December 05, 2025

ในงานเสวนา “Paw-ssibilities: The Next Chapter of Pet Industry” จัดโดย เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยพันธมิตรผู้จัดงาน Pet Expo Thailand โรงแรม GO Hotel โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ และบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ฉายภาพเทรนด์และทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการปรับตัวของธุรกิจต่างๆ เพื่อสอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยมองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวและเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่า ในปี2567 การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสัตว์เลี้ยงมียอดรวมที่ 1,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2566 โดยกลุ่มสมาชิกอายุ 30 - 34 ปีมีสัดส่วนการใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมากที่สุดถึง 17% รองลงมาคือกลุ่มสมาชิกอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนที่ 16% และสมาชิกทั้ง 2 กลุ่มนี้ยังใช้จ่ายในหมวดดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ สำหรับแนวโน้มปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเดือนมกราคม – เมษายน 2568 การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เคทีซีเติบโตที่ 10% โดยเดือนเมษายนมีการเติบโตถึง 12% ตามปัจจัยฤดูกาลและวันหยุดยาวที่มีความสำคัญในการส่งเสริมการขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง

ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงจำนวน 5,009 ราย และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคที่เลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัวเช่น การทำประกันเพื่อคุ้มครองสัตว์เลี้ยง การดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยี และสถานที่ที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง (Pet Friendly)

นางสาวยุภา ดำรงคงวิทยานุกูล ผู้จัดการโครงการ Pet Expo Thailand บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการจัดงานมหกรรมสัตว์เลี้ยงได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งการจัดงานมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเช่น งานที่เน้นสัตว์เลี้ยงบางประเภทหรือบางสายพันธุ์โดยเฉพาะ รวมถึงมีการแบ่งโซนพิเศษเพื่อรองรับความสนใจที่หลากหลายของกลุ่มคนรักสัตว์ สำหรับงาน Pet Expo Thailand 2568 ในปีนี้ คาดว่าจะดึงดูดผู้เข้าชมกว่า 200,000 คน นอกจากนี้กระแสการเลี้ยงสัตว์พิเศษ หรือ Exotic pets จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ขณะที่เทรนด์ระดับโลกความต้องการด้านสินค้าอาหาร และบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงพิเศษมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและละตินอเมริกาทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีโอกาสขยายตลาดเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้

นางสาวจตุพร วิไลแก้ว Head of Hotel Asset Management and Operations โรงแรม GO Hotel ในเครือเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า GO Hotel ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่นิยมเดินทางแบบ Road Trip หรือ Staycation พร้อมสัตว์เลี้ยง จึงได้มีการแบ่งสัดส่วนห้องพักแบบ Pet Friendly 10-15% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด พร้อมทั้งเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะ เช่น ชามอาหาร ถุงเก็บมูลสัตว์เลี้ยง ผ้าปูรองนอน และมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงได้เดินเล่นอย่างปลอดภัย รวมทั้งการอบรมให้ความรู้แก่พนักงานให้เข้าใจถึงความต้องการเฉพาะของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพักของลูกค้าได้อย่างครบวงจร

นางธนัชชา วงษ์เจริญสิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจธนาคาร 2 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการคาดการณ์ตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2568 จะมีมูลค่าประมาณ 100 – 200 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ15 – 20% ทั้งในแง่มูลค่าตลาดและจำนวนผู้ทำประกัน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนเดียวกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหมด ปัจจัยหลักมาจากการตระหนักถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้น โดยค่ารักษาพื้นฐาน เช่น การฉีดวัคซีนหรือการตรวจสุขภาพอยู่ที่ 1,000 บาท – 5,000 บาทต่อครั้ง ส่วนการผ่าตัดหรือรักษาเฉพาะทางอาจสูงถึง 10,000 บาท – 50,000 บาท ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงเริ่มมองหาทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงผ่านประกันภัย

ทิพยประกันภัย เล็งเห็นโอกาสและความจำเป็นดังกล่าวจึงได้พัฒนาประกันภัยสัตว์เลี้ยงที่ ครอบคลุมการรักษา คุ้มครองชีวิตสัตว์เลี้ยง และความรับผิดต่อบุคคลภายนอก เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย พร้อมสร้างความอุ่นใจให้เจ้าของสัตว์เลี้ยง แนวโน้มนี้ยังส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานพยาบาลสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 3,000 แห่งทั่วประเทศ มีโอกาสเติบโตตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สพ.ญ. นวพร ชวนปรีชา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อมีแผนที่จะขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ รวมถึงขยายรูปแบบจากโรงพยาบาลไปเป็นคลินิกขนาดเล็กที่สามารถให้บริการขั้นพื้นฐานสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อให้ครอบคลุมการให้บริการที่มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับความต้องการและแนวโน้มของประชากรไทยที่เลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนโสด คู่รักไม่มีบุตร และผู้สูงอายุ ซึ่งมองว่าสัตว์เลี้ยงคือสมาชิกที่สำคัญและต้องการให้สัตว์เลี้ยงได้รับการบริการรวมทั้งการดูแลไม่ต่างจากสมาชิกในครอบครัว นอกจากนี้ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อยังได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาดูแลรักษาสัตว์เลี้ยง ได้แก่ การวินิจฉัยด้วยภาพขั้นสูง (MRI, CT Scan) การผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อลดการเจ็บปวด เวชศาสตร์เฉพาะบุคคลตามสายพันธุ์ รวมถึงบริการเสริม เช่น กายภาพบำบัด และบริการปรึกษาผ่านช่องทางดิจิทัล

นางสาวสิรีรัตน์กล่าวทิ้งท้าย เคทีซีได้ออกแคมเปญ “All my LOVE is Pet” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกที่เลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว เพียงใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีที่ร้านค้าในหมวดสัตว์เลี้ยงที่ร่วมรายการ รับสิทธิพิเศษดังนี้

1. รับส่วนลดสูงสุด 15% จากร้านค้าสัตว์เลี้ยง และโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงที่ร่วมรายการ

2. แลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15%

· เมื่อมียอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิปต่ำกว่า 2,000 บาท และใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย แลกรับเครดิตเงินคืน 12%

· เมื่อมียอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิปตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป และใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย แลกรับเครดิตเงินคืน 15%

3. แบ่งชำระ 0.74% ต่อเดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 3,000 บาท ขึ้นไป ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/pets/pet-accessories/all-my-love-is-pet ทั้งนี้มั่นใจว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสำหรับสมาชิกกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงจะมีส่วนช่วยผลักดันให้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในปี 2568 เติบโตได้ตามเป้าหมายที่คาดไว้ที่ 10%

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่าราว 7.5 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2566 ด้วยแรงหนุนของการต่อยอดรูปแบบการเลี้ยงดูในมิติของ Pet Humanization เข้าสู่ Petriarchy และ Pet Celebrity ที่หนุนบทบาทให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

จากเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงของคนในยุคปัจจุบันมีรูปแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มผู้ดูแลเดิมที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเอง และ กลุ่มเจ้าของสัตว์เลี้ยงมือใหม่ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงต่อตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทาง ttb analytics ได้ประเมินค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว โดยเจ้าของจะมีภาระค่าใช้จ่ายเฉลี่ยราว 41,100 บาทต่อตัวต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระที่จะมีค่าใช้จ่ายเพียงราว 7,745 บาทต่อตัวต่อปี โดยมีค่าใช้จ่ายจากอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ค่าดูแล รวมถึงอาหารที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี เทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ในบางกลุ่มเจ้าของอาจมีวิวัฒนาการสู่การเลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัวแบบตามใจ หรืออาจเรียกว่า “ทาสหมา-ทาสแมว” (Petriarchy) ซึ่งบนบริบทการเลี้ยงดูที่ตามใจ โดยสัตว์เลี้ยงเป็นผู้รับที่ไม่สามารถปฏิเสธของที่เจ้าของเลือกซื้อให้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเจ้าของเลือกที่จะซื้อของให้สัตว์เลี้ยงเพื่อตอบสนองความพอใจส่วนตน ย่อมส่งผลให้การจับจ่ายในส่วนของอุปกรณ์ และค่าดูแล มีทิศทางเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง

อย่างไรก็ตาม นอกจากกระแสของ Pet Humanization และ Petriarchy แล้วในสังคมยุคปัจจุบัน สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจพัฒนาบทบาทจากลักษณะนิสัยส่วนตัวที่สามารถยกระดับจาก “สมาชิกในครอบครัวปกติ” เป็น “สมาชิกในครอบครัวที่สามารถสร้างรายได้” ผ่านรูปแบบลักษณะเฉพาะของสัตว์เลี้ยงที่สามารถดึงดูดความสนใจจากคนในสังคมวงกว้าง หรือ Pet Celebrity และถูกพัฒนาเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีผู้ติดตามผ่านโซเชียลมีเดีย (Petfluencer) เมื่อมีการนำเสนอนิสัยหรือลักษณะเฉพาะของสัตว์เลี้ยงนั้นผ่านการเล่าเรื่องหรือการสร้าง Content โดยเจ้าของผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งการที่กลุ่มสัตว์เลี้ยงที่ถูกยกระดับเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีผู้ติดตามผ่านโซเชียลมีเดีย (Petfluencer) ที่สามารถสร้างรายได้ผ่าน Content ต่าง ๆ ที่เจ้าของได้สรรสร้างเพื่อนำเสนอให้กลุ่มผู้ติดตาม ทำให้นอกจากรายจ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์และค่าดูแลสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งแล้ว ยังมีความถี่ในการจับจ่ายที่สูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับกลุ่มที่เลี้ยงในลักษณะเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) แบบทั่ว ๆ ไป ซึ่งจากบริบทการเลี้ยงสัตว์ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ “การเลี้ยงแบบครอบครัว-ที่ตามใจ-และสร้างรายได้” ส่งผลให้มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่อง โดยทาง ttb analytics ประเมินมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยปี 2567 คาดมีมูลค่าแตะ 7.5 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 12.4 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า บนค่าเฉลี่ยการเติบโตของมูลค่าตลาดย้อนหลัง 5 ปี (CAGR) ที่ 17.5% โดยรูปแบบการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยแบ่งออกเป็นดังนี้

 

1. กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง และ บริการรักษาสัตว์ เป็นกลุ่มที่ได้รับการเติบโตจากกระแสรูปแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ที่มากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าของตระหนักถึงสัตว์เลี้ยงเป็นประหนึ่งเหมือนสมาชิกในครอบครัว ส่งผลให้รูปแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น กลุ่มอาหารที่เริ่มมีการใช้อาหารเฉพาะเพิ่มมากขึ้นจากคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม รวมถึงการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาในอนาคตที่การให้อาหารที่ไม่เหมาะสมส่งผลต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงในระยะยาว รวมถึงอาหารสัตว์ในปัจจุบันก็มีหลายรูปแบบ ซึ่งส่วนมากกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ในรูปแบบนี้มักใช้อาหารเกรดพรีเมี่ยมที่มีราคาสูง เช่น อาหารเปียก รวมถึงในผู้เลี้ยงบางกลุ่มก็เลือกใช้อาหารดิบที่ไม่ผ่านความร้อน (BARF) ที่มีราคาสูง ส่งผลให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในปี 2567 ขยายตัวโดยมีมูลค่าแตะ 4.46 หมื่นล้านบาท บนค่าเฉลี่ยการเติบโตของมูลค่าตลาดย้อนหลัง 5 ปี (CAGR) ที่ 17.0% สอดคล้องกับบริการรักษาสัตว์ที่มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นจากความตระหนักในการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง และต้องรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วยของสัตว์เลี้ยงที่ประหนึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว ส่งผลให้มูลค่าบริการรักษาสัตว์เติบโตต่อเนื่องที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (CAGR) ที่ 21.7% ด้วยมูลค่า 6.64 พันล้านบาท ในปี 2567

2. กลุ่มอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงและบริการดูแลสัตว์เลี้ยง เป็นกลุ่มที่นอกจากได้รับแรงหนุนของกระแสการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัวแล้ว (Pet Humanization) มูลค่าของอุตสาหกรรมยังมีการเร่งตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากกระแสการเลี้ยงเสมือนคนในครอบครัวแบบตามใจ (Petriarchy) และ สมาชิกในครอบครัวที่สามารถสร้างรายได้ (Petfluencer) ที่ส่งผลให้มีความถี่ในการเข้ารับบริการดูแลและความถี่ในการจัดหาอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเพิ่มในอัตราเร่ง ส่งผลให้มูลค่าตลาดอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงและบริการดูแลสัตว์เลี้ยงมีค่าการเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (CAGR) ที่ 17.3% และ 16.7% โดยคาดว่ามีมูลค่า 2.29 หมื่นล้านบาท และ 0.66 พันล้านบาท ตามลำดับ บนแนวโน้มที่ยังรักษาการเติบโตในอัตราเร่งได้

กล่าวโดยสรุป กระแสการดูแลสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เป็นกระแสที่เพิ่มความนิยมส่งผลให้การดูแลสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้เจ้าของมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นทั้งในมิติของอาหารที่ต้องเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสุขภาพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในส่วนของอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบริการดูแลย่อมสูงขึ้นในอัตราเร่ง เมื่อเจ้าของมีการเลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัวแบบตามใจ หรืออาจเรียกว่า “ทาสหมา-ทาสแมว” (Petriarchy) หรือเมื่อสัตว์เลี้ยงมีนิสัยเฉพาะตัวที่ยกระดับเป็น Pet Celebrity และมากกว่าไปนั้น นอกจากมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยที่ขยายตัวจากเทรนด์การเลี้ยงที่เปลี่ยนไปดังกล่าว รูปแบบการเลี้ยงนี้ยังส่งผลทางอ้อมไปยังธุรกิจและบริการที่สามารถรองรับมูลค่าที่ขยายตัวนี้ได้ เช่น กลุ่มโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ธุรกิจรับฝึกสัตว์เลี้ยงให้กลายเป็น Petfluencer รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับบริการรักษาสัตว์ที่อาจมีการขยายขอบเขตบริการ Veterinary Telemedicine หรือ Virtual Vet ที่อาจเข้ามาตอบโจทย์กรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เจ้าของอาจไม่สะดวกเดินทางพาสัตว์เลี้ยงเข้ารับการรักษา เป็นต้น

X

Right Click

No right click