

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “คุณภาพชีวิต” มากกว่าปริมาณการใช้จ่ายเพื่อความสุขใจ (Emotional Spending) กลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่น่าจับตามองในปี 2568 โดยเฉพาะใน 3 หมวดฮีลใจ ได้แก่ หนังสือ สัตว์เลี้ยง และกีฬา-เวลเนส ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของคนไทยในการดูแลจิตใจ สร้างพื้นที่ส่วนตัว และลงทุนกับสุขภาวะอย่างยั่งยืน สถิติชี้ชัด “Book-Lover” อ่านเฉลี่ยเกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน “Pet Parent” พร้อมจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงเหมือนสมาชิกครอบครัว และ “Sports Wellness” กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ สะท้อนวิถีชีวิตที่ไม่ได้มุ่งเพียงสิ่งจำเป็น แต่คือการมองหาความสุขเล็กๆ ที่เติมเต็มใจได้ทุกวัน
หนังสือ: อ่านเพื่อเติมใจ พื้นที่สงบในโลกที่วุ่นวาย
แม้โลกดิจิทัลจะเต็มไปด้วยคอนเทนต์สั้นและรวดเร็ว เช่น TikTok หรือ Reels เข้ามามีบทบาท แต่การอ่านยังคงเป็นกิจกรรมที่คนไทยเลือกใช้เพื่อเยียวยาใจ เป็น “พื้นที่สงบใจ” ของคนยุคใหม่ ข้อมูลจากสมาคม ผู้จัดพิมพ์ฯ ปี 2567 ชี้ว่าคนไทยอ่านเฉลี่ย 113 นาทีต่อวัน สวนกระแสความเชื่อว่า “ไม่อ่านหนังสือ” ด้วยสาเหตุหลักคือ ช่องทางการเข้าถึงที่ง่ายและหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น E-book Audiobook และกระแส “BookTok” ที่ทำให้หนังสือหลายเล่มกลับมาติดอันดับขายดี โดยเฉพาะแนวจิตวิทยา Self-Help และ Spirituality ที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพจิตในชีวิตประจำวัน
สัตว์เลี้ยง: เปย์เพื่อสมาชิกตัวน้อย สะท้อนโครงสร้างครอบครัวใหม่
ด้วยโครงสร้างครอบครัวไทยเปลี่ยนไป ครัวเรือนเดี่ยวและคนโสดมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้ “สัตว์เลี้ยง” ก้าวขึ้นมาเป็นเพื่อนแท้ และสมาชิกครอบครัวที่เจ้าของพร้อมดูแลไม่ต่างจากคนในบ้าน ข้อมูลล่าสุดชี้ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2568 มีมูลค่ารวมราว 9 หมื่นล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องกว่า 10–13% ต่อปี โดยเจ้าของใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 50,000 บาท/ตัว/ปี ครอบคลุมตั้งแต่อาหาร ของเล่น บริการสุขภาพ และประกันสัตว์เลี้ยง กระแส “Pet Humanization” เจ้าของเลี้ยงสัตว์เสมือนลูก จึงเลือกอาหารพรีเมียม ของเล่นเสริมพัฒนาการ และบริการสุขภาพเฉพาะทาง “Petfluencer” สัตว์เลี้ยงจำนวนมากกลายเป็นดาราโซเชียล สร้างคอนเทนต์และมียอดผู้ติดตามหลักหมื่น–แสน เป็นส่วนผลักดันให้ตลาดสินค้าและบริการสัตว์เลี้ยงให้ก้าวสู่โลกดิจิทัล “บริการครบวงจร” ตั้งแต่ Pet hotel, Pet spa ไปจนถึงประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยง เจ้าของยินดีลงทุนเพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงได้รับการดูแลระดับเดียวกับคน ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่คือการลงทุนทางใจที่ตอบโจทย์ชีวิตคนยุคใหม่ที่เลือกอยู่เดี่ยว อยู่คู่ หรือสร้างครอบครัวเล็กที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง
![]()
กีฬาและเวลเนส (Wellness): ลงทุนกับสุขภาพกายใจ สร้างพลังชีวิตใหม่
การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์หลังโควิดทำให้คนไทยตระหนักว่าสุขภาพกายใจคือทุนชีวิตที่สำคัญ ตลาดเวลเนสและฟิตเนสในไทยได้รับแรงหนุนจาก 2 ปัจจัยใหญ่คือ “การเข้าถึงง่ายขึ้น” ฟิตเนสแบบรายเดือน คลาสออนไลน์ และ Wellness Retreat ที่เปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้าร่วม “Mental Health Awareness” คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับสมาธิ การพักผ่อนเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) โยคะ เวิร์กช็อป Mindfulness โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่การออกกำลังกายไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่าง แต่คือการเติมพลังใจ รวมไปถึง Run Club และ Community การวิ่งมาราธอน การปั่นจักรยาน หรือการเข้าร่วมคลับฟิตเนสเล็กๆ กลุ่มเหล่านี้เติบโตต่อเนื่องไม่เพียงสร้างพื้นที่ให้คนออกกำลังกายร่วมกัน แต่ยังช่วยเสริมพลังของแบรนด์ต่างๆ การสร้างกลุ่มที่เหนียวแน่น สะท้อนให้เห็นว่าการดูแลสุขภาพวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเดี่ยว แต่เป็นประสบการณ์ร่วมที่สร้างทั้งคุณค่าและมูลค่าในสังคม
การขยายตัวของ “Emotional Spending” ในประเทศไทย ปี 2568 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือ ที่กลายเป็นพื้นที่พักใจและการพัฒนาตนเอง การดูแลสัตว์เลี้ยง ที่สะท้อนบทบาทของครอบครัวเดี่ยวและการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในบ้าน หรือ การออกกำลังกายและเวลเนส ที่ตอบโจทย์การลงทุนด้านสุขภาวะกายใจ ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นตลาดที่มีสัดส่วนไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับหมวดสินค้าจำเป็น แต่กลับมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องและมีคุณค่าเชิงสังคมที่ชัดเจน
เคทีซีร่วมขับเคลื่อนการตอบสนองต่อเทรนด์ดังกล่าว ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้ง Book, Pet และ Sports & Wellness ผ่านพันธมิตรหลากหลาย อาทิ ร้านหนังสือชื่อดัง ร้านค้า โรงพยาบาลสัตว์ และบริการสัตว์เลี้ยง ไปจนถึง Community “KTC Sports ตัวจริงเรื่องกีฬา” และ กิจกรรม Burn & Earn Challenge ที่ต่อยอดการออกกำลังกายของสมาชิกเข้าสู่ปีที่ 5 รวมถึงโปรโมชั่นไลฟ์สไตล์สายสุขภาพโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส เวลเนสคลับ หรือร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ตอกย้ำบทบาทของเคทีซีในการเป็นมากกว่าบัตรเครดิต แต่คือการเชื่อมโยงกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และสนับสนุนการใช้จ่ายที่มีทั้งคุณค่าและความยั่งยืน
Cr: บทความจาก KTC
c
การก้าวขึ้นมามีบทบาทของระบบ AI เอเจนต์อัจฉริยะ (Agentic AI) ซึ่งทำงานได้ด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์นั้นไม่เพียงเป็นอีกหนึ่งก้าวของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยในระดับพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในการยกระดับประสิทธิภาพและการสร้างนวัตกรรม โดยองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต่างกำลังใช้ AI Agent เพื่อปลดล็อกศักยภาพของตลาดแรงงานดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงถึง 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
จากผลการวิจัยของ Salesforce ในปีที่ผ่านมา ซึ่งศึกษาทัศนคติของผู้บริหารระดับสูงในองค์กรขนาดใหญ่ของไทยเกี่ยวกับ Generative AI พบว่าผู้บริหารไทย 100% ได้แสดงความมั่นใจในการมอบหมายให้ AI ทำงานอย่างน้อยหนึ่งงานได้โดยไม่ต้องคอยควบคุมกำกับ ความท้าทายในขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของความเชื่อมั่นอีกต่อไป หากแต่เป็นการลงมือปฏิบัติจริง เพราะหากองค์กรไทยไม่เร่งปรับตัวและนำ Agentic AI มาใช้อย่างจริงจัง ก็อาจตกเป็นเป้าถูกแทนที่โดยคู่แข่งหรือสตาร์ทอัพที่ปรับตัวได้เร็วกว่า
ผู้นำองค์กรจำเป็นต้องตอบสนองแบบเชิงรุกต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์ ท่ามกลางยุคของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจขององค์กรไทยควรให้ความสำคัญกับ การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskilling) ในวงกว้าง และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่มีความน่าเชื่อถือ (Trustworthy AI)
การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ สำหรับยุค Agentic AI แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ของรัฐบาลไทยที่ตั้งเป้าให้ความรู้ด้านจริยธรรม AI แก่ประชาชน 600,000 คน และพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวน 30,000 คน ภายในปี 2027 ถือเป็นทิศทางที่น่ายินดีและมีความสำคัญ อย่างไรก็ดี ความต้องการทักษะในการทำงานร่วมกับ AI Agent มีอยู่ในทุกบทบาทและทุกภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีพนักงานเพียง 15% เท่านั้นที่เชื่อว่าตนมีการศึกษาและทักษะที่เพียงพอในการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่นั้นกลายเป็นวาระเร่งด่วนของผู้นำทุกองค์กรในประเทศไทย
รายงานผลสำรวจด้าน State of IT ฉบับล่าสุดของ Salesforce ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้นำนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก พบว่า 87% ของนักพัฒนาชาวไทยมองว่า ความรู้ด้าน AI จะกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในอนาคต อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งหนึ่งหรือ 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยทั้งหมดกลับระบุว่าทักษะที่ตนเองมีอยู่ในปัจจุบันนั้นยังไม่เพียงพอต่อการทำงานในยุคของ Agentic AI
นอกจากการยกระดับทักษะเชิงเทคนิคแล้ว การพัฒนาทักษะเชิงมนุษย์สัมพันธ์และทักษะทางธุรกิจ เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่พร้อมเปิดรับการทดลองใช้ AI อย่างมีความเชื่อมั่นก็มีความสำคัญมาก พนักงานควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ AI ซึ่งรวมถึงพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับ Agentic AI และการเขียนคำสั่งพรอมต์ (Prompt Engineering) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการสื่อสารกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น หากเราพิจารณาถึงบทบาทของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่า AI Agent นั้นสามารถช่วยเขียนโค้ดที่ต้องทำซ้ำ ๆ เป็นประจำได้ นักพัฒนาจึงสามารถใช้เวลากับงานออกแบบระบบ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในภาพรวมได้มากขึ้น
ปัจจุบัน Salesforce ได้เปิดหลักสูตรใหม่บนแพลตฟอร์ม Trailhead เพื่อสนับสนุนองค์กรในการฝึกอบรมนักพัฒนาให้เรียนรู้ทักษะใหม่ ซึ่งได้รับผลตอบรับในช่วงแรกที่เปิดให้ใช้งานเป็นอย่างดี การพิจารณาถึงทักษะที่จำเป็นถือเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หากต้องการประสบความสำเร็จในยุค Agentic AI ผู้นำองค์กรไทยจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวที่ผสานการพัฒนาทักษะเหล่านี้ไว้ในแผนบริหารทรัพยากรบุคคล และมอบหมายให้ผู้จัดการแต่ละฝ่ายมีบทบาทในการสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่พนักงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บุคลากรสามารถปรับตัวและเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
การนำ AI ที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้ในทุกภาคส่วนขององค์กร
เมื่อความสามารถของ AI Agent พัฒนาขึ้น ความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน องค์กรต้องมั่นใจว่าระบบ AI มีความยุติธรรม และไม่ก่อให้เกิดอคติหรือการแบ่งแยกทางสังคม เพราะหากไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม คุณสมบัติที่ทำให้ AI มีความสามารถอันทรงพลังนั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำลายความเชื่อมั่นได้เช่นกัน หากต้องการใช้ Agentic AI อย่างเต็มศักยภาพ องค์กรไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย ตั้งแต่การเริ่มต้นพัฒนาไปจนถึงการนำไปใช้งานในระบบจริง ซึ่งหมายถึงการวางมาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามแนวทางด้านจริยธรรม AI เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีความสำคัญและใช้งานข้อมูลเหล่านั้นอย่างมีความรับผิดชอบ
องค์กรไทยจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าการใช้งาน AI และ Agent เป็นไปตามกฎระเบียบของประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา นอกจากการทำตามแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แล้ว สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ยังได้นำร่างพระราชบัญญัติปัญญาประดิษฐ์เข้ารับการพิจารณาและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมีการเสนอกรอบกำกับดูแลตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Framework) พร้อมข้อยกเว้นบางประการในการใช้ข้อมูลออนไลน์ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก การเลือกใช้แพลตฟอร์มและเครื่องมือที่รองรับกับกฎระเบียบต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างความเชื่อมั่นและรักษาความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร
Salesforce มุ่งมั่นในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยสำนักงานการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและคำนึงถึงมนุษยธรรม (Office of Ethical & Humane Use) นั้นเป็นผู้นำในการดำเนินงานและการใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งประกอบด้วยทีมที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในระดับรุนแรง (Red Teaming) และการทดสอบการเผชิญหน้าในหลายรูปแบบ รวมถึงการทดสอบความน่าเชื่อถือ (Trust Testing) ซึ่งเป็นกระบวนการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพิ่มเติมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ Agentic AI ของ Salesforce สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลกที่มีความหลากหลายได้ดียิ่งขึ้น องค์กรยังสามารถกำหนดขอบเขตการทำงานของ AI Agent โดยใช้หัวข้อและคำสั่งในรูปแบบภาษาธรรมชาติ เพื่อระบุสถานการณ์ที่ควรให้ AI ยกระดับในการตอบสนอง หรือส่งต่องานให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นมนุษย์เข้ามาจัดการได้ นอกจากนี้องค์กรยังควรมีการจัดการเชิงรุกเพื่อขจัดความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและอคติที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานของ AI ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวด และการสื่อสารที่มีความโปร่งใส
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้เครื่องมือที่ส่งเสริมการทำงานอย่างมีความโปร่งใสและสนับสนุนให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจในการมอบหมายงานให้ AI ทำได้อย่างรอบคอบ พนักงานควรมีความเข้าใจที่ชัดเจน ถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของ AI Agent ที่ตนเองกำลังทำงานร่วมด้วย และสามารถควบคุมการทำงานอัตโนมัติต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของ Agentforce คือความสามารถในการดำเนินการแบบอัตโนมัติภายใต้ขอบเขตที่มนุษย์กำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้ AI Agent สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้ด้วยตนเองภายในขอบเขตที่สอดคล้องกับเป้าหมายและนโยบายขององค์กร นอกจากนี้ Einstein Trust Layer ยังช่วยให้ Agentforce สามารถใช้งานโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ได้อย่างปลอดภัย โดยองค์กรมั่นใจได้ว่าข้อมูลในระบบของ Salesforce จะไม่ถูกเปิดเผยหรือจัดเก็บโดยผู้ให้บริการโมเดลภายนอก
พลังแห่งการเรียนรู้ทักษะใหม่ และการสร้างความเชื่อมั่น ที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมให้องค์กรในไทย
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ ๆ ให้องค์กรในประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องการเตรียมความพร้อมให้พนักงานสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ข้อมูลที่มีคุณภาพ และทักษะที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากมีการลงทุนอย่างจริงจังในด้านการเรียนรู้ทักษะใหม่และโปรแกรมการฝึกอบรมที่ครอบคลุม องค์กรจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้พนักงานทำงานร่วมกับ AI Agent ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลง และในที่สุดสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมในยุคของแรงงานดิจิทัลได้
องค์กรไทยสามารถใช้การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาในมิติใหม่ โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และความโปร่งใส จะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต
ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนทั้งใน AI Agent และพนักงานที่เป็นมนุษย์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจ จะช่วยให้องค์กรในไทยสามารถขยายขีดความสามารถในการดำเนินงาน และปลดล็อกศักยภาพขององค์กรได้อย่างเต็มที่ในยุคของ Agentic AI
Dcash แพลตฟอร์มฟินเทคสัญชาติไทย เดินหน้าผลักดันนวัตกรรมด้านสินเชื่อเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเน้นการเชื่อมโยงผู้ต้องการกู้ยืมที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันเข้ากับนักลงทุนรายย่อยผ่านระบบดิจิทัลภายใต้รูปแบบการทำธุรกรรม “ขายฝาก” ที่สอดคล้องตามกฎหมายไทย
ความท้าทายด้านสินเชื่อในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตด้านเครดิตครั้งใหญ่ โดยผู้ขอกู้มากกว่า 80% ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบปกติได้ ขณะที่ปัญหา “หนี้นอกระบบ” กลายเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยมีผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบเรียกเก็บดอกเบี้ยสูงถึง 1% ต่อวัน หรือกว่า 300% ต่อปี ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในวงกว้างและซ้ำเติมครัวเรือนไทยที่มีภาระหนี้สินสะสมอยู่แล้วในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ณ เดือนกันยายน 2567 หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 89% ของ GDP
ขณะเดียวกัน ฝั่งนักลงทุนเองก็เผชิญกับทางเลือกที่จำกัดในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม ดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยต่ำเพียง 0.5% ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง Dcash จึงออกแบบกลไก 'Zero Risk' เพื่อเสริมความมั่นใจ โดยทุกการลงทุนได้รับการค้ำประกันด้วยที่ดินมูลค่า 120% ของวงเงินกู้ พร้อมระบบตรวจสอบกรรมสิทธิ์ก่อนการปล่อยเงิน ระบบจ่ายเงินอัตโนมัติ และเทคโนโลยีความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและอาจรวมถึง Blockchain เพื่อป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล ส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจของเงินลงทุนลดลงในระยะยาว นักลงทุนส่วนใหญ่ยังขาดช่องทางที่สามารถเข้าถึงดีลที่ตรงกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ อีกทั้งไม่มีแพลตฟอร์มใดที่เปิดให้สามารถเสนออัตราผลตอบแทนแข่งขันได้อย่างอิสระ
Dcash: โซลูชันใหม่เพื่อผู้กู้และผู้ลงทุน
คุณศรัณย์ วิชยาภัย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Dcash เปิดเผยว่า แพลตฟอร์มถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มผู้ถือครองที่ดินซึ่งมีศักยภาพแต่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุนอย่างเป็นธรรม พร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่มีหลักประกันแน่นหนาและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
“Dcash ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อแข่งขันกับใคร แต่เราออกแบบมาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีที่ดินแต่ขาดเงินทุนหมุนเวียน และนักลงทุนที่ต้องการทางเลือกการลงทุนที่มีความมั่นคงสูง” คุณศรัณย์ กล่าว
หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของ Dcash คือระบบ “ประมูลย้อนกลับ” (Reverse Auction) ซึ่งเปิดให้นักลงทุนหลายรายสามารถยื่นข้อเสนออัตราดอกเบี้ยแข่งกันในแต่ละดีล ผู้กู้จะเห็นทุกข้อเสนอแบบเรียลไทม์ และสามารถเลือกอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุดได้ด้วยตนเองภายในแพลตฟอร์ม ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่เปิดให้นักลงทุนแข่งขันกันเสนออัตราดอกเบี้ย เพื่อให้ผู้กู้สามารถเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุดได้อย่างโปร่งใสและยุติธรรม ระบบดังกล่าวจะเปิดใช้งานจริงในวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2568 ซึ่งนับเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ด้านการเข้าถึงเงินทุนที่ยุติธรรมและแข่งขันได้อย่างแท้จริง
แพลตฟอร์มยังมีระบบประเมินที่ดินด้วยเทคโนโลยี AI ที่อยู่ระหว่างการทดสอบใช้งาน โดยจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในพฤษภาคมนี้ เพื่อเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบและประเมินมูลค่าทรัพย์สินอย่างแม่นยำและเป็นกลาง
อีกหนึ่งจุดขายที่แตกต่างคือ Dcash เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่พัฒนาแอปพลิเคชันที่รวมบริการสำคัญทั้งหมดไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การลงทะเบียน ยื่นเอกสาร ตรวจสอบทรัพย์สิน ไปจนถึงการติดตามสถานะการชำระเงิน สร้างประสบการณ์ที่สะดวก ปลอดภัย และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา
Dcash ยังมีพันธมิตรบริษัทประเมินทรัพย์สินมากกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ และสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้สูงสุดกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็ว
Dcash ยังคงยึดมั่นในหลักความโปร่งใสและความปลอดภัย โดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง สัญญาทุกฉบับดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 702 พร้อมให้ผู้กู้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น การเกษตร เป็นต้น
ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า Dcash มีเป้าหมายในการขยายฐานผู้ใช้ทั้งฝั่งผู้กู้และนักลงทุนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อหลักทรัพย์ชั้นนำของไทย ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของเทคโนโลยีและแนวทางธุรกิจที่เน้นความสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเป็นธรรม
ทั้งนี้ Dcash ประเมินว่าตลาดสินเชื่อที่มีหลักประกันในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท โดยกว่า 80% ของความมั่งคั่งในประเทศอยู่ในรูปของที่ดิน ถือเป็นโอกาสสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาเสริมสร้างการเข้าถึงแหล่งทุนอย่างยั่งยืน
“เรามุ่งมั่นพัฒนา Dcash ให้เป็นระบบนิเวศทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่เชื่อมโยงศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์เข้ากับความต้องการเงินทุนของคนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และปลอดภัย” ซีอีโอ Dcash กล่าวทิ้งท้าย
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และนายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก สู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยจะเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงนักลงทุนซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงในระดับภูมิภาค แต่ยังรวมถึงนักลงทุนระดับโลกในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านเครือข่ายระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซีใน 58 ประเทศและเขตดินแดน สร้างโอกาสการลงทุนจากตลาดสำคัญ อาทิ จีน ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น โดยจะมุ่งพัฒนากลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซี พร้อมให้การสนับสนุนด้านโซลูชันทางการเงิน และคำปรึกษาครบวงจร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนจากทั่วโลก
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายที่จะสนับสนุน สกพอ.ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก
![]()
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”
ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ และอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซี เพื่อปลดล็อคโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ โดยในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น
“สกพอ. มุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนและดำเนินธุรกิจ ผ่านการสนับสนุนตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเจรจาสิทธิประโยชน์จนถึงการเริ่มต้นประกอบกิจการ ความร่วมมือกับธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าระดับโลกของธนาคารฯ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังเข้ามาสนับสนุนด้านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมในประเทศให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาดโลก เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก และตอกย้ำบทบาทของอีอีซีในฐานะจุดหมายของการลงทุนชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในระดับภูมิภาค” ดร.จุฬา กล่าวเสริม
![]()
นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนเป้าหมายของการลงทุนในประเทศไทยว่า “ในขณะที่ธุรกิจระหว่างประเทศยังคงปรับแผนด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)”
ธนาคารเอชเอสบีซี เล็งเห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่ แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น
“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” นายกัมบา กล่าว
ภายหลังพิธีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ยังมีการสัมมนาเกี่ยวกับศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอกาสที่ธุรกิจระดับนานาชาติจะได้รับจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทย และการสนับสนุนในเชิงนโยบายจาก สกพอ.
โดยในงานแถลงข่าวและการสัมมนา มีบุคคลสำคัญและผู้แทนกว่า 50 ราย จากบริษัทระดับโลกชั้นนำ ตลอดจนสถานทูตและหอการค้าระหว่างประเทศเข้าร่วมงาน เช่น สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา สถานเอกอัครราชทูตเวียดนาม สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และหอการค้าอังกฤษ-ไทย เป็นต้น
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) จัดงาน “ทิศทางการลงทุนหุ้นรับตรุษจีน ปี 2568” สำหรับลูกค้า Krungthai Private Banking และ Krungthai Precious+ ภายในงานมีการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมกลยุทธ์การลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญของ KTX โดยได้รับเกียรติจาก นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ที่ 4 จากขวา) และนายวีรยุทธ นรเศรษฐสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (ที่ 1 จากซ้าย) นำทีมผู้บริหารให้การต้อนรับลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อช่วยลูกค้าบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืน เมื่อวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 ณ Siam Kempinski Hotel Bangkok