December 05, 2025

แกร็บ ประเทศไทย เผยไฮไลท์ความสำเร็จในปี 2567  พร้อมเผยแผนขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568  พร้อมแถลงวิสัยทัศน์ “Lead with Purpose” ผ่าน 5 กลยุทธ์ “S.M.A.R.T” เป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (Sustainability) ขยายบริการให้เข้าถึงคนทุกเจเนอเรชัน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Market Expansion) นำเสนอทางเลือกของบริการในราคา ที่เข้าถึงได้ (Affordability) รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า (Retention) พัฒนาเทคโนโลยี และบริการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของทุกคน (Tech & Innovation)

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ปี 2567 ถือเป็น อีกหนึ่งปีที่ยอดเยี่ยมของ แกร็บ ประเทศไทย โดยเรายังคงครองความเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ที่ผู้ใช้ ให้ความเชื่อมั่นทั้งในบริการเรียกรถผ่านแอปและเดลิเวอรี ทั้งยังสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกธุรกิจ โดยมีไฮไลท์ความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทย ผ่านกิจกรรมสำคัญอย่าง การเปิดให้บริการจุดรับ-ส่งในสนามบินหลักทั้ง 4 แห่ง อันได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ การทำแคมเปญเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรอง ควบคู่ไปกับการขยายบริการเรียกรถไปยังพื้นที่ใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดจนการร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชนจัดตั้งภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (Tourism Taskforce) เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค ด้วยอานิสงส์ของนโยบายดังกล่าว ทำให้ในปีที่ผ่านมา ยอดใช้บริการเรียกรถ ในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้นถึง 138%2”

เรายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและแก้ปัญหา (pain point) ในชีวิตประจำวันของคนในอีโคซิสเต็ม อาทิ การอัปเกรดฟีเจอร์ Group Order หรือบริการสั่งอาหารแบบกลุ่ม ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมียอดสั่งอาหารเติบโตขึ้น 2 เท่า3 การปรับโฉมฟีเจอร์ Advance Booking หรือบริการจองล่วงหน้า โดยมียอดใช้บริการพุ่งขึ้นถึง 60% ในช่วงเทศกาล4 รวมถึงบริการ Dine Out Deals หรือการขายดีลพิเศษสำหรับการรับประทานที่ร้าน ซึ่งมียอดการใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 11 เท่า4 ขณะเดียวกัน เรายังได้นำเสนอทางเลือกใหม่ของบริการในราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านการเปิดตัวบริการ GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก สะท้อนผ่านยอดใช้บริการที่เติบโตขึ้นมากกว่า 4 เท่า3 การเพิ่มตัวเลือก Delivery SAVER ในบริการสั่งอาหาร ซึ่งมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า3 รวมถึงการเปิดตัว ซับแบรนด์ Hot Deals เพื่อนำเสนอดีลลดแรงจากร้านอาหารดังทั่วประเทศ ซึ่งในปีที่ผ่านมาช่วยให้ผู้ใช้บริการประหยัดเงิน รวมกว่า 2 พันล้านบาท5 นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) โดยเฉพาะบริการ GrabAds ที่ปรับรูปแบบจากการขายโฆษณาเป็นการนำเสนอโซลูชันการตลาดแบบสร้างสรรค์ (Creative Marketing Solutions) เพื่อช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจสามารถสร้างแบรนด์และยอดขายจากออนไลน์ไปสู่ออฟไลน์ รวมถึงบริการ Grab For Business ที่มีการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ จนมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 80%2” นางสาวจันต์สุดา กล่าวเสริ 

สำหรับในปี 2568 แกร็บ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้ วิสัยทัศน์ “Lead with Purpose” โดยมุ่งสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันและตอกย้ำบทบาทของแกร็บ ในฐานะผู้นำซูเปอร์แอปเพื่อยกระดับมาตรฐานของธุรกิจการเดินทางและเดลิเวอรี ควบคู่ไปกับการสานต่อพันธกิจ GrabForGood ที่มุ่งใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับคนไทย โดยจะมุ่งเน้นไปที่ 5 แนวทางหลักภายใต้กลยุทธ์ “S.M.A.R.T” ซึ่งประกอบด้วย

S: Sustainability มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

· นอกจากการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แกร็บยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลง เชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญอย่าง “โครงการ Grab EV” ที่ส่งเสริมให้คนขับใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันมียอดการใช้รถ EV แล้วกว่า หนึ่งหมื่นคัน ควบคู่ไปกับ “โครงการชดเชยคาร์บอน” ที่ให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงินผ่านฟีเจอร์ Carbon Offset เพื่อนำไปซื้อคาร์บอนเครดิตและทำกิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มทดลองกิจกรรมใหม่ๆ อย่าง “โครงการ Grab Go Green อิ่มคุ้มช่วยโลกกับ GrabFood” ที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการสั่งอาหารในราคาพิเศษในช่วงก่อนปิดร้านเพื่อช่วยลดขยะอาหารจากร้านค้า เป็นต้น

· ในด้านสังคม นอกเหนือจากกลุ่มคนขับและพาร์ทเนอร์ร้านค้าซึ่งเป็นคนในอีโคซิสเต็มแล้ว แกร็บยังได้ส่งเสริม การสร้างโอกาสให้กับกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ผ่าน “โครงการ GrabSpark” ที่เปิดเวทีให้นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้แสดงศักยภาพผ่านการประกวดแผนธุรกิจ พร้อมโอกาสในการฝึกงานกับแกร็บ รวมถึง “โครงการ GrabScholar” กับการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาที่มีศักยภาพ ซึ่งจะเปิดตัว อย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้

 M: Market Expansion ขยายบริการให้เข้าถึงคนทุกเจเนอเรชัน

· ในปีนี้ แกร็บเดินหน้าขยายบริการเพื่อให้ครอบคลุมคนทุกเจเนอเรชัน โดยล่าสุดได้เปิดตัว 4 หนุ่มสุดฮอตอย่าง เจมีไนน์-โฟร์ท และ สกาย-นานิ ในฐานะ “Friends of Grab” เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Z และ Millennials เสริมทัพ เบลล่า-ราณี ซึ่งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง

· นอกจากนี้ แกร็บยังได้ผลักดันการใช้ฟีเจอร์บัญชีครอบครัว (Family Account) เพื่อขยายการให้บริการไปยังกลุ่ม Baby Boomer และ Gen Alpha ผ่านผู้ใช้บริการหลัก (Core User) ที่ต้องการเรียกรถให้กับสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคนอาวุโส (พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่) และกลุ่มเด็กเล็ก (ลูก-หลาน)

· สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปีนี้แกร็บยังคงเดินหน้าสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะนโยบาย “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ของรัฐบาล ผ่านการสนับสนุนและเข้าร่วมอีเวนท์สำคัญระดับประเทศและเทศกาลเชิงวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นตลอดทั้งปี อาทิ งาน S2O Songkran Music Festival งาน Siam Songkran Music Festival และ Maha Songkran World Water Festival 2025 เป็นต้น

 

A: Affordability นำเสนอทางเลือกของบริการในราคาที่เข้าถึงได้

· แกร็บเตรียมต่อยอดความคุ้มค่าสำหรับบริการเรียกรถด้วยการขยายบริการ GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิมที่ทดลองให้บริการเฉพาะหัวเมืองหลัก

· สำหรับบริการฟู้ดเดลิเวอรี แกร็บยังคงชูไฮไลท์ซับแบรนด์ “Hot Deals” ดีลลดแรงจากร้านดังทั่วประเทศ พร้อมเพิ่มจำนวนร้านที่เข้าร่วมโปรแกรม ควบคู่ไปกับการนำเสนอโปรโมชันตามช่วงเทศกาลหรือโอกาสพิเศษต่างๆ รวมถึงการชูแคมเปญใหญ่ อย่าง “GrabFood Mega Sale” ที่มอบส่วนลดจัดหนักสูงสุดถึง 80% พร้อมส่งฟรีให้กับผู้ใช้บริการทั่วประเทศ

 R: Retention รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า

· GrabUnlimited ถือเป็นโปรแกรมหลักที่ช่วยมัดใจผู้ใช้บริการผ่านการมอบสิทธิประโยชน์และส่วนลดที่คุ้มค่า ครอบคลุมทุกบริการ ด้วยแพ็คเกจสมาชิกรายเดือนเพียง 19 บาทต่อเดือน หรือรายปีเพียง 99 บาทต่อปี ไม่เพียงเท่านั้น ในปีนี้แกร็บยังได้พัฒนา GrabVIP หรือโปรแกรมสิทธิพิเศษเหนือระดับสำหรับผู้ใช้บริการที่มี ยอดใช้จ่ายสูงกว่า 30,000 บาทในระยะเวลา 3 เดือน อาทิ รับสิทธิ์ส่งอาหารไว (Priority Delivery) 5 ครั้งต่อเดือน และความช่วยเหลือพิเศษก่อนใคร (Priority Support) จากศูนย์ช่วยเหลือแกร็บ

· สำหรับคนขับ แกร็บจัดเต็มสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับคนขับที่ให้บริการดีอย่างต่อเนื่อง อาทิ ฟรีประกันรถจักรยานยนต์ และการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับบริการสินเชื่อเงินสด สำหรับคนขับ GrabBike และฟรีประกันสุขภาพสำหรับคนในครอบครัว สำหรับคนขับ GrabCar พร้อมจัดกิจกรรมเซอร์ไพรส์แจกรถยนต์-รถจักรยานยนต์ในช่วงเทศกาลสำคัญ เป็นต้น

· สำหรับกลุ่มพาร์ทเนอร์ร้านค้า แกร็บยังเดินหน้าพัฒนาบริการสินเชื่อเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและเป็นทุน ในการขยายธุรกิจให้กับกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาประกันค้าขายหายห่วง เพื่อให้ ความคุ้มครองผู้ประกอบการธุรกิจจากเหตุไม่คาดฝันด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

T: Tech & Innovation พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คน

· ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับภูมิภาค แกร็บยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันและตอบโจทย์ความต้องการของคนในอีโคซิสเต็ม

· ในปีนี้ แกร็บได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ตั้งแต่ต้นปี อาทิ Advance Booking for Airport Pickups บริการจองรถล่วงหน้าเพื่อให้มารับที่สนามบินโดยสามารถระบุไฟลท์และเวลาเดินทางเพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนขับได้ ซึ่งปัจจุบันได้ทดลองให้บริการแล้วที่สนามบินภูเก็ต GrabExecutive บริการเรียกรถล่วงหน้าระดับพรีเมียม ที่เจาะกลุ่ม นักธุรกิจและลูกค้าไฮเอนด์และนักท่องเที่ยว Book Table บริการสำหรับจองร้านอาหารเพื่อรับประทานที่ร้าน ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือและเชื่อมต่อกับระบบของ Chope ซึ่งมีจุดแข็งในด้านระบบการจองร้านอาหาร และล่าสุดกับการพัฒนา QR Payment เพื่อเพิ่มทางเลือกการชำระเงินให้กับผู้ใช้บริการ ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาให้กับคนขับที่อาจมีเงินสดสำรองไม่เพียงพอ

ตลอดระยะเวลาเกือบ 12 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย แกร็บภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย และมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสะท้อนผ่านผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ระบุว่ากิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของ Grab ในปี 2566 ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สิ่งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นแรงผลักดันให้แกร็บยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีเป้าหมาย พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและยกระดับคุณภาพชีวิตของไทยต่อไป” นางสาวจันต์สุดา กล่าวปิดท้าย

Booking.com  หนึ่งในแพลตฟอร์มด้านการเชื่อมต่อผู้เดินทางกับตัวเลือกด้านการเดินทางต่าง ๆ ระดับโลกเดินหน้าจัดทำการประกาศผลรางวัล Traveller Review Awards เป็นที่ 13 อย่างต่อเนื่อง โดยได้รวบรวมคะแนนรีวิวของผู้ใช้บริการจริงกว่า 360 ล้านรีวิวบนแพลตฟอร์ม ทำให้ในปี 2568 นี้มีพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการด้านการเดินทางจากทั่วโลกรวมกว่า 1.71 ล้านรายได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2025 ทั้งผู้ให้บริการที่พัก (1,711,539 ราย) ผู้ให้บริการรถเช่า (1,329 ราย) รวมถึงผู้ให้บริการแท็กซี่ (124 ราย) ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่ผ่านมา

ในปีนี้ มีพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการด้านที่พักและด้านการเดินทางอื่น ๆ จากประเทศไทยจำนวน 14,710 ราย (เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากปี 2567) ที่ได้รับรางวัล Traveller Review Awards สำหรับการมอบบริการอันยอดเยี่ยมและการต้อนรับอันอบอุ่น โดยมีคะแนนรีวิวเฉลี่ย 8.8 คะแนน อ้างอิงจากการรีวิวของผู้เดินทางกว่า 3.2 ล้านรีวิวทั่วโลก

เมื่อพูดถึงรายชื่อ ‘เมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีที่สุด แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางที่รายล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีใส หาดทรายระยิบระยับ และเนินเขาสูงตระหง่านยังคงติดอันดับอย่างไร้ข้อสงสัย อย่างไรก็ตามผู้เดินทางก็ให้ความสนใจกับเมืองรองอย่างต่อเนื่องจนทำให้จังหวัดน่านได้รับความนิยมเป็นที่ปีสองติดต่อกัน ไม่เพียงเท่านั้น จังหวัดสุโขทัยซึ่งเลื่องลือด้านโบราณสถานและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ก็ติดอันดับเป็นปีแรกเช่นเดียวกัน

เครดิตภาพ: สุโขทัย การ์เด้น

เมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในประเทศไทยประจำปี 2568 · จังหวัดกระบี่ · จังหวัดพังงา · จังหวัดน่าน · จังหวัดสุราษฎร์ธานี · จังหวัดสุโขทัย

โรงแรมยังเป็นประเภทที่พักที่ผู้เดินทางชาวไทยชื่นชอบ แม้ว่าอพาร์ตเมนต์จะเป็นประเภทที่พักที่ได้รับรางวัลมากที่สุดมาเป็นอันดับหนึ่ง (847,627 แห่ง) จากการจัดอันดับของ Traveller Review Awards 2025 และครองตำแหน่งติดต่อกันเป็นปีที่ 8 แต่ในปีนี้ที่พักประเภทโรงแรมยังเป็นที่พักที่นิยมมากที่สุดในประเทศไทยด้วยจำนวนโรงแรมที่ได้รางวัลทั้งสิ้น 3,833 แห่ง อย่างไรก็ตามอพาร์ตเมนต์ได้ขึ้นมาเป็นที่พักยอดนิยมอันดับที่สอง (2,457 แห่ง) จากอันดับที่สามในปีก่อน ตามด้วยรีสอร์ท (2,228 แห่ง) วิลลา (1,624 แห่ง) และเกตส์เฮ้าส์ (1,150 แห่ง)

ตั้งแต่ปี 2553 Booking.com ได้ให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าพักกว่า 4.5 พันล้านคน ซึ่งมากกว่า 1 พันล้านคนเลือกที่จะเข้าพักในที่พักแปลกใหม่หรือที่พักที่ไม่ใช่โรงแรม และวันนี้ผู้เดินทางสามารถค้นหาที่พักบน Booking.com ได้มากกว่า 30 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักตากอากาศชานเมือง อพาร์ตเมนต์สไตล์ฟังกี้ใจกลางเมือง วิลลาสุดหรู เบดแอนด์เบรกฟาสต์ ที่พักในฟาร์ม บังกะโล รวมถึงที่พักบนเรือ กระท่อมน้ำแข็ง และบ้านต้นไม้สำหรับผู้เดินทางที่ชื่นชอบการผจญภัย

ผู้ให้บริการด้านการขนส่งโดยสารมีส่วนช่วยทำให้ทริปเต็มไปด้วยความประทับใจ Booking.com ยกย่องผู้ให้บริการด้านการขนส่งโดยสารทั้งผู้ให้บริการรถเช่าและแท็กซี่สนามบินที่มอบบริการอันยอดเยี่ยมให้กับผู้เดินทางอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เดินทางสามารถออกไปสัมผัสโลกกว้างได้อย่างง่ายดายและไร้รอยต่อยิ่งขึ้น โดยในปี 2568 มีบริษัทผู้ให้บริการรถเช่า 1,329 รายจาก 100 ประเทศทั่วโลกได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2025 ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 196% ไม่เพียงเท่านี้ยังมีบริษัทผู้ให้บริการแท็กซี่สนามบิน 124 รายจากทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนี้ด้วยเช่นกัน

“ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เคล็ดลับการเลือกร้านและเมนูอาหารถิ่นที่ห้ามพลาดจากคนขับแท็กซี่ หรือการเซอร์ไพรส์คู่รักด้วยแชมเปญและดอกไม้จากเจ้าของที่พักและเหล่าพนักงานเพื่อช่วยให้พวกเขาได้เฉลิมฉลองในวันครบรอบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พาร์ทเนอร์ของเราทำให้การท่องเที่ยวในแต่ละวันเป็นที่น่าจดจำและประทับใจสำหรับผู้เดินทางมากยิ่งขึ้น” นางสาวมิเชล เกา ผู้จัดการประจำภูมิภาคประจำกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและจีนของ Booking.com กล่าวและเสริมว่า “ดังนั้นรางวัล Traveller Review Awards นี้ไม่เพียงเป็นคำขอบคุณจาก Booking.com แต่ในนามของผู้เดินทางหลายร้อยล้านคนจากทั่วโลกที่ต้องการมอบให้พาร์ทเนอร์ด้านการเดินทางสำหรับความมุ่งมั่นและความตั้งใจในการมอบบริการอันอบอุ่นและร่วมสร้างประสบการณ์การเดินทางอันยอดเยี่ยมให้กับผู้เดินทางได้อย่างไร้ที่ติ”

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการใน 6 ประเทศที่สะท้อนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาเซียน พบ 81% วางแผนเที่ยวต่างประเทศ แต่กว่าครึ่งต้องการเดินทางในประเทศใกล้ๆ ภายในภูมิภาค โดยไทยยังครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยม พร้อมเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พบ 86% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ใช้เทคโนโลยีอย่าง AR VR หรือ AI เป็นตัวช่วยในการหาข้อมูลและวางแผนการเดินทาง 81% เลือกจองตั๋วเครื่องบิน-ที่พักแบบออนไลน์ด้วยตัวเอง ขณะที่ 78% ระบุว่ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแต่ละปีเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้สูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด1 ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวและเดินทางของผู้ใช้บริการแกร็บใน 6 ประเทศ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนามและไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 72%) โดยกว่าครึ่ง (52%) ต้องการเดินทางภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (44%) อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเทศไทยยังคงครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามมาด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และมนต์เสน่ห์ทางด้านวัฒนธรรมซึ่งถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมและผลักดัน รวมไปถึงการจัดงานอีเวนท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรีและคอนเสิร์ต และประเพณีสำคัญอย่างเทศกาลสงกรานต์และลอยกระทง”

ssssss

ทั้งนี้ แกร็บยังได้เผย 5 อินไซต์สำคัญของนักท่องเที่ยวอาเซียนในยุคดิจิทัลที่สะท้อนพฤติกรรมและแนวโน้มการเดินทางที่น่าสนใจ ดังนี้

· ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด

· ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง: นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน

· มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ

· ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ

· ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) เผยถึงความคืบหน้าในการเตรียมจัดงานฯ ปีนี้ว่า จากทั้งสัญญาณการท่องเที่ยวที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 67 และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุดที่สูงเกิน 11.29 ล้านคนแล้ว โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนสูงถึง 1,920,039 คน ยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากจีนที่เข้ามาเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีก 395,830 คน และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายของทั้งปีที่ ททท. กำหนดไว้ที่ 35 ล้านคน นอกจากนั้นยังได้รับการส่งเสริมจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาและการประชุมระดับโลก การเพิ่มเที่ยวบินจากเส้นทางการบินระหว่างประเทศมาไทย รวมถึงการประกาศให้เป็น "Golden Year of Tourism" ในปี 2568 เพื่อเน้นย้ำกระแสการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมจัดอีเวนท์สำคัญระดับโลกและนำเสนอศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และแฟชั่น ฯลฯ สู่สายตาชาวโลก

ดังนั้น อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จึงได้รวมมือกับพันธมิตรขยายขอบเขตการจัดงาน Food & Hospitality Thailand พร้อมยกระดับการจัดงานเป็น Thai Tourism & Hospitality Week ถือเป็นแรงสนับสนุนของภาพเอกชนที่จะช่วยสร้างความคึกคักและร่วมพัฒนาภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนงานดังกล่าวที่ได้สื่อสารกับกลุ่มผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การจัดงานฯ ในปีนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยข่าวดีล่าสุดของการจัดงานครั้งนี้ คือ การได้รับความสนใจจาก 2 งานแสดงสินค้าใหญ่ Hotel & Shop Plus และ Hotelex จากประเทศจีนที่จะมาเข้าร่วมในการจัดงานครั้งนี้ด้วย

โดย Hotel & Shop Plus Thailand จะเป็นงานแสดงสินค้าชั้นนำสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่รวบรวมซัพพลายเออร์ชั้นนำที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบภายนอกและภายใน ระบบโรงแรมอัจฉริยะ การตกแต่งและแสงสว่าง โดยครั้งนี้เป็นปีที่ 2 ของการร่วมจัดงาน ส่วน Hotelex Thailand นั้น เป็นงานที่นำเสนอโซลูชั่นของภาคธุรกิจโรงแรมและการจัดเลี้ยง อาทิ อุปกรณ์สำหรับงานจัดเลี้ยงและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร โดย Hotelex Thailand นั้น เป็นการร่วมจัดงานครั้งแรกในประเทศไทย

ดังนั้น Thai Tourism & Hospitality Week จึงมีความยิ่งใหญ่และครบวงจรจากการผสานจุดเด่นของทั้ง 3 งาน เป็นการพัฒนาการจัดงานไปสู่การเป็นศูนย์กลางการสร้างเครือข่ายและการสำรวจเทรนด์ใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยการเติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานด้านธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของภูมิภาคอีกด้วย

ในส่วนของงาน Food & Hospitality Thailand 2024 มีการจัดแบ่งโซนการจัดแสดงสินค้า 8 โซน ประกอบด้วย อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drinks) คาเฟ่และเบเกอรี่ (Café & Bakery) เครื่องใช้สำหรับธุรกิจบริหาร (Hospitality Style) เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจบริการ (Hospitality Technology) อุปกรณ์สำหรับธุรกิจอาหาร (Foodservice Equipment) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Sips & Spirits) ร้านค้าปลีก (Shop & Retail) อุปกรณ์และเครื่องใช้สำหรับทำความสะอาด (Cleaning Supplies & Equipment) รวมถึงกิจกรรมการแข่งขัน และสัมมนาสำหรับคนในวงการเพื่ออัปเดทเทรนด์ใหม่ๆ และความรู้ เพื่อต่อยอดธุรกิจ

งาน Food & Hospitality Thailand 2024 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและการบริการที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ข้อมูลรายละเอียดการจัดงานสามารถเข้าชมและติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเวลาเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ผลการสำรวจ Eco Deals ของอโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว พบว่า 84% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยใส่ใจกับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน จำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่มีให้เลือกมากขึ้น และแนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจนมากขึ้น สามารถช่วยกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยวครั้งต่อไปได้

การสำรวจครั้งนี้มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามบนแพลตฟอร์มของอโกด้า ทั้งหมดกว่า 10,000 คน จาก 10 ประเทศ ทั่วทวีปเอเชีย โดยนักท่องเที่ยวเกือบ 8 ใน 10 คน ระบุว่าเต็มใจที่จะเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยว โดย 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าทุกครั้งพวกเขาจะพยายามท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้นอยู่เสมอ ในทางกลับกัน 22% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าแทบไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืนเวลาวางแผนท่องเที่ยวเลย โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นถึง 45% และเป็นนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์เพียง 8%

สิ่งจูงใจทางการเงินอาจมาเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

การสำรวจ Eco Deals 2024 ของอโกด้า มีคำถามเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้ตอบแบบสอบถามตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกประเทศระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน เช่น ส่วนลด คือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 เฉลี่ยแล้วคิดเป็น 45% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ (58%) ไต้หวัน (54%) และอินโดนีเซีย (47%) เป็น 3 ชาติแรก ที่ระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงินคือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 มากที่สุด ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยมี 43% ที่ระบุเช่นเดียวกัน

ปัจจัยสำคัญอันดับ 2 คือจำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่มีให้เลือกมากขึ้น เช่น แพ็คเกจที่เตรียมทริป หรือกิจกรรมไว้ให้แล้ว อย่างการเดินป่าเชิงอนุรักษ์แบบมีผู้นำทาง และการส่งเสริมโครงการริเริ่มในท้องถิ่น ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ 28% เวียดนาม 24% และไทย 23% ส่วนปัจจัยสำคัญอันดับต่อมานั้น คือ แนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจน (#3) การให้ความรู้ และส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (#4) และนโยบายเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เกี่ยวข้องรัฐบาลในประเทศ (#5)

คุณเอนริก คาซาลส์, Associate Vice President Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า “เราเห็นได้ชัดจากผลการสำรวจว่านักท่องเที่ยวต้องการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โปรแกรม Eco Deals ของอโกด้ามีข้อเสนอสุดคุ้มมากมายให้นักท่องเที่ยวที่เลือกจองที่พักที่เข้าร่วมโปรแกรม และสำหรับทุกรายการจองของทุกที่พัก Eco Deals อโกด้าก็จะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการอนุรักษ์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ใน 8 ประเทศ ในทวีปเอเชีย โดยเราตั้งใจที่จะบริจาคเงินให้ได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อโกด้ามุ่งมั่นช่วยให้ทุกคนออกไปท่องโลกทั้งใบได้ในราคาถูกลง และโปรแกรม Eco Deals ของเราช่วยให้นักท่องเที่ยว ‘ตอบแทน’ เมืองและสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปได้พร้อมกัน”

เมื่อถามเรื่องวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอะไรที่ให้ความสำคัญมากที่สุดเวลาท่องเที่ยว ซึ่ง 36% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยระบุว่าให้ความสำคัญกับการส่งเสริมชุมชน และโครงการอนุรักษ์ในท้องถิ่นมากที่สุด ส่วนทั่วทั้งทวีปเอเชีย ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 1 ใน 4 (26%) เลือกส่งเสริมชุมชนในท้องถิ่นด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในท้องถิ่น หรือมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มของชุมชน

วิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เวลาท่องเที่ยว คือการรีไซเคิลและการลดของเสีย (20%) เช่น การใช้ผ้าเช็ดตัว และผ้าปูที่นอนซ้ำ อันดับ 3 คือการเข้าร่วมกิจกรรม และทัวร์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ (17%) ส่วนอันดับ 4 และ 5 คือการเลือกจองที่มีการรับรองศักยภาพด้านความยั่งยืน และการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเวลาเดินทาง ตามลำดับ

นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันสัตว์ป่าโลก นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกคนสามารถจองที่พัก Eco Deals บนอโกด้าได้ สำหรับทุกรายการจองของทุกที่พัก Eco Deals อโกด้าจะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการอนุรักษ์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ที่มุ่งมั่นปกป้องสัตว์ป่า และอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่จองจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 15% อีกด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.agoda.com/ecodeals

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click