

ความขัดแย้งทางการค้ายังคงคุกกรุ่น เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ทรัมป์ระบุว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนเพิ่มในอัตรา 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และจะควบคุมการส่งออกซอฟท์แวร์ หลังจีนขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รวมถึงเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ใช้ผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม นอกจากนี้ สหรัฐฯ และจีนยังเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือระหว่างกันเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ยังขู่ว่า จะระงับการนำเข้าน้ำมันประกอบอาหารเพื่อตอบโต้จีนที่หันไปนำเข้าถั่วเหลืองจากประเทศในอเมริกาใต้แทนสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ทรัมป์กลับมีท่าทีอ่อนลงโดยระบุว่าการเก็บภาษีจากจีน 100% อาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่า อาจมีการขยายข้อตกลงลดภาษีนำเข้าระหว่างกันต่อ หากจีนชะลอมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก
วิจัยกรุงศรีมองว่า การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับจีนเป็นการ “ขู่” เพื่อให้ได้ข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ดังจะเห็นได้จากการที่สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการลดภาษีนำเข้ากับสหภาพยุโรปเพื่อแลกกับการขยายการลงทุนในสหรัฐฯ และการนำเข้าพลังงานมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ และ 7.5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 ตามลำดับ จีนเองก็ตระหนักถึงความต้องการของสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน โดยในเดือนกันยายน จีนได้เสนอขยายการลงทุนในสหรัฐฯ โดยตั้งเงื่อนไขให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายการตรวจสอบการลงทุนและงดเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่บริษัทจีนนำเข้าไปผลิตในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวลคือ ในช่วงที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้านั้น การควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งจีนถือครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 70% และแบตเตอรีลิเธียมไอออน รวมถึงการขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือ จะเพิ่มภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ผลิต และอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตในห่วงโซ่อุปทานโลก สุดท้ายแล้ว ยิ่งมาตรการกีดกันทางการค้าขยายวงกว้างและยืดเยื้อมากขึ้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
ปี 2569 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง และการค้าโลกอาจย่ำแย่ลง ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอลงจาก 3.3% ในปี 2567 เหลือ 3.2% ในปี 2568 และ 3.1% ในปี 2569 โดยการเติบโตในปี 2568 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งตัวของกิจกรรมในภาคการค้าและการส่งออกล่วงหน้า (front-loading effect) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีศุลกากร

การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอลงในปี 2569 เนื่องจากผลบวกจากการเร่งส่งออกหรือ front-loading กำลังทยอยลดลง ขณะที่ความเสี่ยงด้านขาลงมีมากขึ้น ได้แก่ (i) ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรและมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ (ii) ความกังวลเงินเฟ้อซึ่งจะจำกัดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และ (iii) ความเสี่ยงทางการเมืองในหลายประเทศและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้านองค์การการค้าโลกหรือ WTO คาดว่าปริมาณการค้าสินค้าของโลกจะโตเพียง 0.5% ในปี 2569 ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% และย่ำแย่ลงจาก 2.4% ในปี 2568 ความเสี่ยงดังกล่าวมีแนวโน้มกระทบต่อกิจกรรมในภาคการผลิตและการค้า รวมถึงเศรษฐกิจโลกโดยรวม
ทางการเตรียมกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีอาจต่ำกว่าคาด ในเดือนกันยายน มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 2.24 ล้านคน หดตัว -11.3% YoY สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 9.94 หมื่นล้านบาท ลดลง -5.8% สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 24.1 ล้านคน ลดลง -7.6% YoY สร้างรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท ลดลง -5.9%
ท่ามกลางความซบเซาของภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ ล่าสุดรัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศช่วงปลายปี โดยเบื้องต้นมีแนวทาง (i) ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันที่ 29 ตุลาคม ถึง 15 ธันวาคม โดยการท่องเที่ยวในเมืองหลักลดหย่อนได้ 1 เท่า และในเมืองรอง 1.5 เท่า (ii) เร่งรัดการจัดสัมมนาของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณเร็วขึ้น และ (iii) สนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมและที่พักสำหรับเมืองรอง โดยให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการดังกล่าวอาจช่วยพยุงอุปสงค์ภายในประเทศและลดผลกระทบจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้บางส่วน แต่วิจัยกรุงศรีประเมินว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2568 อาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 34 ล้านคน เนื่องจากการซบเซาของตลาดนักท่องเที่ยวจีน บวกกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดภูมิภาคเดียวกัน
ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก เตรียมเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 4 รุ่น อายุ 1 ปี 6 เดือน ถึงอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยเบื้องต้นระหว่าง 3.00-3.95% ต่อปี โดยเสนอขายเป็นครั้งแรกให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง และช่องทางทรู มันนี่ วอลเล็ต คาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566 เผยจุดเด่นหุ้นกู้ นอกจากจะออกและเสนอขายโดยบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ที่มีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคเอเชียแล้ว หุ้นกู้ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจและผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมีศักยภาพ โดยผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 2.41 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.17 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ มีโอกาสเติบโต ภายใต้ความเสี่ยงของหุ้นกู้เพียงระดับ 3
![]()
นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโครและประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) และธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้รุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน รุ่นอายุ 3 ปี รุ่นอายุ 5 ปี และรุ่นอายุ 7 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 3.00-3.95% ต่อปี ซึ่งจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนอีกครั้ง โดยจะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารยูโอบี และ บล.เกียรตินาคินภัทร รวมถึงเสนอขายผ่านช่องทาง ทรูมันนี่ วอลเล็ต คาดว่าจะเสนอขายได้ในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 สะท้อนสถานะของบริษัทฯ ในการเป็นบริษัทย่อยหลัก (Core Subsidiary) ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) และการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ด้วยความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานที่ฐานรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 (มกราคม-มิถุนายน 2566) บริษัทฯ มีรายได้รวม 241,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,746 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากธุรกิจค้าส่งแม็คโคร 130,875 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีกโลตัส 110,959 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 3,682 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (Core Net Profit) ที่ไม่รวมรายการพิเศษในครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 3,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“การเติบโตในครึ่งปีแรกของปี 2566 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเดินหน้าขยายสาขาและเพิ่มประสิทธิภาพแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ รวมถึงการผสานช่องทางการขายออนไลน์และสาขาอย่างไร้รอยต่อ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ
ยังมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในระดับภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ (Omni channel) ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักบรรษัทภิบาล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเชื่อว่าด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จะทำให้หุ้นกู้ของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงของหุ้นกู้เพียงระดับ 3 (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 สูงสุดระดับ 8) และธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตสูง” นางเสาวลักษณ์กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจของ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าส่ง ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการมืออาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ร้านค้าปลีกรายย่อย กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง (HoReCa) ตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระและสถาบันต่างๆ ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) ในประเทศไทยและมาเลเซีย โดยบริษัทฯ มุ่งที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคในระดับภูมิภาคในเอเชีย และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ ด้วยช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (Omni channel) นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพของร้านค้า ต่อยอดธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับโฉมร้านค้าแบบไฮบริดซึ่งดึงจุดเด่นของ 2 กลุ่มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกแบบไร้รอยต่อ เพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า ยังได้รับคัดเลือกให้ติดอันดับบริษัทด้านความยั่งยืน โดยเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี S&P Global The Sustainability Yearbook 2023 ในกลุ่ม Food & Staples Retailing ซึ่งเป็นดัชนีชั้นนำของโลกที่ใช้วัดผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่มุ่งสร้างการเติบโตไปพร้อมกับคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัท (IOD) ในระดับ 5 ดาวหรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Score) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 อีกด้วย
![]()
ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ซีพี แอ็กซ์ตร้า สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungsri Mobile App (“KMA”) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น CIMB Thai Digital Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
* ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
** ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
***ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถจองซื้อหุ้นกู้ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้อีกด้วย โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ที่ App Store และ Play Store ดูรายละเอียดวิธีการสมัครแอปฯ และวิธีการจองซื้อได้ที่ www.truemoney.com หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 1240 กด 6
สิงหา 2566
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เดินหน้าสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จัดงาน Krungsri-MUFG Business Matching Fair 2023 งานเจรจาจับคู่ธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่ ที่พร้อมมอบโอกาสเติบโตทางธุรกิจในการขยายตลาดสู่สากล พบปะเจรจาการค้าและหาพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศจากเครือข่ายของกรุงศรี และ MUFG กว่า 11 ประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม - 8 สิงหาคม 2566 โดยการเจรจาจับคู่ธุรกิจจะจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
สำหรับงานเจรจาจับคู่ธุรกิจ Krungsri-MUFG Business Matching Fair 2023 จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศผ่านทางเครือข่ายที่เชื่อถือได้ของกรุงศรี และ MUFG ใน 11 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยกรุงศรีพร้อมอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ประกอบการด้วยการใช้ระบบคัดเลือกความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเลือกสินค้าที่ตรงกับความสนใจเพื่อเพิ่มโอกาสในการจับคู่เจรจาให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งมีการยืนยันตารางนัดหมาย และจัดการเจรจาแบบส่วนตัว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานจะต้องเป็นนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจมาแล้วอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป เป็นผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย หรือผู้ให้บริการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ อาทิ อาหารสด อาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยว ของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ในบ้าน อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่แห่งอนาคต เป็นต้น
ผู้ประกอบการที่สนใจสมัครเข้าร่วมเป็นผู้ขาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสามารถสมัครด้วยตนเองทาง www.krungsribusinesslink.com/signup พร้อมอัปโหลดข้อมูลสินค้าและบริการของท่านเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม - 8 สิงหาคม 2566 โดยงานเจรจาจับคู่ธุรกิจจะจัดขึ้นวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) จัดกิจกรรมประกวดคลิปวิดีโอ “Krungsri IMAX Video Contest 2021” ซึ่งจัดติดต่อกันมาแล้ว เป็นปีที่ 7 ความยาวไม่เกิน 1 นาที ในหัวข้อ “ดูหนังปลอดภัย ด้วยความห่วงใย ที่กรุงศรีไอแมกซ์” ด้วยในสภาวะที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โรงภาพยนตร์ได้เพิ่มมาตรการคุมเข้มเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าขั้นสูงสุดตามหลักมาตรฐานสาธารณสุขสากลอย่างเคร่งครัด พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดกับ Cashless Cinema โรงภาพยนตร์ไร้เงินสดเต็มรูปแบบ ซึ่งธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้พัฒนารูปแบบการชำระเงินและซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านกรุงศรี โมบาย แอปพลิเคชัน (KMA) เพิ่มความสะดวกสบาย ลดการสัมผัสกับธนบัตรตามแนวการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ สะท้อนผ่านหัวข้อการประกวดในปีนี้
เวทีการประกวดครั้งนี้เปิดกว้างให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุไม่เกิน 30 ปี ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือ บุคคลทั่วไป ได้ใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ เฟ้นหานัก Digital Content ที่มีผลงานสร้างสรรค์คลิปวิดีโอได้อย่างโดดเด่น ชิงเงินและของรางวัลรวมมูลค่ากว่า 268,000 บาท โดยเนื้อหาจะต้องแนะนำการชำระเงินวิถีใหม่ ไร้เงินสด ในการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ที่กรุงศรีไอแมกซ์ผ่าน Krungsri Mobile Application พร้อมเชิญชวนให้มาชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์แบบ New Normal กับมาตรการปลอดภัยขั้นสูงสุด สนใจสมัครร่วมกิจกรรม สอบถามรายละเอียดได้ที่ www.krungsriimaxvideocontest2021.com ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 15 ธันวาคม 2564
รางวัลการประกวดมีด้วยกัน 4 รางวัล คือ รางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และ รางวัลชมเชย รายละเอียดของรางวัลดังนี้
รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 80,000 บาทและบัตรชมภาพยนตร์ Krungsri IMAX จำนวน 50 ใบ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 40,000 บาทและบัตรชมภาพยนตร์ Krungsri IMAX จำนวน 30 ใบ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 30,000 บาทและบัตรชมภาพยนตร์ Krungsri IMAX จำนวน 20 ใบ
รางวัลชมเชย จำนวน 10 รางวัล เงินรางวัล 5,000 บาท และบัตรชมภาพยนตร์จำนวน 10 ใบต่อรางวัล
