December 05, 2025

Google Cloud ประกาศเปิดตัว PanyaThAI โครงการเพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนา ประยุกต์ และขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร เพื่อสร้างคุณค่าที่จับต้องได้ และผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงให้กับภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ

โครงการนี้เริ่มต้นด้วยสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 15 องค์กร ได้แก่ บิทาซซ่า (Bitazza), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University), ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Dhipaya Group Holdings), ฟินโนมีนา (Finnomena), ไทยสมุทรประกันชีวิต (Ocean Life Insurance), ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED), บริษัท ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ จำกัด (Shop Global E-Commerce Company Limited), สยามพิวรรธน์ (Siam Piwat), แสนสิริ (Sansiri), สคูลดิโอ (Skooldio), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), ไทยวาโก้ (Thai Wacoal), ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO Financial Group), ท็อปส์ (TOPS)  และ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป (True Digital Group) 

PanyaThAI” (ปัญญาไท) เป็นการเล่นคำระหว่างคำว่า “ปัญญา” และคำว่า “ไท” ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของโครงการในการผสานสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเข้ากับเครื่องมือทางเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ระดับโลกที่สามาถส่งมอบคุณค่าที่เป็นรูปธรรมให้แก่อุตสาหกรรม สังคม และเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งประเทศ ทั้งยังสะท้อนเจตจำนงร่วมขององค์กรสมาชิกในการนำนวัตกรรม AI มาพัฒนาอย่างมีความรับผิดชอบ 

ผลการวิจัยจาก Public First เผยว่าหากองค์กรท้องถิ่นสามารถนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ราว 730,000 ล้านบาท (ประมาณ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2030 นอกจากนี้ งานวิจัยบับดังกล่าวยังระบุถึง 3 อุปสรรคหลักที่จำกัดองค์กรหลายแห่งจากการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) การทำให้โซลูชัน AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง 2) การขาดแหล่งข้อมูลที่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI 3) การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการจัดการข้อมูลและ AI อย่างเหมาะสม 

นายอรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งรายงานว่าองค์กรของตนมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-10% จากการนำโซลูชัน AI ระดับองค์กรมาให้ทีมงานและผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรง องค์กรของพวกเขากำลังจัดสรรงบประมาณด้าน AI อย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปยังแพลตฟอร์ม Agentic แบบครบวงจร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการออกแบบกระบวนการดำเนินงานใหม่ และเสริมสร้างความเป็นผู้นำทางการตลาดของพวกเขา”

หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจังนั้นสามารถก้าวข้าม ‘Pilot Purgatory’ หรือการติดอยู่ในช่วงนำร่องไปได้สำเร็จ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลาเพียง 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI หรือแนวทางการทรานส์ฟอร์มทุกแห่งจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันได้ ผ่านโครงการ PanyaThAI เรานำแบบแผนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จมามอบให้แก่องค์กรในประเทศไทย เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าถึงบริการ AI แบบครบวงจร พร้อมการฝึกอบรมและการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญที่จำเป็น ความมุ่งมั่นของเราคือการช่วยให้องค์กรสร้างทีมงานที่เข้าใจทั้งธุรกิจของตนและเทคโนโลยี AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแก้ไขโจทย์ที่ซับซ้อนและสร้าง ROI อย่างต่อเนื่องจาก AI ได้สำเร็จ โดยขณะนี้เราได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากองค์กรต่าง ๆ และตั้งขยายการสนับสนุนนี้ สู่องค์กรอื่น ๆ เพิ่มเติมจาก 15 องค์กรแรกที่เข้าร่วมโครงการนายอรรณพ กล่าวเสริม 

โครงการ PanyaThAI ดำเนินตามแนวทางแบบ Full-Stack ของ Google ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่น่าเชื่อถือและออกแบบขึ้นเฉพาะ และ งานวิจัยล้ำสมัยจาก Google DeepMind ไปจนถึงโมเดลพื้นฐานระดับแนวหน้าภายในพอร์ตโฟลิโอขนาดใหญ่ของ Google อาทิ Veo 3.1, Gemini 3, Gemini 3 Pro Image หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nano Banana Pro และ Gemini 2.5 Computer Use รวมถึงแพลตฟอร์มแบบครบวงจรอย่าง Vertex AI และ Gemini Enterprise ตลอดจนแอปพลิเคชันสำเร็จรูปอย่าง Customer Engagement Suite และ Google Workspace ภายใต้โครงการนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI จาก Google Cloud พร้อมด้วยพันธมิตรในระบบนิเวศจะร่วมกันสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใน Stack เหล่านี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อพัฒนาและปรับใช้โซลูชัน Agentic AI ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมการใช้งานหลากหลายรูปแบบ กระบวนการทำงาน และเวิร์คโฟลว์ โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ต้นทุน และความปลอดภัยในทุกมิติ 

พันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาและการดำเนินงานของ Google Cloud ที่ร่วมสนับสนุนโครงการ PanyaThAI ประกอบด้วย Accenture, Deloitte, Digithun Worldwide, HoriXonT8, MFEC, NTT DATA, Skooldio และ Tridorian ทั้งนี้ NTT DATA ยังได้ประกาศแผนเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Google Cloud ในประเทศไทยอีก 300 คน ครอบคลุมทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์, และการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย เพื่อยกระดับความพร้อมในการสนับสนุนโครงการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

โครงการ PanyaThAI มุ่งสนับสนุนให้องค์กรสมาชิกนำแนวทางการทรานส์ฟอร์มที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Google Cloud ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางดังกล่าวได้แก่ 

  • การร่วมกันพัฒนา AI Roadmap ที่ออกแบบเฉพาะและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยผสานเข้ากับกลยุทธ์หลักขององค์กรเพื่อให้การดำเนินงานด้าน AI สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ พร้อมระบุพื้นที่หรือกระบวนการสำคัญที่ Agentic AI สามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจน
  • ให้ความสำคัญกับการคัดเลือก Use Case ด้าน AI ที่เหมาะสมที่สุด โดยประเมินศักยภาพในการสร้างคุณค่าเทียบกับความเป็นไปได้และความพร้อมในการนำไปสู่การปฏิบัติจริง
  • พัฒนาโซลูชัน AI แบบเปิดและรองรับการทำงานร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่นสำหรับแต่ละ Use Case เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ พร้อมต่อยอดและรองรับการใช้งานในอนาคตได้อย่างมั่นคง
  • สร้างระบบกำกับดูแลศูนย์กลางสำหรับโครงการ AI ซึ่งครอบคลุมทั้งการนำหลักการ Responsible AI และกรอบความปลอดภัย Secure AI Framework (SAIF) มาปรับใช้จริง พร้อม Grounding โซลูชัน AI กับแหล่งข้อมูลหลักขององค์กร หรือที่เรียกว่า “Enterprise Truth” เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และสอดคล้องอย่างต่อเนื่อง
  • กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อใช้ติดตาม ประเมิน และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของโซลูชัน AI ตลอดวงจรชีวิต
  • ยกระดับทักษะบุคลากรตั้งแต่นักพัฒนาไปจนถึงผู้บริหาร ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้และฝึกอบรมแบบครบวงจรที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง อาทิ Google Skills และ ChaiyoGCP 

ภายในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ PanyaThAI องค์กรสมาชิกหลายแห่งได้สาธิตโซลูชัน AI ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นผ่านตัวโครงการ 

SE-Education: ก้าวสู่บทใหม่ของการค้นหาคอนเทนต์ด้านการศึกษาด้วยบรรณารักษ์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซีเอ็ด (SE-ED) มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ของคนไทย ภายใต้ภารกิจหลักในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการ “ทำให้คนไทยเก่งขึ้น” ในฐานะผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายคอนเทนต์ด้านการศึกษาชั้นนำของประเทศ ซีเอ็ดเชื่อมโยงชุมชนเข้ากับความรู้ผ่านเครือข่ายร้านหนังสือ SE-ED Book Center และร้านหนังสือภายในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งการมีตัวตนอย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้เนื้อหากว่า 150,000 รายการเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย 

เพื่อสนับสนุนภารกิจดังกล่าว ซีเอ็ดได้ร่วมมือกับ Digithun Worldwide นำ Semantic Search Agent ระบบค้นหาอัจฉริยะที่เข้าใจความหมายของข้อความและขับเคลื่อนด้วย Generative AI มาเสริมในแพลตฟอร์ม SE-ED e-Marketplace ระบบนี้สร้างบน AI Stack ของ Google Cloud เพื่อช่วยยกระดับฟังก์ชันการค้นหาที่จากเดิมเป็นเพียงเครื่องมือค้นหาตามคีย์เวิร์ด ให้กลายเป็นบรรณารักษ์ และผู้คัดสรรเนื้อหาอัจฉริยะ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ค้นหาคำว่า “เซลล์แบ่งตัวอย่างไรเพื่อสร้างเซลล์ใหม่” ระบบจะแสดงผลเป็นตำราเรียนชีววิทยา คู่มือการเรียนเฉพาะทาง และการ์ตูนวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ หรือหากค้นหาประโยคว่า “วิธีจัดการความกดดันในการทำงาน” ระบบจะนำเสนอรายการหนังสือที่คัดสรรเกี่ยวกับการจัดการความคิดเชิงลบ การสร้างสมดุลชีวิตการทำงาน และกลยุทธ์การพัฒนาตนเองในที่ทำงาน

นายนิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล กรรมการผู้จัดการ Digithun Worldwide กล่าวว่า “เราได้ร่วมมือกับซีเอ็ดในการยกระดับแพลตฟอร์ม จากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบดั้งเดิมให้กลายเป็น e-Marketplace แบบครบวงจร ผ่านการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัยบน Google Cloud ซึ่งเป็นการยกเครื่องโครงสร้างระบบดิจิทัลครั้งใหญ่ เพื่อสร้างพื้นฐานประสิทธิภาพสูง ที่สามารถรองรับการทำงานของระบบ AI ที่ซับซ้อนในอนาคตได้ เมื่อมีพื้นฐานนี้รองรับแล้ว เราได้ออกแบบ AI Search Agent ของซีเอ็ด ให้สามารถเข้าใจแนวคิด มากกว่าแค่เพียงจับคู่คีย์เวิร์ดเท่านั้น โดยเริ่มจากการใช้ โมเดล Gemini Embeddings ของ Google เพื่อคัดเลือกสินค้าที่มีความสอดคล้องกับแนวคิดและบริบทของคำค้นหาของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ค้นหาวลีว่า ‘ฮีโร่ที่ทำลายแหวนแห่งอำนาจในภูเขาไฟ’ ระบบก็สามารถแนะนำหนังสือนิยาย The Lord of the Rings ได้ แม้ว่าคำค้นหาจะไม่ได้ปรากฎอยู่ในคำบรรยายสินค้าก็ตาม กระบวนการนี้อ้างอิงจากฐานข้อมูลแค็ตตาล็อกของซีเอ็ด เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะไม่แนะนำสินค้าที่ ‘ไม่มีอยู่จริง’ จากนั้น ผลลัพธ์ที่ผ่านการคัดเลือกจะถูกส่งต่อไปยังโมเดล Gemini 2.5 Flash ซึ่งใช้กระบวนการวิเคราะห์และให้เหตุผลเชิงลึกในการจัดอันดับและเรียงลำดับสินค้าที่จะแสดง ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ” 

นายรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ SE-Education กล่าวว่า “เราได้สร้างระบบนิเวศแบบออมนิชาแนลเพื่อส่งเสริมการแสวงหาความรู้และปลูกฝังวัฒนธรรมรักการอ่านให้กับประชาชนทั่วประเทศ ในฐานะผู้นำตลาด ซีเอ็ด มุ่งมั่นเป็นผู้บุกเบิกยุคใหม่ โดยมี AI Agent อัจฉริยะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยด้านการอ่านส่วนบุคคลขั้นสูงสำหรับคนไทยทุกคน จากความสำเร็จในช่วงแรกนี้ เรามีความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดการผนวกความสามารถด้าน AI ที่มีประโยชน์และคุณค่ามากขึ้นเข้ากับแพลตฟอร์ม รวมถึงแอปพลิเคชันบนมือถืออย่าง SE-ED Reader และ e-Library by SE-ED เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ให้ตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น” 

นางภาสพรรณี มหายศ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจดิจิทัล SE-Education กล่าวว่า “ผ่านการใช้ส่วนประกอบพื้นฐาน AI อันทรงพลังเช่นเดียวกับที่อยู่เบื้องหลัง Google Search ระบบ AI Search Agent ของเราช่วยให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม e-Marketplace ค้นหาและพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ประสบการณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าการค้นหาและพบข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพนั้นส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ ทำให้อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) เพิ่มจาก 12% เป็น 27% ขณะเดียวกัน อัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที (Bounce Rate) ลดเหลือ 10% และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าอยู่ที่เพียง 6%” 

ไทยวาโก้: ชูโมเดล Generative Media ‘โซลูชันที่ตอบโจทย์ช่วยเร่งการเปิดตัวสินค้าแฟชั่นออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

ไทยวาโก้ (Thai Wacoal) หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย เป็นที่รู้จักจากดีไซน์ที่ทันสมัย ความสบายระดับพรีเมียม และกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งชุดชั้นในอย่าง Wacoal ชุดออกกำลังกาย CW-X รวมถึงเสื้อผ้าเด็ก ENFANT ทั้งนี้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นายประณต เวสารัชวิทย์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ไทยวาโก้ ประกาศว่าบริษัทได้ผนวก Creative AI Agent เข้าไปในห่วงโซ่คุณค่าแบบบูรณาการ ซึ่งโซลูชันนี้พัฒนาโดย Tridorian และขับเคลื่อนด้วย โมเดล Generative Media บน Vertex AI ของ Google เพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานหลักและช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ 

Creative Agent ดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์และแก้ไข “Photoshoot Predicament” ปัญหาเรื้อรังของอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ใช้ทั้งงบประมาณและเวลาอย่างสิ้นเปลืองในกระบวนการถ่ายภาพสินค้า เนื่องจากทุกครั้งที่มีการเปิดตัวสินค้าในเฉดสีใหม่ แบรนด์จำเป็นต้องผลิตตัวอย่างสินค้าจริง จัดส่งไปยังสตูดิโอ และถ่ายภาพกับนางแบบใหม่อีกครั้ง เพราะนักช้อปออนไลน์ส่วนใหญ่ย่อมไม่เลือกซื้อสินค้าที่มองไม่เห็นภาพจริง ด้วยบทบาทเสมือน “โรงย้อมผ้าดิจิทัล” และ “สตูดิโอออกแบบเสมือนจริง” Creative Agent ใช้ศักยภาพของโมเดล Nano Banana ในการปรับแต่งภาพเฉพาะจุดโดยยังคงความสม่ำเสมอของวัตถุ ขณะเดียวกันยังใช้โมเดล Veo 3.1 เพื่อยกระดับคุณภาพภาพและเสียงให้มีความสมจริงสูงสุด เมื่อแปลงภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอ ด้วยความสามารถดังกล่าว ทีมบริหารผลิตภัณฑ์ของไทยวาโก้สามารถสร้างภาพสินค้าที่สมจริงและวิดีโอแบบ 360 องศา สำหรับผลิตภัณฑ์ทุกเฉดสีได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยเพียงการถ่ายภาพสินค้าจริงเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น 

นายแอนติก้า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ Tridorian กล่าวว่า “โมเดล Generative Media ของ Google สามารถจำลองคุณสมบัติของเนื้อผ้าและรูปทรงสามมิติของร่างกายมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ พร้อมคงรายละเอียดด้านแสง เงา รอยพับ และพื้นผิวไว้ครบถ้วน แม้ในขณะที่ปรับเฉดสีภาพ อีกทั้ง เรายังเชื่อมผลลัพธ์ของโมเดลเข้ากับฐานข้อมูลเฉดสีและมาตรฐานการผลิตของไทยวาโก้โดยตรง ทำให้ระบบไม่ต้อง ‘คาดเดา’ สี แต่สามารถดึงมาตรฐานการผลิตที่ถูกต้องมาใช้ และสร้าง ‘Digital Twin’ ที่ตรวจสอบได้และตรงกับสินค้าจริง โซลูชันนี้ช่วยให้ไทยวาโก้สามารถเปิดตัวและสร้างรายได้จากคอลเลกชันเสื้อผ้าหลายสีบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเปลี่ยนกระบวนการสร้างสื่อภาพและคอนเทนต์ดิจิทัลคุณภาพสูง ให้กลายเป็นโอกาสสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 

ดร.สุปราณี อุ่ยยะเสถียร รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจดิจิทัล ไทยวาโก้ กล่าวถึงความร่วมมือกับ Tridorian และ Google Cloud ว่า “ความร่วมมือนี้เป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างจินตนาการของนักช้อปออนไลน์กับความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อของพวกเขา” เธอกล่าวต่อว่า “เมื่อ Creative Agent ของเราเริ่มให้บริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2026 โซลูชันนี้จะไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาด้านการถ่ายภาพสินค้าและเร่งเวลาเข้าสู่ตลาดเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ไทยวาโก้เปลี่ยนไปสู่รูปแบบการผลิตที่หลากหลาย ปริมาณน้อย หรือการสั่งผลิตแบบ made-to-order ที่สามารถเชื่อมโยงการผลิตเข้ากับความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง นอกจากนี้ ในภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอ บริษัทได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI อื่น ๆ มาใช้งานแล้ว โดยรวมถึงความสามารถด้าน Virtual Try-On ของ Google Cloud เพื่อปลดล็อกข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ใหม่ ๆ ผ่านความสมจริงเชิงดิจิทัลและการปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคลในระดับมวลชน”

 TIPH จับมือ HoriXonT8 เร่งเครื่อง AI เต็มรูปแบบ เปิดตัว TIP Smart Car Inspection และ TIP AI เสริมศักยภาพประกันภัยยุคใหม่ 

บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH กลุ่มธุรกิจประกันภัยและการเงินชั้นนำในภูมิภาค จับมือกับบริษัท ฮอไรซอน ที 8 จำกัด (HoriXonT8) บริษัทในเครือ TIPH ที่ร่วมทุนกับบริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 ผู้นำด้าน AI-Powered Digital Transformation ประกาศความร่วมมือ ในการผลักดันอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ยุค AI Transformation ภายใต้แนวคิด “AI for Insurance Transformation” ผ่าน 2 โครงการสำคัญ ได้แก่

 (1) TIP Smart Car Inspection

ระบบตรวจสภาพรถด้วย AI โดยใช้เทคโนโลยี Gemini บน Google Cloud Platform ลูกค้าสามารถตรวจสภาพรถก่อนทำประกันภัยด้วยตนเองผ่าน LINE Official Account ระบบจะประมวลผลวิดีโอแบบ Real-time วิเคราะห์ความเสียหายอย่างแม่นยำ โปร่งใส และเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบออกกรมธรรม์ทันที ช่วยลดเวลาการเดินทางเพื่อตรวจสภาพ และลดต้นทุนให้ลูกค้าได้มากกว่า 70%

 (2) TIP AI ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในองค์กร

โซลูชัน Generative AI Chat Assistant ที่พัฒนาร่วมกับ Google Cloud เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Organization ทุกข้อมูลถูกประมวลผลบน Private Environment ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน Data Privacy & Compliance ทำให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับ TIPH เรามองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นหัวใจของการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม การร่วมมือกับ HoriXonT8 และ Google Cloud ช่วยให้เราพัฒนาโซลูชันที่ทั้งแม่นยำ โปร่งใส และตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัลอย่างแท้จริง” 

ด้าน นางนุสรา ฤทธิพรพสิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HoriXonT8 กล่าวว่า “โครงการ TIP Smart Car Inspection และ TIP AI เป็นตัวอย่างของ AI-Powered Digital Transformation ที่ใช้ได้จริงและวัดผลได้ เราผสานความเชี่ยวชาญของ HoriXonT8 เข้ากับเทคโนโลยีของ Google Cloud เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจประกันภัยไทยอย่างเป็นรูปธรรม” 

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทใหม่ของ AI ที่ก้าวข้ามจากระบบหลังบ้าน สู่การเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ ผ่านการผสานเทคโนโลยีของ Google กับความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของ TIPH เพื่อสร้าง New Capability และต่อยอดสู่การพัฒนา New S-Curve ของประกันภัยไทยในอนาคต 

TIPH และ HoriXonT8 ยังเตรียมต่อยอดสู่โครงการ AI Claim Inspection และ AI Risk Assessment เพื่อสร้าง Insurance Ecosystem ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างแท้จริงและยั่งยืน

 

การก้าวขึ้นมามีบทบาทของระบบ AI เอเจนต์อัจฉริยะ (Agentic AI) ซึ่งทำงานได้ด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์นั้นไม่เพียงเป็นอีกหนึ่งก้าวของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยในระดับพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในการยกระดับประสิทธิภาพและการสร้างนวัตกรรม โดยองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต่างกำลังใช้ AI Agent เพื่อปลดล็อกศักยภาพของตลาดแรงงานดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงถึง 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

 จากผลการวิจัยของ Salesforce ในปีที่ผ่านมา ซึ่งศึกษาทัศนคติของผู้บริหารระดับสูงในองค์กรขนาดใหญ่ของไทยเกี่ยวกับ Generative AI พบว่าผู้บริหารไทย 100% ได้แสดงความมั่นใจในการมอบหมายให้ AI ทำงานอย่างน้อยหนึ่งงานได้โดยไม่ต้องคอยควบคุมกำกับ ความท้าทายในขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของความเชื่อมั่นอีกต่อไป หากแต่เป็นการลงมือปฏิบัติจริง เพราะหากองค์กรไทยไม่เร่งปรับตัวและนำ Agentic AI มาใช้อย่างจริงจัง ก็อาจตกเป็นเป้าถูกแทนที่โดยคู่แข่งหรือสตาร์ทอัพที่ปรับตัวได้เร็วกว่า

ผู้นำองค์กรจำเป็นต้องตอบสนองแบบเชิงรุกต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์ ท่ามกลางยุคของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจขององค์กรไทยควรให้ความสำคัญกับ การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskilling) ในวงกว้าง และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่มีความน่าเชื่อถือ (Trustworthy AI)

การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ สำหรับยุค Agentic AI แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ของรัฐบาลไทยที่ตั้งเป้าให้ความรู้ด้านจริยธรรม AI แก่ประชาชน 600,000 คน และพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวน 30,000 คน ภายในปี 2027 ถือเป็นทิศทางที่น่ายินดีและมีความสำคัญ อย่างไรก็ดี ความต้องการทักษะในการทำงานร่วมกับ AI Agent มีอยู่ในทุกบทบาทและทุกภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีพนักงานเพียง 15% เท่านั้นที่เชื่อว่าตนมีการศึกษาและทักษะที่เพียงพอในการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่นั้นกลายเป็นวาระเร่งด่วนของผู้นำทุกองค์กรในประเทศไทย

รายงานผลสำรวจด้าน State of IT ฉบับล่าสุดของ Salesforce ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้นำนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก พบว่า 87% ของนักพัฒนาชาวไทยมองว่า ความรู้ด้าน AI จะกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในอนาคต อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งหนึ่งหรือ 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยทั้งหมดกลับระบุว่าทักษะที่ตนเองมีอยู่ในปัจจุบันนั้นยังไม่เพียงพอต่อการทำงานในยุคของ Agentic AI

นอกจากการยกระดับทักษะเชิงเทคนิคแล้ว การพัฒนาทักษะเชิงมนุษย์สัมพันธ์และทักษะทางธุรกิจ เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่พร้อมเปิดรับการทดลองใช้ AI อย่างมีความเชื่อมั่นก็มีความสำคัญมาก พนักงานควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ AI ซึ่งรวมถึงพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับ Agentic AI และการเขียนคำสั่งพรอมต์ (Prompt Engineering) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการสื่อสารกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น หากเราพิจารณาถึงบทบาทของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่า AI Agent นั้นสามารถช่วยเขียนโค้ดที่ต้องทำซ้ำ ๆ เป็นประจำได้ นักพัฒนาจึงสามารถใช้เวลากับงานออกแบบระบบ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในภาพรวมได้มากขึ้น

ปัจจุบัน Salesforce ได้เปิดหลักสูตรใหม่บนแพลตฟอร์ม Trailhead เพื่อสนับสนุนองค์กรในการฝึกอบรมนักพัฒนาให้เรียนรู้ทักษะใหม่ ซึ่งได้รับผลตอบรับในช่วงแรกที่เปิดให้ใช้งานเป็นอย่างดี การพิจารณาถึงทักษะที่จำเป็นถือเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หากต้องการประสบความสำเร็จในยุค Agentic AI ผู้นำองค์กรไทยจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวที่ผสานการพัฒนาทักษะเหล่านี้ไว้ในแผนบริหารทรัพยากรบุคคล และมอบหมายให้ผู้จัดการแต่ละฝ่ายมีบทบาทในการสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่พนักงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บุคลากรสามารถปรับตัวและเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

การนำ AI ที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้ในทุกภาคส่วนขององค์กร

เมื่อความสามารถของ AI Agent พัฒนาขึ้น ความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน องค์กรต้องมั่นใจว่าระบบ AI มีความยุติธรรม และไม่ก่อให้เกิดอคติหรือการแบ่งแยกทางสังคม เพราะหากไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม คุณสมบัติที่ทำให้ AI มีความสามารถอันทรงพลังนั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำลายความเชื่อมั่นได้เช่นกัน หากต้องการใช้ Agentic AI อย่างเต็มศักยภาพ องค์กรไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย ตั้งแต่การเริ่มต้นพัฒนาไปจนถึงการนำไปใช้งานในระบบจริง ซึ่งหมายถึงการวางมาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามแนวทางด้านจริยธรรม AI เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีความสำคัญและใช้งานข้อมูลเหล่านั้นอย่างมีความรับผิดชอบ

องค์กรไทยจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าการใช้งาน AI และ Agent เป็นไปตามกฎระเบียบของประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา นอกจากการทำตามแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แล้ว สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ยังได้นำร่างพระราชบัญญัติปัญญาประดิษฐ์เข้ารับการพิจารณาและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมีการเสนอกรอบกำกับดูแลตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Framework) พร้อมข้อยกเว้นบางประการในการใช้ข้อมูลออนไลน์ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก การเลือกใช้แพลตฟอร์มและเครื่องมือที่รองรับกับกฎระเบียบต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างความเชื่อมั่นและรักษาความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

Salesforce มุ่งมั่นในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยสำนักงานการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและคำนึงถึงมนุษยธรรม (Office of Ethical & Humane Use) นั้นเป็นผู้นำในการดำเนินงานและการใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งประกอบด้วยทีมที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในระดับรุนแรง (Red Teaming) และการทดสอบการเผชิญหน้าในหลายรูปแบบ รวมถึงการทดสอบความน่าเชื่อถือ (Trust Testing) ซึ่งเป็นกระบวนการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพิ่มเติมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ Agentic AI ของ Salesforce สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลกที่มีความหลากหลายได้ดียิ่งขึ้น องค์กรยังสามารถกำหนดขอบเขตการทำงานของ AI Agent โดยใช้หัวข้อและคำสั่งในรูปแบบภาษาธรรมชาติ เพื่อระบุสถานการณ์ที่ควรให้ AI ยกระดับในการตอบสนอง หรือส่งต่องานให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นมนุษย์เข้ามาจัดการได้ นอกจากนี้องค์กรยังควรมีการจัดการเชิงรุกเพื่อขจัดความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและอคติที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานของ AI ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวด และการสื่อสารที่มีความโปร่งใส

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้เครื่องมือที่ส่งเสริมการทำงานอย่างมีความโปร่งใสและสนับสนุนให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจในการมอบหมายงานให้ AI ทำได้อย่างรอบคอบ พนักงานควรมีความเข้าใจที่ชัดเจน ถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของ AI Agent ที่ตนเองกำลังทำงานร่วมด้วย และสามารถควบคุมการทำงานอัตโนมัติต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของ Agentforce คือความสามารถในการดำเนินการแบบอัตโนมัติภายใต้ขอบเขตที่มนุษย์กำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้ AI Agent สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้ด้วยตนเองภายในขอบเขตที่สอดคล้องกับเป้าหมายและนโยบายขององค์กร นอกจากนี้ Einstein Trust Layer ยังช่วยให้ Agentforce สามารถใช้งานโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ได้อย่างปลอดภัย โดยองค์กรมั่นใจได้ว่าข้อมูลในระบบของ Salesforce จะไม่ถูกเปิดเผยหรือจัดเก็บโดยผู้ให้บริการโมเดลภายนอก

พลังแห่งการเรียนรู้ทักษะใหม่ และการสร้างความเชื่อมั่น ที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมให้องค์กรในไทย

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ ๆ ให้องค์กรในประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องการเตรียมความพร้อมให้พนักงานสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ข้อมูลที่มีคุณภาพ และทักษะที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากมีการลงทุนอย่างจริงจังในด้านการเรียนรู้ทักษะใหม่และโปรแกรมการฝึกอบรมที่ครอบคลุม องค์กรจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้พนักงานทำงานร่วมกับ AI Agent ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลง และในที่สุดสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมในยุคของแรงงานดิจิทัลได้

องค์กรไทยสามารถใช้การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาในมิติใหม่ โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และความโปร่งใส จะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต

ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนทั้งใน AI Agent และพนักงานที่เป็นมนุษย์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจ จะช่วยให้องค์กรในไทยสามารถขยายขีดความสามารถในการดำเนินงาน และปลดล็อกศักยภาพขององค์กรได้อย่างเต็มที่ในยุคของ Agentic AI

ซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) หนึ่งในผู้นำด้านระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI  ล่าสุดจัดงาน Agentforce World Tour in Bangkok ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อนำเสนอ Agentforce ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพนักงานดิจิทัลที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำพนักงาน AI อัจฉริยะที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถทำงานได้ด้วยตนเอง (Autonomous AI Agent) มาใช้ในกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยในงานครั้งนี้มีลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของ Salesforce ลงทะเบียนเข้าร่วมงานมากกว่า 500 ราย พร้อมด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายทั้งการบรรยายนำเสนอแนวคิดต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และโซนจัดแสดงนวัตกรรมล่าสุดของ Salesforce หรือที่เรียกว่า Campground ซึ่งมีการสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งกิจกรรมเวิร์กช็อปที่เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ทดลองสร้าง AI Agent ด้วยตนเอง และการให้ความรู้เฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและประสบสำเร็จในยุคของ Agentic AI

ก้าวสู่พรมแดนใหม่ในการพัฒนาองค์กรด้วย Agentforce

ปัจจุบันการเติบโตของเทคโนโลยีพนักงานในรูปแบบดิจิทัล (Digital Labor) ได้ทำให้ Agentforce กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปิดโอกาสให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนนวัตกรรม และสร้างการเติบโตในรูปแบบใหม่ ๆ ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent ที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถทำงานได้ด้วยตนเอง ด้วยการผสานรวมของ Agentforce เข้ากับแอปพลิเคชัน Customer 360 และ Data Cloud ของ Salesforce ซึ่งทำให้องค์กรสามารถสร้างทีมงานที่มีศักยภาพแบบไร้ขีดจำกัด และได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับทุกบทบาทในการทำงานและกระบวนการดำเนินงานขององค์กร

 

ธิติรัตน์ ทองถาวร ผู้จัดการประจำ Salesforce ประเทศไทย กล่าวว่า "องค์กรในประเทศไทยสามารถยกระดับการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการพัฒนาและใช้งาน AI Agent ที่สามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจ ลงมือทำงาน และสร้างผลลัพธ์ที่มีความสำคัญให้กับองค์กร" และเสริมว่า "Agentforce เป็นแพลตฟอร์มพนักงานดิจิทัลแบบครบวงจร ที่ช่วยให้ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเราสามารถใช้เทคโนโลยี Agentic AI เพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมที่สำคัญต่าง ๆ ของประเทศไทย เช่น การค้าปลีก การผลิต และการบริการทางการเงิน"

ผู้นำนวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศไทย

การที่ภาครัฐได้มุ่งส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคนั้น ได้ส่งผลให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต่างเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุงองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11% ภายในปี 2570 ภายใต้การพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้นเหล่านี้ Salesforce ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่น่าเชื่อถือให้กับองค์กรชั้นนำซึ่งเป็นผู้นำในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย พร้อมช่วยองค์กรผสานรวมข้อมูลจากระบบ CRM และทุกช่องทางที่ติดต่อสัมพันธ์กับลูกค้าเข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่สะดวก ราบรื่น และมีความโดดเด่นแตกต่างให้กับองค์กรลูกค้าในประเทศไทย เช่น บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) (Dohome) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และ บริษัท แปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ จำกัด (มหาชน) (Pacific Cross Health Insurance) บริษัทประกันสุขภาพชั้นนำของไทย ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองและแนวทางในการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลผ่านโซลูชันของ Salesforce ภายในงานนี้

Dohome ได้ยกระดับการให้บริการให้มีความเฉพาะบุคคลและตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจด้วยโซลูชันของ Salesforce โดย Sales Cloud ช่วยให้ทีมขายของ Dohome มีมุมมองข้อมูลลูกค้าที่ครบถ้วนรอบด้าน ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและสนับสนุนให้บริษัทปิดการขายได้รวดเร็วขึ้นด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ Service Cloud ยังช่วยให้เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อคำร้องขอรับบริการได้เร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้ระดับความพึงพอใจของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ Marketing Cloud ได้ช่วยปรับปรุงขั้นตอนสำคัญในกระบวนการด้านการตลาด เช่น การดูแลลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า (Lead Nurturing) ทำให้บริษัทสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง มีประสิทธิภาพและยาวนานมากยิ่งขึ้น

 

มารวย ตั้งมิตรประชา รองกรรมการผู้จัดการสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และการตลาดออนไลน์ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ในฐานะธุรกิจที่ให้บริการทั้งกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจในประเทศไทย และกับผู้บริโภคโดยตรง เราจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมมากที่สุดให้กับลูกค้า" และเสริมว่า "Salesforce เป็นพันธมิตรที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราสามารถตอบสนองความต้องการให้กับฐานลูกค้าของเรา ที่มีขนาดใหญ่และมีความต้องการที่หลากหลาย พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เชื่อมโยงถึงกันได้ในทุกช่องทางการเลือกซื้อสินค้าและการสื่อสาร"

ขณะที่ Pacific Cross Health Insurance ได้นำระบบ Financial Services Cloud ของ Salesforce มาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการพิจารณาและออกกรมธรรม์ประกันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมศักยภาพให้ทีมพนักงานขายทำงานกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งมีแนวโน้มซื้อประกันได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตทางรายได้ให้กับองค์กร โดยในระยะถัดไปของกระบวนการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยระบบดิจิทัล บริษัทฯ มีแผนที่จะนำโซลูชันเทคโนโลยี AI ของ Salesforce มาใช้งาน เพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้า การบริหารกรมธรรม์ และระบบจัดการเคลมประกันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป

ยสวันต์รังษิกร ศักยดิ์สิงหนาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจของเรา สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการมอบความพึงพอใจสูงสุดและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น" พร้อมเสริมว่า "เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ Salesforce เพื่อการขยายธุรกิจของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านระบบแบบอัตโนมัติในการพิจารณาและออกกรมธรรม์ การขาย และการสมัครประกัน นอกจากนี้แล้วเรายังยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะขยายความร่วมมือเพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านอื่น ๆ ในธุรกิจของเราต่อไปในอนาคต

X

Right Click

No right click