December 05, 2025

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และธนาคารกสิกรไทย (KBank) ร่วมสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวเพื่อการเข้าซื้อกิจการและการจัดโครงสร้างทางการเงินสำหรับ Levanta Renewables เพื่อใช้ในการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 34 โครงการทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการภายใต้ 2 ข้อตกลงทางการเงิน 

ธุรกรรมดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Actis ผู้ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย และเสริมสร้างการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 34 โครงการ มีกำลังการผลิตรวม 230 เมกะวัตต์ ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าสะอาดภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreements: PPAs) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ของประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบพลังงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ 

การสนับสนุนทางการเงินนี้ ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของตลาดพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนเงินทุนเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อันจะส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน

 นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO และ Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ธนาคารยูโอบี ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ความร่วมมือกับ Levanta Renewables และกสิกรไทย เป็นการส่งเสริมการลงทุนสีเขียวในประเทศไทย เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับทั้งภาคธุรกิจและสังคม” 

นายทิพากร สายพัฒนา รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นเป็นผู้ให้บริการทั้งด้านการเงินและโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด เพื่อช่วยส่งเสริมลูกค้า ภาคธุรกิจ และประเทศไทยมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน ธนาคารภูมิใจที่ได้มีส่วนสำคัญสนับสนุน Levanta Renewables ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดของประเทศไทย ความร่วมมือครั้งนี้ตอกย้ำเป้าหมายของธนาคารในการส่งมอบสินเชื่อ และเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน เพื่อช่วยสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ” 

นาย Pankaj Sakhuja CIO ของ Levanta Renewables กล่าวว่า “การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นหมุดหมายสำคัญของการเติบโตของ Levanta ในประเทศไทย และตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียนของประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างอนาคตด้านพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นสำหรับภูมิภาค เราขอขอบคุณยูโอบีและกสิกรไทยสำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยโซลูชันสินเชื่อสีเขียวของทั้งสองธนาคารมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราส่งมอบพลังงานสะอาดที่มั่นคงและเชื่อถือได้แก่ชุมชนไทย” 

ความร่วมมือระหว่าง Levanta, ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารยูโอบี สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการผลักดันการเงินเพื่อความยั่งยืน ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน และขับเคลื่อนประเทศไทยให้เข้าใกล้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดในระยะยาวมากยิ่งขึ้น

 ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย รายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียน หรือ ASEAN Consumer Sentiment Study (ACSS) ประจำปี 2568 ที่จัดทำร่วมกับบริษัท Boston Consulting Group เผยว่าผู้บริโภคไทยร้อยละ 39 มองเศรษฐกิจในอนาคตอย่างเชื่อมั่น โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน แต่ยังคงบริหารการเงินอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ สุขภาพ การศึกษา และคุณภาพชีวิต เป็นหมวดรายจ่ายที่มีความสำคัญขึ้น สะท้อนการปรับวิถีชีวิตสู่ความยั่งยืนและการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น 

นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวถึงผลสำรวจที่ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไทยกำลังรักษาความสมดุลระหว่างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เขากล่าวว่า “เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้จ่ายเพื่อพัฒนาตนเองและดูแลสุขภาพ สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวันนี้ พร้อมกับการเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้” 

นายจอห์น วากเนอร์ กรรมการผู้จัดการ และพาร์ทเนอร์ บีซีจี ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นตามคาดการณ์ คนไทยเริ่มกังวลกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคสามารถปรับตัวได้ โดยปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งไม่เพียงเปิดโอกาสให้ธุรกิจสร้างการเติบโต แต่ยังนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ที่ผู้บริโภคและผู้กำหนดนโยบายต้องรับมือ”

คนไทยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาและคุณภาพชีวิตมากขึ้น

นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายประจำวัน ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยร้อยละ 44 รายงานว่ามีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในด้านการศึกษา สุขภาพ และคุณภาพชีวิต สะท้อนถึงความตระหนักที่เพิ่มขึ้นต่ออายุที่ยืนยาวและความเป็นอยู่ที่ดี โดยกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะเกษียณหลังอายุ 60 ปี ทั้งนี้ จำนวนเงินออมที่ต้องการเพื่อการเกษียณอย่างมั่นคงแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป[1]มีเป้าหมายเฉลี่ยที่ 3.9 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง[2]ตั้งเป้าเฉลี่ยไว้ที่ 10.5 ล้านบาท  ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย แนะนำให้วางแผนการเงินอย่างเป็นระบบเพื่อรักษามาตรฐานการครองชีพหลังเกษียณ ทั้งการจัดงบประมาณด้านสุขภาพเชิงป้องกัน การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง และการทำประกันเพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด 

โซเชียลมีเดียหนุนการมีส่วนร่วมมากกว่าสร้างยอดขายทันที

ผลสำรวจจาก ACSS 2568 ระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยร้อยละ 45 ซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้นในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ร้อยละ 47 ใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อนานขึ้น หลายคนเข้าร่วมไลฟ์สตรีมเพื่อความบันเทิง เปรียบเทียบสินค้า และชะลอการตัดสินใจซื้อ ซึ่งแม้จะทำให้การสร้างยอดขายทันทีลดลง แต่กลับช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการจดจำแบรนด์มากขึ้น 

เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ธนาคารยูโอบีได้ผสานเทคโนโลยี AI มาพัฒนาฟีเจอร์ Smart Insights บนแอป UOB TMRW เพื่อช่วยติดตามรูปแบบการใช้จ่าย แจ้งเตือนค่าใช้จ่ายล่วงหน้า และแนะนำแนวทางสู่พฤติกรรมทางการเงินที่ยั่งยืน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถรักษาสมดุลระหว่างการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และการสร้างความมั่นคงทางการเงิน

 

ความมั่นใจทางการเงินเติบโตควบคู่กับพฤติกรรมการออมที่เปลี่ยนแปลงไป

ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคไทยร้อยละ 87 มีความมั่นใจในการบริหารการเงินส่วนบุคคลของตนเอง และกว่า 7 ใน 10 (ร้อยละ 74) มีการออมเงินมากกว่าร้อยละ 10 ของรายได้ โดยในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 88 ซึ่งข้อมูลจากธนาคารยูโอบี ประเทศไทย สะท้อนถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน โดยพบว่ายอดเงินฝากของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเติบโตขึ้นร้อยละ 21 ขณะที่ลูกค้ากลุ่ม Gen Z มีบทบาทสำคัญในการเร่งการเติบโตของจำนวนบัญชีเงินฝากในกลุ่มลูกค้ายูโอบี ด้วยการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48 สะท้อนความสนใจในการออมเงินของกลุ่มคนรุ่นใหม่ 

อย่างไรก็ตาม วินัยในการออมยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ โดยร้อยละ 85 ของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปัจจุบัน ขณะที่ร้อยละ 76 ของ Gen Y และร้อยละ 82 ของ Gen Z ระบุว่าความกดดันจากสังคมและเพื่อนเป็นอุปสรรคต่อการออมอย่างต่อเนื่อง

 

นายยุทธชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ‘คนรุ่นใหม่ของไทยมีความเข้าใจด้านดิจิทัลและเปิดรับการเรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผนและบริหารการเงิน แต่หลายคนยังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง เช่น มีช่องว่างด้านความรู้ทางการเงิน ทัศนคติต่อการใช้จ่าย และความไม่มั่นคงของรายได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติและสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว เป้าหมายของธนาคารคือการช่วยลดช่องว่างเหล่านี้ ผ่านเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้พวกเขามีอิสระในการใช้ชีวิตตามที่ใฝ่ฝัน โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของตนเอง’ 

อ่านรายงานฉบับเต็มของผลการศึกษาความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาเซียน ปี 2568 ของยูโอบี ได้ที่ https://www.uobgroup.com/asean-insights/articles/acss-2025-thailand.page

 [1] กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป = ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีรายได้ส่วนบุคคลต่อเดือนน้อยกว่า 50,000 บาท

[2] กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง = ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีรายได้ส่วนบุคคลต่อเดือนตั้งแต่ 200,000 บาท

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภาคเหนือ และพันธมิตรของ UOB BizSmart แพลตฟอร์มที่รวมดิจิทัลโซลูชันเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ จัดสัมมนา ณ จังหวัดเชียงใหม่เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มให้สามารถต่อยอดธุรกิจจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ

งานสัมมนา UOB SME Live in Chiangmai: ร้านเล็กคิดใหญ่ – ปั้นแบรนด์ ขยายธุรกิจอาหารและคาเฟ่สู่ระดับประเทศ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการร้านอาหารและคาเฟ่กว่า 200 รายในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมุ่งเน้นการมอบองค์ความรู้และเครื่องมือดิจิทัลและโซลูชันทางการเงิน ที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในภาคเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเปิดงานโดยชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Culinary Tourism) พร้อมระบุว่าแนวทางของ ททท. ในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่สร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าและน่าจดจำ มากกว่าการวัดผลเพียงตัวเลขรายได้ ทั้งนี้ ในปี 2567 ภาคเหนือรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 26 ล้านคน โดยมีเสน่ห์ไม่เพียงจากธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ยังรวมถึงคาเฟ่และอาหารพื้นถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Business Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบีจึงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มนี้ให้สามารถ ‘คิดใหญ่’ และขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ผ่านการให้ข้อมูลเชิงลึก โซลูชันทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจเอสเอ็มอี และเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ UOB BizSmart”

ภายในงาน ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับฟังการนำเสนอจากพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่ Adaptis ผู้ให้บริการโซลูชันการรับชำระเงินแบบครบวงจร และ Freedom World เครื่องมือการตลาดดิจิทัลสำหรับธุรกิจยุคใหม่ รวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์จากเจ้าของร้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่ ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์และขยายธุรกิจ ได้แก่ Ginger Farm Kitchen ร้านอาหารรางวัลมิชลิน 4 ปีซ้อน ต้นตำหรับเชียงใหม่, The Good View Bar & Restaurant ร้านอาหารขวัญใจชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติ, ข้าวซอยลําดวนฟ้าฮ่าม ร้านข้าวซอยเก่าแก่ระดับตำนานของเมืองเชียงใหม่ที่ได้มิชลิน 3 ปีซ้อน, The Volcano ต้นตำหรับร้านขนมปังชีสยืดชื่อดัง, The Baristro ร้านกาแฟดังของเชียงใหม่, Saruda Finest Pastry ร้านเค้กชื่อดังของเชียงใหม่ รวมถึง Mix Beef Club & Restaurant ที่ได้ Thailand Tatler Best Restaurant 9 ปีซ้อน

นางสยุมรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ความริเริ่มครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ควบคู่ไปกับการยกระดับชื่อเสียงของภาคเหนือในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงอาหาร ตอกย้ำบทบาทของธนาคารในฐานะพันธมิตรระยะยาวที่เติบโตเคียงข้างธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคนี้

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเมืองพัทยา และพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันเพื่อการจัดการธุรกิจ จัดสัมมนาแบ่งปันความรู้ให้กับเอสเอ็มอีในภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร เจาะลึกเทรนด์ด้านการท่องเที่ยว กลยุทธ์การตลาด และเครื่องมือในการส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูง

โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร. ศิวัช บุณเกิด รองปลัดเมืองพัทยา เป็นประธานเปิดงาน และ นายชัยวัฒน์ ตามไท ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานเมืองพัทยา ซึ่งได้นำเสนอภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย พร้อมกับกรอบนโยบายเชิงกลยุทธ์ของ ททท. เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในภาคส่วนนี้

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบี เชื่อว่าการสนับสนุนเอสเอ็มอี เป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคที่มีศักยภาพสูงอย่างการท่องเที่ยว เรามุ่งมั่นที่จะจัดหาเครื่องมือ ข้อมูลเชิงลึก และโซลูชันทางการเงินที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องการ เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านบริการทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจเอสเอ็มอี และเครือข่ายพันธมิตร  ของ UOB BizSmart ที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับฟังถึงโซลูชันด้านการเงิน การชำระเงิน และประกันภัย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจท่องเที่ยว ในช่วงเสวนาระหว่างธนาคารยูโอบี GHL Freedom World และ MSIG

ปิดท้ายด้วย Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวและประสบการณ์ระดับโลก และหนึ่งในพันธมิตรหลักของ UOB BizSmart ที่มานำเสนอแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค และโซลูชันดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจโรงแรม ที่พัก และร้านอาหาร เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของธนาคารยูโอบี ในการส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมทางการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจท้องถิ่นภาคตะวันออก ซึ่งมีความสำคัญ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยรายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนแนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยท่ามกลางความท้าทายจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก

การสำรวจจัดเก็บข้อมูลเมื่อมกราคม 2568 และสัมภาษณ์เพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2568 พบว่า แม้ภาคธุรกิจไทยจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการขยายโอกาสในภูมิภาคอาเซียน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยผลสำรวจพบว่า ภายหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มากกว่าร้อยละ 90 ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันร้อยละ 68 คาดว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้น และร้อยละ 60 มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญ โดยมีมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO &  Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การประยุกต์ใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว อย่างมั่นคง ธนาคารยูโอบีพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน”

ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น จุดประกายธุรกิจเร่งปรับตัว

ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากร้อยละ 58 ในปี 2024 เหลือร้อยละ 52 ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 57 คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ

ภาคธุรกิจไทยได้ริเริ่มมาตรการสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ ดังนี้

  • ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (ร้อยละ 67) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน
  • เพิ่มรายได้: ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
  • ต้องการการสนับสนุน: ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (ร้อยละ 92) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (ร้อยละ 65) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (ร้อยละ 50) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว

 

ความกดดันในห่วงโซ่อุปทานผลักดันให้ธุรกิจไทยมุ่งเน้นตลาดภูมิภาค

ร้อยละ 90 ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น ร้อยละ 80 ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่

  • การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
  • การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต
  • ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน

 

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลเร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว

การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดยเกือบร้อยละ 40 ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และร้อยละ 68 คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม

ธุรกิจไทยเร่งเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความท้าทาย

แม้ว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 60 คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว

 

ธุรกิจไทยเร่งขยายสู่ต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก

ธุรกิจไทยเกือบร้อยละ 90 มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 50 คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน

แรงงานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ

ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบร้อยละ 40 จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร

อ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ https://www.uobgroup.com/asean-insights/articles/uob-business-outlook-study-2025-thailand.page

Page 1 of 16
X

Right Click

No right click