน นาย แจน เคลเลตต์ (Jan Kellett) Global and Corporate Lead on Insurance and Risk Finance, Head of the Insurance and Risk Finance Facility, UNDP กล่าวว่า “สำหรับในภูมิภาคอาเซียน วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) คิดเป็นร้อยละ 45 ของ GDP รวมของภูมิภาค โดยความเปราะบางของวิสาหกิจเหล่านี้ ที่อาจต้องเผชิญภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด หรือการหยุดชะงักในห่วงโซ่การผลิตและระบบโลจิสติกส์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นต้องเร่งสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มศักยภาพการอยู่รอด สามารถรับมือได้กับความเสี่ยงทุกรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ได้ ด้วยเครื่องมือและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงประกันภัยจะเป็นหนึ่งในตาข่ายนิรภัย เครื่องมือลดความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ”
นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับฟังแนวทางการส่งเสริมกลุ่มผู้ประกอบการ MSMEs จากตัวแทนผู้บริหารระดับสูงจากเจนเนอราลี่ กรุ๊ป และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ อาทิ นายร็อบ ลีโอนาร์ดี Regional Officer International – Asia, Generali Group นางสาวลูเซีย ซิลวา Generali Group Chief Sustainability Officer พร้อมด้วย นายนิลอย บาเนอร์จี Resident Representative, UNDP Malaysia โดยมีตัวแทนจาก ภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ รวมถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจนเนอราลี่ทั่วภูมิภาคเอเชีย ผู้ประกอบการ พาร์ทเนอร์ ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน เมื่อเร็วๆ นี้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
FWD ประกันชีวิต องค์กรที่สนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียมอย่างต่อเนื่อง
เดือนมิถุนายนของทุกปี ไม่ใช่แค่เดือน Pride Month หรือ เดือนแห่งการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศของ LGBTQ+ ทั่วโลก