AWS มอบทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเด็ก โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาการที่ดีของเด็ก และการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหายากให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นิโคล จีรูว์ เข้าใจดีถึงความทุกข์ทรมานจากการรอคอยการวินิจฉัยที่แม่นยำ และการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่มาพร้อมกับการวินิจฉัยนั้น เมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ลูกสาวของเธอชื่อไลลาแสดงอาการของมะเร็งสมองชนิดที่ผ่าตัดไม่ได้ ในขณะนั้นไลลามีอายุเพียง 15 เดือนเท่านั้น เนื่องจากข้อมูลทางการแพทย์มีไม่เพียงพอ ครอบครัวจีรูว์จึงต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเป็นเวลานานถึง 5 ปี ก่อนที่จะสามารถเข้าใจโครงสร้างระดับโมเลกุลของก้อนเนื้องอกในสมองของลูกสาวได้อย่างชัดเจน

“หลังจากเริ่มการรักษาไม่นาน สามีและฉันตระหนักว่ามีทางเลือกในการรักษามะเร็งสมองในเด็กน้อยมาก นอกจากนี้ยังมีการขาดแคลนงบประมาณสำหรับการวิจัยโรคนี้อีกด้วย” นิโคล กล่าว

เพื่อเป็นเกียรติแด่ลูกสาวของเธอ นิโคลได้ก่อตั้งมูลนิธิ Lilabean Foundation for Pediatric Brain Cancer Research เพื่อการวิจัยมะเร็งสมองในเด็กขึ้น มูลนิธิมีพันธกิจหลักในการสนับสนุนทุนวิจัยที่สำคัญเกี่ยวกับมะเร็งสมองในเด็ก และช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของโรคร้ายนี้ในหมู่สาธารณชน

ในงาน AWS Summit ที่จัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ผ่านมา AWS ได้ประกาศว่าจะมอบเงินทุนสนับสนุนจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากคลาวด์ของ AWS เพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับสากล เงินทุนดังกล่าวจะช่วยให้สามารถเข้าถึงงานวิจัยที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่เปราะบาง ซึ่งมักประสบปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและมีขนาดตัวอย่างจำกัด

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันของกลุ่มสถาบันการแพทย์ โรงพยาบาล และสถาบันต่าง ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเร่งรัดการวิจัยและการค้นพบใหม่ ๆ ด้วยการจัดการข้อมูลบนคลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าใจโครงสร้างพันธุกรรมของโรคได้ดีขึ้น นำไปสู่การวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น รวมถึงการรักษาเฉพาะบุคคลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นสำหรับผู้ป่วย

อดัม เรสนิค ผู้อำนวยการศูนย์การค้นพบที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย (Children’s Hospital of Philadelphia :CHOP) กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับโครงการที่ AWS ได้เปิดตัว เนื่องจากสอดคล้องกับสถานการณ์ของเราอย่างลงตัว แม้มะเร็งในเด็กจะเป็นโรคหายาก แต่ก็เปิดโอกาสให้เราได้ทดสอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วยความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการค้นพบข้อมูลแบบเรียลไทม์และเครือข่ายความร่วมมือ”

AWS ได้สนับสนุนเงินทุนจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการบริจาคเงิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่องค์กรต่าง ๆ 3 แห่ง ดังนี้ โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ (Children's National Hospital) ในวอชิงตัน ดี.ซี., โรงพยาบาลเด็กแนชั่นไวด์ (Nationwide Children's Hospital) ในโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ และเครือข่ายมะเร็งสมองเด็ก (Children's Brain Tumor Network) ซึ่งตั้งอยู่ที่ CHOP โดยแต่ละองค์กรจะได้รับเงินบริจาค 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามพันธกิจขององค์กร มูลนิธิ Lilabean เป็นหนึ่งในองค์กรสมาชิกของเครือข่ายมะเร็งสมองเด็ก (Children’s Brain Tumor Network)

ด้วยโครงการ AWS IMAGINE Grant: Children’s Health Innovation Award ใหม่ที่มีงบประมาณสูงถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐ องค์กรต่าง ๆ จะได้รับการสนับสนุนเพื่อใช้ในโครงการที่เร่งการวิจัยด้านสุขภาพเด็ก ส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กอย่างครบวงจร และ/หรือสนุบสนุนบุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลเด็ก

นอกเหนือจากมะเร็งในเด็ก เงินทุนนี้จะสนับสนุนการวิจัยโรคต่าง ๆ ในเด็ก ตั้งแต่โรคหัวใจไปจนถึงโรคพันธุกรรม โรคที่พบในเด็กมักไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร และมีการจัดสรรทรัพยากรสำหรับการวิจัยโรคเหล่านี้น้อยกว่าโรคอื่นๆ แม้ว่าไลลาจะต้องเผชิญกับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาเป็นเวลาหลายปี แต่ในวัย 16 ปีปัจจุบันเธอยังคงมีสุขภาพที่แข็งแรงดี อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ได้รับโอกาสที่ดีเช่นเดียวกับไลลา

มะเร็งในเด็กเช่นกรณีของไลลานั้นมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของมะเร็งทั้งหมดที่ได้รับการวินิจฉัยในสหรัฐอเมริกาในแต่ละปี แม้อัตรารอดชีวิต 5 ปีของผู้ป่วยมะเร็งในเด็กในประเทศพัฒนาแล้วจะดีขึ้น แต่ยังมีถึงสองในสามของผู้รอดชีวิตจากมะเร็งในวัยเด็กที่ต้องประสบกับผลข้างเคียงระยะยาวจากการรักษา

ข้อมูลการศึกษาวิจัยทางการแพทย์สำหรับโรคและการรักษาในเด็กยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก งานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการศึกษาขนาดเล็กที่ดำเนินการในศูนย์เดียว และขาดการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชนหรือภาครัฐ ส่งผลให้มีการศึกษาวิจัยการรักษาลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทยามีแรงจูงใจทางการเงินน้อยในการพัฒนายาสำหรับกลุ่มผู้ป่วยขนาดเล็กเหล่านี้ เด็กป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคหายากมักได้รับการรักษาตามแผนการรักษาที่ดัดแปลงมาจากแนวทางการรักษาสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา นอกจากนี้ การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมของมะเร็งในเด็กและผู้ใหญ่ยังแตกต่างกัน ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับนักวิจัย ความท้าทายที่แตกต่างกันเหล่านี้ในการวิจัยสำหรับเด็ก จำเป็นต้องมีโซลูชันขั้นสูงเพื่อแก้ไขปัญหา การจัดการข้อมูลในคลาวด์เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับการทำวิจัยร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ  การทำงานแบบแยกส่วนและไม่มีการประสานงานกันนั้น ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม
นิโคล กล่าวว่า “ในอดีต นักวิทยาศาสตร์มักทำงานแยกส่วนกันและไม่ได้แบ่งปันข้อมูลสำคัญ เช่น ตัวอย่างเนื้อเยื่อ ผลการวิเคราะห์ลำดับจีโนม และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ แต่ในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด แบ่งปันข้อมูล และประสานความร่วมมือในสนามวิจัยเดียวกัน”

สภาพแวดล้อมทดสอบ (sandbox) เป็นพื้นที่ปลอดภัยบนคลาวด์ของ AWS ที่ออกแบบมาเพื่อให้นักวิจัยสามารถจัดการข้อมูลที่ไม่ระบุชื่อและถูกทำให้เป็นข้อมูลนิรนามได้อย่างปลอดภัย โดยยังคงรักษามาตรฐานการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยและผู้เข้าร่วมในการวิจัยทางการแพทย์ไว้อย่างเคร่งครัด ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย นักวิจัยจึงสามารถดำเนินการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล

นักวิจัยที่โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ Nationwide Children's Hospital คลาวด์เป็นเครื่องมือในการประมวลผลข้อมูลจีโนมิกส์ และแบ่งปันข้อมูลและผลการวินิจฉัยสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเด็กในการศึกษาขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยมะเร็งเด็กทั่วสหรัฐอเมริกา หลังจากถูกใช้เพื่อช่วยให้ข้อมูลในการวินิจฉัยที่จะส่งกลับไปยังผู้ให้บริการด้านมะเร็งวิทยาสำหรับแต่ละผู้ป่วยแล้ว ข้อมูลที่ปราศจากการระบุตัวตนจะถูกแบ่งปันอย่างมีประสิทธิภาพผ่านคลาวด์ไปยังฐานข้อมูลมะเร็งเด็กของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (NCI) ซึ่งนักวิจัยกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้เกือบแบบเรียลไทม์

ดร.เอลเลน มาร์ดิส ผู้อำนวยการของสถาบัน Steve and Cindy Rasmussen Institute for Genomic Medicine จากสถาบัน Abigail Wexner Research Institute ที่โรงพยาบาล Nationwide Children's Hospital กล่าวว่า “สิ่งที่เราปรารถนาอย่างแท้จริงคือการทำให้มะเร็งที่พบได้น้อยกลายเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยขึ้น โดยการให้ข้อมูลที่ครอบคลุมแก่นักวิจัยที่ต้องการค้นคว้าเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ ๆ”

ดร.เอลเลน ระบุว่า การแบ่งปันข้อมูลอย่างกว้างขวางในฐานข้อมูลบนคลาวด์ สามารถช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ลักษณะทางจีโนมิกส์ของมะเร็งที่พบได้น้อยได้ง่ายขึ้น เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้มักถูกแยกเก็บไว้อย่างแยกส่วน ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มอาจไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาลักษณะเหล่านี้ การรวบรวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลกลางบนคลาวด์จะดึงดูดความสนใจของนักวิจัยเหล่านั้นให้เข้ามาศึกษาได้มากขึ้น

ดร.เอลเลน กล่าวว่า “ในระยะเวลาอันสั้น ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการค้นพบใหม่ ๆ คือความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบคลาวด์อย่างรวดเร็วและสะดวก”

การวิจัยทางการแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ถือเป็นพรมแดนใหม่ที่น่าจับตามอง

การสร้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการพัฒนาการรักษาโรคหายากในเด็กให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น AWS มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการวิเคราะห์ข้อมูลและแอปพลิเคชันนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการดูแลรักษา เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ที่โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ ทีมงานได้นำแอปพลิเคชันที่ใช้ AI มาช่วยในการคัดกรองทารกที่มีภาวะทางพันธุกรรมหายาก โดยแอปพลิเคชันนี้จะประเมินลักษณะใบหน้าของทารกผ่านกล้องสมาร์ทโฟน เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในลักษณะใบหน้าได้อย่างรวดเร็วหลังคลอด แอปพลิเคชันดังกล่าวได้รับการทดสอบกับผู้ป่วยในกว่า 30 ประเทศแล้ว และสามารถช่วยคัดกรองเด็กที่อาจไม่สามารถเข้าถึงนักพันธุศาสตร์ในบริเวณใกล้เคียงได้

นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการตรวจคัดกรองโรคหัวใจจากภาวะหัวใจรูมาติกด้วย โดยช่วยให้การตรวจคลื่นความถี่เสียงสูงแบบพกพามีราคาถูกลง ทำให้ผู้ป่วยที่มีทรัพยากรจำกัดสามารถเข้าถึงการตรวจได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศยูกันดา คาดว่าจะมีการคัดกรองเด็กประมาณ 200,000 คนในปีต่อ ๆ ไป

มาริอุส จอร์จ ลิงกูรารู ศาสตราจารย์ด้านครอบครัวคอนนอร์และประธานด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติ กล่าวว่า “ประเด็นความเท่าเทียมด้านสุขภาพเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ณ ปัจจุบัน เรามุ่งเน้นการทำงานในสหรัฐอเมริกามากกว่าต่างประเทศ เนื่องจากเมื่อต้องการการตีความภาพและการถ่ายภาพขั้นสูง ทรัพยากรเหล่านั้นมีอยู่มากในประเทศรายได้สูง อย่างไรก็ดี ผมมักแสวงหาวิธีการที่ง่าย ราคาไม่แพง และมีความยืดหยุ่นมากกว่า ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ได้ด้วย”

การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลเป็นอีกหนึ่งสาขาที่ปัจจุบันมีการนำเอา AI มาใช้เพื่อพัฒนาการดูแลสุขภาพสำหรับเด็ก ทีมงานของศาสตราจารย์ลิงกูรารูกำลังร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อปรับปรุงและทำให้แผนการรักษาสำหรับเด็กที่เป็นมะเร็งสมองมีความเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ความก้าวหน้าทางด้านคลาวด์คอมพิวติงและการประยุกต์ใช้ AI เหล่านี้ เป็นสิ่งที่นิโคลหวังว่าจะช่วยพัฒนาแนวทางการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับครอบครัวที่มีสถานการณ์คล้ายคลึงกับครอบครัวของเธอในอนาคต

“ฉันเข้าใจดีว่าตอนที่ครอบครัวได้รับการวินิจฉัยโรคของลูก มันเป็นเรื่องยากลำบากมาก พวกเขาต้องเผชิญกับความกังวลและความไม่แน่นอนมากมาย ดังนั้นฉันอยากให้ลูก ๆ ของทุครอบครัวมีทางเลือกที่เหมาะสมในการรักษา อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องยอมรับข้ออ้างที่ไม่ดีพอสำหรับลูกของตัวเองอีกต่อไป สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีความก้าวหน้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการแพทย์ ฉันหวังว่าครอบครัวเหล่านี้จะได้รับทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกของพวกเขา”

AWS มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะสนับสนุนงานสำคัญเพื่อส่งเสริมสุขภาพเด็ก โครงการด้านการกุศลในครั้งนี้จะเสริมพลังให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไรทั่วโลก ในการนำประโยชน์จากคลาวด์ของ AWS มาใช้ขับเคลื่อนสาเหตุด้านสุขภาพเด็กและเยาวชน

การจ้างบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI นั้นเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับนายจ้างชาวไทยกว่า 9 ใน 10 ราย แต่ 64% กลับประสบปัญหาในการสรรหาบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI ที่เพียงพอ สื่อให้เห็นถึงปัญหาการขาดแคลนทักษะด้าน AI ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย

 อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ได้เผยแพร่การศึกษาล่าสุด ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ถูกนำมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ บุคลากรไทยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI มีโอกาสเห็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างมากกว่า 41% โดยสองหมวดที่มีโอกาสเพิ่มรายได้สูงที่สุดคือพนักงานด้าน IT (54%) และด้านการดำเนินธุรกิจ (51%)

AWS ได้ร่วมมือกับบริษัท Access Partnership เพื่อทำการศึกษาในระดับภูมิภาคหัวข้อ “การยกระดับทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI): การเตรียมความพร้อมบุคลากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสู่งานแห่งอนาคต” เพื่อให้เข้าใจถึงแนวโน้มการใช้งาน AI ที่กำลังเกิดขึ้นและทักษะที่เป็นที่ต้องการในองค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาค APAC ได้ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการสำรวจพนักงานกว่า 1,600 คนและนายจ้าง 500 รายในประเทศไทย

 นอกจากโอกาสในการเพิ่มค่าจ้าง บุคลากรในประเทศไทยอีก 98% คาดว่าการเพิ่มทักษะด้าน AI จะส่งผลให้พวกเขามีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเพิ่มความมั่นคงในอาชีพ และส่งเสริมความใฝ่รู้ให้แก่พวกเขา บุคลากรในประเทศไทย 95% ระบุถึงความสนใจในการพัฒนาทักษะ AI เพื่อโอกาสในการก้าวหน้าในสายงานอาชีพไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุรุ่นไหน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าบุคลากร 93% ในกลุ่ม Gen Z 95% ในกลุ่ม Gen Y และอีก 95% ในกลุ่ม Gen X รายงานถึงความต้องการเรียนรู้ทักษะด้าน AI ในขณะที่ 97% ในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มักอยู่ในช่วงเกษียณอายุแล้ว กลับรายงานว่าพวกเขาสนใจจะลงทะเบียนในหลักสูตรเพื่อยกระดับทักษะด้าน AI หากได้รับโอกาส

ผลการศึกษายังพบว่าประสิทธิผลที่ได้รับจากบุคลากรไทยที่มีความพร้อมด้านทักษะ AI นั้นอาจมีมากอย่างมหาศาล ผลสำรวจจากนายจ้างคาดว่าประสิทธิภาพขององค์กรจะเพิ่มขึ้น 58% เนื่องจากเทคโนโลยี AI สามารถพัฒนาการสื่อสารได้ถึง 66% ปรับงานซ้ำซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ 65% และส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ถึง 60% นอกจากนี้ จากผลสำรวจบุคลากรเชื่อว่า AI สามารถยกระดับประสิทธิผลในการทำงานของตนเองได้มากถึง 56% อีกด้วย

องค์กรในประเทศไทยเดินหน้าเต็มที่กับ AI

พัฒนาการของ AI ในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 98% ของนายจ้างมองว่าบริษัทของตนจะปรับเปลี่ยนสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในปี 2571 ในขณะที่นายจ้างส่วนใหญ่ (97%) เชื่อว่าแผนก IT จะได้รับประโยชน์มากที่สุด พวกเขายังมองว่าแผนกอื่น ๆ นั้นสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงฝ่ายวิจัยและพัฒนา (95%) ฝ่ายการเงิน (95%) ฝ่ายการดำเนินธุรกิจ (94%) ฝ่ายขายและการตลาด (93%) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (91%) และฝ่ายกฎหมาย (90%)

อภินิต คาอุล ผู้อำนวยการบริษัท Access Partnership กล่าวว่า “คลื่นยุคใหม่แห่ง AI กำลังขยายตัวทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมไปถึงประเทศไทย และกำลังเปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจและวิธีการทำงานในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ผลการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าสังคมโดยรวมจะได้รับผลประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับบุคลากรในไทยที่มีทักษะ และด้วยจำนวนองค์กรที่คาดว่าจะใช้โซลูชันและเครื่องมือ AI เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับการพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้นายจ้างและภาครัฐต้องให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ พร้อมรับมือกับความก้าวหน้าของ AI ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

Generative AI เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาและไอเดียใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนา นิยาย รูปภาพ วิดีโอ เพลง และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยเทคโนโลยีนี้ได้พลิกโฉมการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 98% ของนายจ้างและลูกจ้างในผลสำรวจคาดว่าจะมีการนำเครื่องมือด้าน Generative AI มาใช้ในที่ทำงานภายในห้าปีข้างหน้า โดยมีนายจ้างจำนวน 74% มองว่าการ ‘เพิ่มนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์’ จะเป็นประโยชน์อันดับแรกที่องค์กรจะได้รับ ตามด้วยการปรับงานซ้ำซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติอีก 66% และการสนับสนุนการเรียนรู้อีก 62%

วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ประจำ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “Generative AI มอบโอกาสพลิกโฉมธุรกิจในประเทศไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และผลการศึกษาในครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในอนาคตด้านทักษะ AI สำหรับพนักงานอย่างชัดเจน อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ปรับตัวใช้ AI อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่บริการทางการเงินไปจนถึงการก่อสร้าง การค้าปลีก หรือแม้แต่ภาครัฐที่มุ่งเน้นพัฒนานโยบายด้านการส่งเสริม AI จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานที่มีทักษะด้าน AI ถึงมีความสำคัญในการเสริมสร้างวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานในประเทศไทย ที่ AWS เราได้ช่วยองค์กรต่าง ๆ เช่น DailiTech ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทย ในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากร เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตแห่งยุค Generative AI”

 ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล กรรมการผู้จัดการบริษัท DailiTech กล่าวว่า "การฝึกอบรมบุคลากรของเราให้มีความพร้อมด้านทักษะ AI และ Generative AI เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้มาใช้ในธุรกิจของเราให้เกิด transformation อย่างแท้จริง ที่ DailiTech เราได้พัฒนา framework ในการนำ Generative AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยลูกค้าของเรา launch นวัตกรรมใหม่ ๆ สู่ตลาดได้เร็วยิ่งขึ้น"

ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนด้านทักษะ AI ในประเทศไทย

ผลการศึกษานี้เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาขาดแคลนทักษะด้าน AI ในบุคลากรไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อปลดล็อกศักยภาพและประโยชน์ของ AI ได้อย่างเต็มรูปแบบ การจ้างบุคลากรที่มีความพร้อมในทักษะ AI ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ในกลุ่มนายจ้างไทยเก้าในสิบราย (94%) โดย 64% ในนี้ระบุว่าไม่สามารถหาบุคลากรที่มีทักษะ AI ตามที่พวกเขาต้องการได้ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังเผยให้เห็นถึงช่องว่างด้านการฝึกอบรม โดย 89% ของนายจ้างระบุว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการดำเนินโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้าน AI และพนักงานอีก 81% กล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าทักษะด้าน AI จะเป็นประโยชน์แก่สายอาชีพใดได้บ้าง

ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ องค์กรอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงผู้ให้บริการทางการศึกษา เพื่อช่วยให้นายจ้างไทยสามารถดำเนินโครงการฝึกอบรม AI และแนะแนวทางให้แก่พนักงานของตนได้ เพื่อจับคู่ทักษะและความสามารถด้าน AI ของบุคลากรกับตำแหน่งที่เหมาะสมภายในองค์กรได้

เจฟฟ์ เพย์น กรรมการผู้จัดการ Asia Internet Coalition กล่าวว่า “ผลรายงานนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ ยังคงนำพลังแห่งเทคโนโลยี AI มาปรับใช้อยู่เรื่อย ๆ ในการพลิกโฉมวิธีการทำงานและดัดแปลงให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ภาครัฐเองก็มีโอกาสในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าผ่านนโยบายที่จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในอนาคต

ดร. รูพา ชาญดา ผู้อำนวยการกองการค้า การลงทุน และนวัตกรรม คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) กล่าวว่า “ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การฝึกอบรมบุคลากรในด้าน AI ที่ตั้งอยู่บนกรอบและหลักการที่มีจรรยาบรรณไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเชิงกลยุทธ์ แต่เป็นภารกิจสำคัญสำหรับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิก รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมบุคลากรให้มีความพร้อมด้านทักษะ AI เพื่อรองรับงานในอนาคตที่มีความท้าทายใหม่ ๆ รวมไปถึงความพร้อมเปิดรับโอกาสในการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเสมอภาค ตลอดจนนวัตกรรมที่ครอบคลุม”

 เร่งการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลในประเทศไทย

AWS ได้ฝึกอบรมผู้คนมาแล้วกว่า 50,000 คนในประเทศไทย ในทักษะด้านคลาวด์นับตั้งแต่ปี 2560 แต่ด้วยการนำเทคโนโลยีที่พึ่งพาระบบคลาวด์ในการใช้งานเช่น AI มาใช้อย่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะบุคลากรในวงกว้าง เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเติบโตได้ในอนาคตแห่งยุค AI

ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 บริษัท Amazon ได้เปิดตัวโครงการ ‘AI Ready’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มี ในการฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ให้กับผู้คนจำนวน 29 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2568 แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โครงการ ‘AI Ready’ มอบหลักสูตรฝึกอบรมด้าน AI และ Generative AI แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่เหมาะกับผู้เรียนไม่ว่าจะต้องการเน้นทักษะเทคนิคเฉพาะทางหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเสริมสร้างทักษะด้าน AI ในแบบที่ต้องการ โครงการนี้ยังไม่รวมหลักสูตรอบรมและเนื้อหาการเรียนการสอนด้าน AI แมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning : ML) และ Generative AI อีกกว่า 100 รายการที่ AWS มอบให้ผ่านช่องทาง AWS Skills Builder และ AWS Educate ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้บนระบบดิจิทัลของเรา เหมาะสำหรับการเรียนรู้ในทุกระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูง ล่าสุด AWS ได้มีการประกาศนวัตกรรม Generative AI ใหม่ ภายในงาน AWS re:Invent 2023 อย่าง Amazon Q ซึ่งเป็นผู้ช่วยรูปแบบ Generative AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

 

บริษัทสตาร์ทอัพมักเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมมาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคของ Generative AI บริษัทเหล่านี้มีความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าและการทำงานของเราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้อมูลจาก PitchBook data เผยว่านักลงทุนทั่วโลกที่มองเห็นคุณค่าและศักยภาพของสตาร์ทอัพในด้าน Generative AI ได้ลงทุนไปแล้วกว่า 21.4 พันล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2566 ไปจนถึง 30 กันยายน 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2565 เป็นจำนวน 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปัจจุบันมีสตาร์ทอัพด้าน Generative AI มากกว่า 5,000 รายที่กำลังสร้างโซลูชันบน AWS สตาร์ทอัพรายย่อยเหล่านี้มีความคล่องตัวสูงและมีศักยภาพที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วยแนวคิดใหม่ ๆ บวกกับการพัฒนาโซลูชันที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ และการนำเสนอวิธีการใหม่ ๆ โดยนำ AI มาใช้งาน ความสำเร็จของสตาร์ทอัพเหล่านี้เป็นที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงความท้าทายในการเป็นผู้บุกเบิกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 AI ที่เข้าใจบริบททางวัฒนธรรม

เทคโนโลยี Generative AI ได้ดึงดูดความสนใจผู้คนมาแล้วทั่วโลก ด้วยความสามารถในการเรียนรู้และนำไปใช้จากโมเดลพื้นฐาน (Foundation Models: FMs) ซึ่งได้ถูกเทรนล่วงหน้าด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาล อย่างไรก็ตาม คุณภาพของโมเดลขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้ถูกนำมาใช้เทรน ตัวอย่างเช่น เมื่อโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models: LLMs) ที่ได้ถูกเทรนล่วงหน้าด้วยข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ หากถูกนำมาใช้งานเพื่อตอบคำถามในภาษาอื่น ๆ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรือการตีความที่ผิดได้

สิ่งต่างๆนี้เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีประชากรที่พูดภาษาต่าง ๆ กว่า 2,300 ภาษา เพื่อที่จะรองรับวิธีการทำงาน วัฒนธรรม และภาษาที่หลากหลายของภูมิภาคนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเทรน LLM ด้วยข้อมูลที่มีความหลายหลายทางวัฒนธรรม เพื่อให้ AI เข้าใจแง่มุมที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์ และสามารถเข้าใจความซับซ้อนทางสังคมได้ การสร้าง AI ที่สามารถรับรู้วัฒนธรรมของมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่นมากขึ้นนั้น จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อประเทศ ชุมชน และประชากรรุ่นต่อ ๆ ไปอีกด้วย

สตาร์ทอัพเป็นผู้นำในการเทรนโมเดลด้วยข้อมูลที่มีความเจาะจงในแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในรูปแบบข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น Botnoi Voice ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานของ AWS ในการสร้าง AI Bot ที่สามารถอ่านออกเสียงข้อความภาษาไทยด้วยเสียงสังเคราะห์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ได้อย่างชัดเจนและเป็นธรรมชาติ แบรนด์ต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากบริการของ

Botnoi Voice ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ไปยังเว็บไซต์ของ Botnoi Voice และอัปโหลดข้อความต้นฉบับ ก็จะสามารถดาวน์โหลดไฟล์เสียงที่มีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องสมัครสมาชิก สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษาไปจนถึงสื่อ (media) เพื่อให้แบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้แก่ลูกค้าของตนได้

การสร้างนวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม

สตาร์ทอัพมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้าน Generative AI ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางเฟรมเวิร์คพื้นฐานด้วย (Foundation Model: FM) ไปจนถึงการพัฒนาการใช้งานจริง ปัจจุบันสตาร์ทอัพที่ใช้ Generative AI ในพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่น อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ บริการทางการเงิน สื่อและความบันเทิง การศึกษา และเกม Generative AI ยังคงปฏิวัติวิธีการดำเนินงานของธุรกิจและองค์กรทุกขนาดต่อไปเรื่อย ๆ โดยการพัฒนาระบบทำงานอัตโนมัติ ปรับปรุงกระบวนการวางแผนทางธุรกิจ และดัดแปลงประสบการณ์ผู้ใช้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

ในแวดวงการแพทย์ เครื่องมือการฝึกอบรมที่ได้รับความช่วยเหลือจาก AI สามารถสร้างรูปแบบการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรทางการแพทย์เฉพาะบุคคลและเป็น real time เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน SimConverse สตาร์ทอัพจากออสเตรเลียใช้ Generative AI เพื่อจำลองสถานการณ์จริง ในการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์กว่า 300,000 คน จากองค์กรกว่า 150 แห่งในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ บริษัท SimConverse ใช้บริการประมวลผลของ Amazon เพื่อเทรนโมเดล AI ของตนในสถานการณ์จำลองกว่า 1,000 รูปแบบ ตั้งแต่การสื่อสารเบื้องต้น เช่น การกรอกประวัติทางการแพทย์ ไปจนถึงสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนทางภาษา เช่น การพูดเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์ และการแจ้งข่าวร้ายให้แก่ญาติครอบครัว

อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเทคโนโลยี AI คือธุรกิจสื่อและความบันเทิง ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ได้นำ Generative AI มาช่วยในด้านการผลิตเนื้อหาใหม่ ๆ แบบอัตโนมัติ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต Toonsquare สตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ ได้บุกเบิกนวัตกรรมในวงการเว็บตูนด้วยเครื่องมือสร้างเว็บตูนสุดล้ำสมัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ชื่อว่า Tooning ซึ่งอยู่บน AWS เครื่องมือ Tooning ช่วยให้งานที่ก่อนหน้านี้ใช้เวลาถึง 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สามารถเสร็จสิ้นได้ภายในเวลาเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น

 ขยายการเข้าถึง AI

สตาร์ทอัพมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิวัติเทคโนโลยี AI อย่างปฏิเสธไม่ได้ตั้งแต่เริ่มแรกไปจนถึงการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะที่สตาร์ทอัพยังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังเผชิญกับ

อุปสรรคสำคัญซึ่งรวมถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากร ความซับซ้อนด้านจริยธรรมและกฎระเบียบ อุปสรรคในการนำมาปรับใช้งาน รวมไปถึงการขาดผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค

ในการเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ สตาร์ทอัพจำเป็นต้องมีเครื่องมือและสามารถเข้าถึงทรัพยากรระบบคลาวด์ที่จะทำให้พวกเขามีข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ AWS ได้เปิดตัวเทคโนโลยีในทุกเลเยอร์ของ “สแต็ก” Generative AI เพื่อให้สามารถสร้าง เทรน และขยาย Generative AI ของตนได้ง่ายยิ่งขึ้น ถูกลง และสะดวกเร็วขึ้น ในเลเยอร์ล่างสุดของโครงสร้างพื้นฐาน (bottom layer) เรามีการผลักดันประสิทธิภาพต่อราคาของ MLChips รุ่นใหม่ที่ออกแบบโดย AWS เช่น Trainium2 ซึ่งมีความสามารถเพิ่มความเร็วในการเทรนโมเดลบน Amazon SageMaker

สำหรับสตาร์ทอัพที่สนใจทดลองใช้โมเดลที่มีอยู่ ในส่วนของเลเยอร์ระดับกลาง (middle layer) ซึ่งเป็นเลเยอร์เครื่องมือ โดยการเรียกใช้ Amazon Bedrock ต่อกับโมเดลชั้นนำต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ และสามารถปรับแต่งได้ มีเอเจนต์ให้ใช้งาน และมีความปลอดภัยกับความเป็นส่วนตัว ใช้งานในระดับองค์กรใหญ่ได้ ทั้งหมดนี้ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ที่มีการจัดการอย่างเต็มรูปแบบ (Fully managed) ในเลเยอร์บนสุด (top layer) ซึ่งเป็นเลเยอร์แอปพลิเคชัน สตาร์ทอัพสามารถใช้แอปพลิเคชันอย่างเช่น Amazon Q ซึ่งทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยรูปแบบใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Generative AI ออกแบบมาสำหรับการทำงานโดยเฉพาะและสามารถปรับให้เข้ากับธุรกิจของลูกค้าได้ อีกหนึ่งแอปพลิเคชันคือ Amazon CodeWhisperer ซึ่งเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย AI เหมาะสำหรับการเขียนโปรแกรมแบบรวม (Integrated Development Environment: IDE) และ command line นอกจากนี้ AWS ยังช่วยอุดช่องว่างในด้านทักษะ AI สำหรับสตาร์ทอัพด้วยการจัดโปรแกรมการฝึกอบรมฟรีด้าน AI ทั่วทุกภูมิภาคอีกด้วย

ความยืดหยุ่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม

แม้ว่าการสร้างสรรค์ Generative AI จะเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติ แต่การก้าวไปสู่ระดับโลกก็มีความสำคัญไม่แพ้กันในการผลักดันให้เกิดการยอมรับอย่างกว้างขวาง และการนำ Generative AI ที่ขับเคลื่อนโดยสตาร์ทอัพมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ Yellow. AI เป็นสตาร์ทอัพในอินเดียซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันชั้นนำด้าน AI ในการสนทนา และวางขาย Generative AI Solution อยู่บน AWS Marketplace ที่เป็นแค็ตตาล็อกดิจิทัลที่มีลูกค้าสมัครใช้งานกว่า 330,000 ราย ปัจจุบัน Yellow.AI ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศอินเดียจัดการการสนทนามากกว่า 12 พันล้านบทสนทนาในกว่า 85 ประเทศต่อปี

ในขณะที่สตาร์ทอัพทั่วเอเชียแปซิฟิกยังคงผลักดันขีดจำกัดในการสร้างสรรค์ ดัดแปลง และปรับขนาด FM และแอปพลิเคชัน Generative AI ของตนเอง พวกเขาจำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องมือในการทำ ML การสนับสนุน โครงสร้างพื้นฐาน และโปรแกรมต่าง ๆ ที่คุ้มราคาและคุ้มค่าที่สุด เช่น AWS Activate เพื่อสร้าง AI ที่เข้าใจ

บริบททางวัฒนธรรมของมนุษย์ได้ เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพเหล่านี้ เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาและการนำเทคโนโลยี Generative AI มาประยุกต์ใช้ สำหรับโลกในอนาคตที่มี AI เป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างมุมมองใหม่ ๆ และโซลูชันอันสร้างสรรค์ที่จะขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับพวกเราทุกคน

บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) จับมือร่วมกับ ธนาคารออมสิน มอบความสุขแก่น้องๆ เนื่องในวันเด็ก 2567 เตรียมส่งตู้ HAKO SOFT CREAM ตู้จำหน่ายไอศกรีมซอฟต์เสริฟ (soft serve) หรือไอศกรีมสดอัตโนมัติเจ้าแรกในประเทศ แจกไอศกรีมซอฟต์เสริฟเกรดพรีเมี่ยม รสชาติ HAKO-นมจิตรลดา จำนวน 2,000 ถ้วย เพื่อเป็นของขวัญวันเด็ก ในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม นี้ ที่บริเวณสนามกีฬา ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 12.00 น.

นาย วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าว “แบรนด์ Advance Vending ภายใต้บริษัท บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เราเป็นผู้พัฒนาและผลิตตู้ Vending Machine อันดับต้นๆ ของเมืองไทย รวมไปถึงตู้ HAKO SOFT CREAM ตู้กดไอศกรีมซอฟต์เสริฟ (soft serve) อัตโนมัติเจ้าแรกในประเทศ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงการไอศกรีมบ้านเรา และนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ HAKO SOFT CREAM ได้เข้าร่วม โครงการ GSB Smart Franchise ที่ธนาคารออมสินจัดขึ้น ในการตอกย้ำภารกิจเพื่อสังคม และการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับผู้ประกอบการ โดย ตู้ HAKO SOFT CREAM ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 Selected GSB Smart Franchise 2023

โดยวันเด็กเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 นี้ บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ได้จับมือร่วมกับ ธนาคารออมสิน ส่งมอบความอร่อย และความสุข พร้อมทั้งเปิดประสบการณ์การเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมการให้บริการตู้กดสินค้าอัตโนมัติ HAKO SOFT CREAM  ให้น้องๆ ได้กดสัมผัส ได้สนุก และทำความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีตู้กดไอศกรีมอัตโนมัติ เพื่อเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์และพัฒนาการการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับตู้ Vending Machine โดยไอศกรีมที่นำไปแจก คือ รสชาติ HAKO-นมจิตรลดา ซึ่งเป็นรสชาตินมอัดเม็ดที่หลายๆคนคุ้นเคย แต่มาบริการในรูปแบบของไอศกรีมซอฟต์เสริฟ จำนวน 2,000 ถ้วย ทั้งนี้ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในวันเด็กปี 2567 นี้ น้องๆ จะได้ชิมไอศกรีมที่มีความอร่อย มีความสุข และได้เรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ จากตู้กดไอศกรีมอัตโนมัติ HAKO SOFT CREAM ครับ”

กรุงเทพฯ 24 พฤษภาคม 2566 – วันนี้อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ประกาศเปิดตัวโครงการ AWS re/Start ในประเทศไทย โปรแกรม AWS re/Start เป็นโปรแกรมพัฒนาทักษะบุคลากรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ว่างงานหรือบุคคลที่ประกอบอาชีพไม่เต็มเวลา ให้มีความพร้อมสำหรับอาชีพใหม่ในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง และมอบโอกาสในการสัมภาษณ์งานกับผู้ว่าจ้างที่สนใจให้แก่ผู้เรียน โปรแกรมนี้เปิดสอนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีมาก่อนในการสมัคร

การวิจัยของ Gallup ซึ่งดำเนินการโดย AWS แสดงให้เห็นว่า 94% ของพนักงานที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย มีความสนใจอย่างมากหรือมากที่สุดในการรับการฝึกอบรมในทักษะดิจิทัลอย่างน้อยหนึ่งทักษะ เช่น ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (cybersecurity) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และวิทยาการหุ่นยนต์ (robotics) อย่างไรก็ตาม 53% ของพนักงานที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีกล่าวถึงอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการไม่มี เพื่อแก้ไขอุปสรรคนี้ AWS re/Start ให้การฝึกอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งแบบเข้าห้องเรียนหรือแบบออนไลน์เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ และสนับสนุนผู้เรียนในช่วงเริ่มต้นอาชีพใหม่ด้านคลาวด์

โปรแกรมนี้ครอบคลุมทักษะพื้นฐานด้านคลาวด์ของ AWS และทักษะอาชีพที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น เทคนิคการเขียนประวัติส่วนบุคคลและการสัมภาษณ์งาน ผ่านการฝึกปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สถานการณ์จำลอง การนำไปใช้งานจริง การเรียนรู้ในห้องปฏิบัติการและผ่านหลักสูตร ให้ผู้เรียนสร้างความรู้และทักษะเกี่ยวกับ Linux, Python, ระบบเครือข่าย, ความปลอดภัย และฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน โปรแกรมนี้จะเตรียมความพร้อมให้พวกเขาเข้าสู่บทบาทในงานด้านคลาวด์ในระดับเริ่มต้น เช่น การใช้งาน ความเสถียรของเว็บไซต์ การดูแลโครงสร้างพื้นฐาน และอื่น ๆ

โปรแกรม AWS re/Start ยังครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เข้าร่วมในการสอบใบรับรอง AWS Certified Cloud Practitioner เพื่อให้พวกเขาสามารถรับรองทักษะด้านคลาวด์ของตนเองด้วยประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม ตามข้อมูลจาก Gallup มีองค์กรผู้ว่าจ้างในประเทศไทย 92% กล่าวว่าการรับรองด้านดิจิทัลหรือหลักสูตรการฝึกอบรมเป็นทางเลือกที่ยอมรับและสามารถทดแทนปริญญาตรีได้

โปรแกรม AWS re/Start ในประเทศไทย จะเปิดรับไปทั่วประเทศโดยความร่วมมือขององค์กร xLab ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ บริษัทนี้เป็นที่รู้จักในด้านการช่วยให้ธุรกิจไทยแบบดั้งเดิมค้นพบโอกาสทางดิจิทัล และเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล AWS re/Start จะทำงานร่วมงานกับ xLab เพื่อเชื่อมโยงผู้เรียนที่สำเร็จการฝึกอบรมในโปรแกรมกับผู้จ้างงานที่มีความสนใจ

 

คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ความต้องการในการนำคลาวด์มาใช้งานยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนบุคลากรใหม่ ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคลาวด์ ส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ มีความยากลำบากในการหาบุคคลากรที่มีความรู้และทักษะในการใช้คลาวด์ ผลการศึกษาของ Gallup เปิดเผยว่า 94% ของธุรกิจในประเทศไทย กล่าวว่าการว่าจ้างพนักงานด้านดิจิทัลที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งโปรแกรม AWS re/Start จะนำผู้ที่มีความสามารถใหม่ ๆ จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาพัฒนาความรู้และทักษะให้กับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีหรือมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย และช่วยให้พวกเขาเริ่มต้นอาชีพด้านคลาวด์ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ xLab ในการมอบโอกาสนี้ให้แก่คนไทยได้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมที่น่าตื่นเต้นและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”

 

คุณลอยด์ วัฒนโฆวรุณ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ xLab กล่าวว่า “เป้าหมายสูงสุดของ xLab คือการกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศไทยด้วยการบ่มเพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่มีทักษะมากพอที่จะรับมือกับปัญหาการขาดแคลนทักษะในปัจจุบันได้ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับโปรแกรม AWS re/Start ในการฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ ให้การสนับสนุน และโอกาสในการจ้างงานแก่คนไทยที่มีความสามารถทั่วประเทศ”

G-Able และ NTT Thailand ซึ่งเป็น AWS Partners มีแผนที่จะสัมภาษณ์และว่าจ้างผู้สำเร็จการศึกษาจากโปรแกรม AWS re/Start เข้ามาทำงานในตำแหน่งงานต่าง ๆ บริษัททั้งสองจะร่วมมือกับ xLab เพื่อมองหาผู้มีความสามารถและหาโอกาสในการจ้างงานให้พวกเขา

 

คุณฐิติกานต์ กฤษณวิภาคพร รองประธานบริหารอาวุโสฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ G-Able กล่าวว่า “เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศไทย เราจึงมุ่งมั่นที่จะมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะให้กับผู้ที่มีความสามารถที่หลากหลาย และเชื่อว่าโปรแกรมอย่าง AWS re/Start จะช่วยเร่งการเติบโตและเป็นแนวทางสู่อนาคตของเทคโนโลยีและระบบคลาวด์ เราตั้งตารอที่จะร่วมมือกับ AWS เพื่อสร้างกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคต”

คุณสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NTT ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ NTT (Thailand) Limited เราทราบดีว่าเราต้องมุ่งเน้นการระบุและสนับสนุนผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาทำงานในด้านคลาวด์ เพื่อเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมคลาวด์ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWS เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลในประเทศไทย โปรแกรม AWS re/Start เป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้ที่มีความสามารถจากกลุ่มที่ขาดโอกาสและนำพาพวกเขาไปสู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี”

ปัจจุบันโปรแกรม AWS re/Start ได้เปิดตัวไปแล้วในกว่า 180 เมืองใน 60 ประเทศทั่วโลก ในช่วงระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา AWS ได้มุ่งเน้นไปที่การเติบโตของโปรแกรมในภูมิภาคอาเซียน และมีการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ด้วยความร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรต่าง ๆ ในแต่ละประเทศ

 

คุณสุทธิกานต์ สุรนันท์ นักออกแบบกราฟิกและผู้ดูแลสำนักงานจากกรุงเทพฯ ที่ปัจจุบันเป็นผู้ว่างงาน กล่าวว่า “ดิฉันสนใจที่จะเข้าร่วมโปรแกรม AWS re/Start เนื่องจากเป็นโอกาสสำหรับตัวเอง ที่ไม่ได้เรียนด้านไอทีหรือทำงานในสายงานด้านเทคนิคมา ที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ และมีโอกาสก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาอาชีพในด้านคลาวด์ได้ ดิฉันมั่นใจว่างานในสายงานนี้เป็นที่ต้องการสูงและจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต สิ่งที่ดีที่สุดคือโปรแกรมนี้ให้การฝึกอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้นดิฉันจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้เพื่อเรียนรู้ทักษะด้านคลาวด์และลงทุนในตัวเอง”

ผู้เรียนที่เข้าร่วมในโปรแกรม AWS re/Start Thailand กลุ่มแรกในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ AWS Asia Pacific (Bangkok) Region เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่ประกาศแผนการลงทุนในประเทศไทยประมาณ 190,000 ล้านบาท (5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 15 ปี การฝึกอบรมทักษะดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญของการลงทุนครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ผู้ว่าจ้างและบุคลากรทั้งในภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจและอาชีพ เพิ่มผลผลิตและนวัตกรรม และสนับสนุนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศในยุคดิจิทัล ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นมา AWS ได้ฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ให้แก่บุคลากรในประเทศไทยไปแล้วกว่า 50,000 คน และมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดช่องว่างด้านทักษะด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองของ AWS

สามารถเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AWS re/Start หรือสมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้ในประเทศไทยได้ที่นี่

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click