

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 สำหรับการจัดทำบัญชีและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Inventory) ปี 2567 จากบริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มอบให้กับองค์กรที่ดำเนินการยกระดับการรายงานและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เทียบเท่าระดับสากล โดย EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 เป็นผลจากความสำเร็จในการมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนายังคงเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Organization) พัฒนาเครื่องมือการจัดเก็บ คำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน และกำหนดแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของไทยสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินงานอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน
ปาล์มน้ำมันนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และโอเลโอเคมิคอล รวมทั้งมาตรการภาครัฐในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลโดยผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ ในขณะที่พื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า 30 ล้านเฮกตาร์ เกาะกลุ่มอยู่ในบริเวณแนวเส้นศูนย์สูตร 3 ประเทศคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ ส่งผลให้ประเด็นความยั่งยืนจึงถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากขึ้นในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งผลต่อการขยายพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งอาจจะเกิดการบุกรุกพื้นที่ป่า
ปัจจุบันไทยป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ด้วยพื้นที่ปลูกกว่า 6.3 ล้านไร่ ทำให้ไทยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในชาติที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันของโลกสู่ความยั่งยืน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จึงได้ร่วมมือกับองค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil: RSPO) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในภาคธุรกิจปาล์มน้ำมันของไทย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับการดำเนินธุรกิจสู่มาตรฐานสากลและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจสำคัญของไทยให้มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ช่วยสร้างการจ้างงานและนำไปสู่รายได้ทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป และส่งออกตลอดต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance: ESG) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมในโลกยุคใหม่
ภายใต้ MOU ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อสนับสนุนระบบการตรวจสอบแบบย้อนกลับ (Traceability) สืบย้อนกลับได้ถึงแหล่งกำเนิดตั้งแต่ต้นจนถึงมือผู้บริโภค อาทิ การลดการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free) การลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) รวมถึงการยกระดับด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ยกระดับความน่าเชื่อถือของสินค้าเกษตรไทย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดการค้าโลก โดยเฉพาะการรุกตลาดที่มีข้อกำหนดเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรไทย ในฐานะที่ EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และ RSPO เป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานความยั่งยืนปาล์มน้ำมันระดับนานาชาติ
“การปรับตัวสู่ความยั่งยืนจะทำให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่ยังมีอีกมากในโลกการค้ายุคใหม่ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น EXIM BANK จึงจับมือกับ RSPO เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กรระดับโลกภายใต้กรอบ ISEAL Alliance ที่สนับสนุนมาตรฐานความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม ช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบ รองรับเทรนด์การค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” นายบัณฑิต กล่าว
นายมูฮัมหมัด ชาซาลีย์ Head of Certification ของ RSPO กล่าวว่า การสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไม่ใช่เพียงหน้าที่ของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ไปจนถึงผู้บริโภค เพื่อให้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันให้เติบโตอย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ด้านนายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK บรรยายในการเสวนาหัวข้อ “ความรับผิดชอบร่วม-ยกระดับปาล์มน้ำมันไทยสู่ความสำเร็จในตลาดโลก” แก่สมาชิก RSPO ว่า ในฐานะตัวแทนจากภาคการเงินในการส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย และแนวทางการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้เกิดความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน EXIM BANK พร้อมดำเนินบทบาทส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยผ่านยุทธศาสตร์ “Sustainable Growth Escalator (ยกระดับธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจที่เป็น ESG)” โดยสอดคล้องกับพันธกิจในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคสู่ความยั่งยืนของธนาคาร โดยอาศัยข้อได้เปรียบของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย คือ ไม่มีข่าวด้านลบ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การเผาทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่างจากในหลายประเทศ ทำให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาต่างชาติ หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ไทยจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมนี้ และขยายตลาดในระดับสากลได้มากยิ่งขึ้น

EXIM BANK เป็นกลไกของภาครัฐที่มุ่งดำเนินบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุน Climate Finance ของไทย นำผู้ประกอบการไทยสยายปีกสู่ธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนภาคธุรกิจของไทยให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งผลให้ ESG Portfolio ของ EXIM BANK เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 40% ของ Portfolio ทั้งหมดในปัจจุบัน และมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2570
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.15% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่ปรับสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลักและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจไทย
นอกเหนือจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2567 EXIM BANK ยังมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าชั้นดีที่ร่วมเติบโตมากับ EXIM BANK ด้วยส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษถึง 1.00% ต่อปี เริ่มต้น 3.10% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่แสดงความจำนงภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และเบิกกู้ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2568 พร้อมกันนั้น EXIM BANK ยังคงดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ EXIM BANK ได้จัดตั้ง Export Clinic เพื่อให้คำปรึกษาและข้อมูลแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Reciprocal Tariffs โดยสอดคล้องกับพันธกิจของ EXIM BANK ในการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ สามารถปรับตัวรับมือกับปัจจัยท้าทายและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน
EXIM BANK ประเมินแม้สหรัฐฯ เลื่อน Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน แต่พบว่าระยะสั้น ตลาดการเงินยังแปรปรวน ส่วนตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying ขณะที่ระยะถัดไป เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลต่อเนื่องถึงไทย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นผ่าน 4 แนวทางการปรับตัว ได้แก่ เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เข้าสู่ตลาดใหม่ และเข้าใจสถานการณ์ให้ถ่องแท้
ตลาดการค้าโลกบรรเทาจากภาวะตื่นตระหนกหลังสหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ออกไป 90 วัน หรือถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เพื่อให้แต่ละประเทศมีเวลาเจรจาต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐฯ โดยตรง ก่อนที่สหรัฐฯ จะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะใช้มาตรการดังกล่าวกับแต่ละประเทศอย่างไร โดยปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนติดต่อและเจรจา ซึ่งไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย (Worst Case Scenario) ที่อาจเกิดขึ้น โดยสถานการณ์และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
ระยะสั้น...ตลาดการเงินแปรปรวน แต่ตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying
ตลาดการเงินอ่อนไหวและผันผวนจากความไม่มั่นใจในนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกกับตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตั้งแต่ตลาดหุ้น ค่าเงิน และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำต้องเผชิญความผันผวน สังเกตได้จากดัชนีวัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Volatility Index: VIX) ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 ที่ปรับสูงขึ้นแตะระดับ 50 จุด สูงสุดในรอบ 31 เดือน ขณะที่ U.S. Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบสกุลเงินหลักของโลก อ่อนค่าลงแตะระดับ 98 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน
ภาคส่งออกได้แรงบวกจากความต้องการซื้อสินค้าในภาวะตื่นตระหนกหรือ Panic Buying เนื่องจากผู้นำเข้าและผู้บริโภคเร่งซื้อสินค้าเพื่อกักตุนก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้นหลัง Reciprocal Tariffs บังคับใช้ และทดแทนสินค้าจากจีนที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นแล้วอย่างน้อย 145% ส่งผลให้การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัวถึง 25% อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และอุปกรณ์สื่อสารและส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ต้องพึงระวังว่าเมื่อตลาดมีความชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า ความต้องการสินค้าดังกล่าวอาจลดลงแบบกะทันหันได้ เนื่องจากไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง (Real Demand)
ระยะถัดไป...เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลต่อเนื่องถึงไทย
เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.8% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.3% โดยมีมาตรการ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับการที่องค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าปริมาณการค้าโลกจะหดตัว 0.2% ในปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.7% ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เริ่มมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน อาทิ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือขยายตัว 1.8% จากเดิม 2.9% และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเหลือ 2.0% จากเดิม 2.9%
การส่งออกไทยได้รับผลกระทบแน่นอนในระยะข้างหน้า แต่ความรุนแรงยังคงขึ้นกับผลสรุปสุดท้ายของมาตรการ Reciprocal Tariffs ที่สหรัฐฯ จะใช้กับไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจและการค้าโลกปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอค่อนข้างแน่นอนจากสถานการณ์ปัจจุบัน จะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในเบื้องต้น EXIM BANK ประเมินว่าในกรณีไทยถูกเก็บ 10% เช่นเดียวกับทุกประเทศ การส่งออกไทยปีนี้จะยังขยายตัวได้เล็กน้อยราว 0.5-1.5%
แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ
EXIM BANK พร้อมร่วมเดินหน้าหา Solution ในการนำพาผู้ประกอบการส่งออกของไทยก้าวข้ามผ่านวิกฤตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่าง Foreign Exchange Forward Contracts และบริการประกันการส่งออก ที่จะทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงและรุกตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่าง EXIM Shield Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อพร้อมเครื่องมือประกันการส่งออก และ EXIM-DITP Empower Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อหมุนเวียนสำหรับการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของ DITP นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเปิด Export Clinic สำหรับ Update สถานการณ์สำคัญและให้คำแนะนำเบื้องต้นที่จำเป็นกับผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถเข้าใจสถานการณ์และบริบทการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
โดย: ฝ่ายวิจัยธุรกิจ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยภายหลังประชุมหารือแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและภาคเอกชน ณ กระทรวงการคลัง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า EXIM BANK พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่มีต่อผู้ประกอบการไทย ภายใต้ 5 แนวทางหลัก ดังนี้
ทั้งนี้ ในปี 2567 ไทยมีมูลค่าส่งออกรวมอยู่ที่ 300,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 18% ของมูลค่าส่งออกรวมเป็นการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจำนวน 3,700 รายจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าส่งออกราว 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมเร่งช่วยเหลือและเยียวยาลูกค้า ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ