

นับเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์แนวใหม่ที่ถ่ายทอดความรู้จาก รพ.รัฐ สู่เอกชน มุ่งหาทางรอดรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีโอกาสหายได้ ถึง 70% เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ เครือโรงพยาบาลสมิติเวช ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการรักษาด้วยนวัตกรรม Cell Therapy & Gene Therapy เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาของไทยสู่ระดับสากล เป็นการรักษาแบบเซลล์และยีนบำบัด โดยนำเลือดมาสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันดัดแปลงให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้โดยตรง เป็นครั้งแรกของอาเซียน
สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งนี้ถูกถ่ายทอดในงาน ประชุมวิชาการระดับนานาชาติ “The Cell Therapy & Gene Therapy Symposium 2025” ถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 7 กันยายน 2568 ณ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ และ รร. เมอเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา โดยรวมผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย, นวัตกรรม CAR T- cell รักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ดื้อยา, ความก้าวหน้าของการรักษาด้วยยีนบำบัด, รวมถึงการดูแลภาวะแทรกซ้อนและผลวิจัยทางคลินิกมาตรฐานโลก ตอกย้ำบทบาทไทยในการก้าวสู่ผู้นำด้านการรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย

ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง รองคณบดีกิจการพิเศษ และหัวหน้า Center of Excellence for Cell Therapy and Gene Therapy คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และกุมารแพทย์โรคมะเร็งและโรคเลือด โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายว่า โรคธาลัสซีเมีย และ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้นำไปสู่แนวทางการรักษาใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้แก่ผู้ป่วยได้
ปัจจุบัน นอกจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด (คีโม) ยังมีทางเลือกสำคัญอย่างเช่น การปลูกถ่ายไขกระดูก สำหรับผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย มะเร็งบางชนิด และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ โดยเฉพาะเทคนิค Haploidentical Stem Cell Transplantation ซึ่งใช้สเต็มเซลล์จากพ่อหรือแม่หรือสมาชิกในครอบครัว ผลลัพธ์ของเทคนิคนี้พบว่า เด็กที่ได้รับการปลูกถ่ายมีอัตราการรอดชีวิตใน 1 ปีสูงถึง 100% และการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ด้วยนวัตกรรม CAR T-cell ซึ่งเป็นการรักษาแบบเซลล์และยีนบำบัด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาที่มีอยู่ราว 30% โดยนำเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยมาปรับแต่งพันธุกรรมในห้องปฏิบัติการแล้วฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย ให้โจมตีเซลล์มะเร็งโดยตรง เพิ่มโอกาสหายขาดให้แก่ผู้ป่วยที่หมดความหวังได้ถึง 70% แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้มากกว่า 5 เท่า

ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า งานประชุมนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือโรงพยาบาลสมิติเวช มุ่งยกระดับการรักษาด้วย Cell Therapy & Gene Therapy สู่มาตรฐานสากล และยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากภาครัฐสู่ภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีและการดูแลที่มีมาตรฐานสูง ลดข้อจำกัดเรื่องสถานที่และคิวการรักษา และสามารถต่อยอดไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยในภูมิภาคเข้าถึงนวัตกรรมทันสมัย การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ไม่เพียงช่วยเพิ่มศักยภาพบุคลากรไทย แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่ทันสมัยและมีความหวังใหม่ในการต่อสู้กับโรคร้าย

ทางด้านพญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช และผู้อำนวยการ รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ยาวนาน ของโรงพยาบาลสมิติเวช ที่ได้เปิดศูนย์ดูแลเด็กป่วยมะเร็งและบริการปลูกถ่ายไขกระดูกมาเป็นเวลากว่า 20 ปี และได้ร่วมมือกับ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในการศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยี CAR T-cell เป็นการผสมผสานระหว่างเซลล์และยีนบำบัด มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา แต่ยังเปิดทางให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ในโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่ต้องรอนาน ภายใต้กระบวนการรักษาและห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานสากล (GMP) ในประเทศไทย นี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) ของเอเชีย”

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ได้แก่
Professor Philippe Leboulch แพทย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Paris-Saclay ประเทศฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการศึกษาพัฒนา lentivirus เพื่อเป็นพาหะสำหรับการปรับแต่งยีนของโรคพันธุกรรมต่างๆ และเป็นหนึ่งในทีมการศึกษาวิจัยการรักษาด้วยยีนบำบัดในผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย (Beta-Thalassemia) ได้สำเร็จ โดยจะมาร่วมบรรยายในหัวข้อ “All About the Future of Gene Therapy”
Prof. Hideki Marumatsu, M.D., Ph.D. กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านโรคเลือดและโรคไขกระดูก จาก มหาวิทยาลัยนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น ผู้มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาโรค Aplastic Anemia และกลุ่มโรค Bone Marrow Failure ชนิดต่างๆ และมีการศึกษาติดตามผู้ป่วย Japan Childhood Aplastic Anemia Cohort Study จะมาร่วมบรรยายในหัวข้อ “Hematopoietic Stem Cell Transplantation in Aplastic Anemia and Inherited Bone Marrow Failure”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างยั่งยืน และเปิดเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อเตรียมบุคลากรไทยและนานาชาติสู่การรักษาแห่งอนาคต
เพียงได้ยินคำว่า “มะเร็ง” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ชิด คนรู้จัก หรือกับคนมีชื่อเสียง อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกได้หลากหลาย ทั้งตกใจ หวาดหวั่น หรือวิตกกังวล ทำให้หลายๆ คนต้องหันมาทบทวนแนวทางการดำเนินชีวิตของตนเองที่ผ่านมาว่ามีพฤติกรรมใดที่ก่อให้เกิดมะเร็งหรือไม่ หรืออีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คือแนวทางการรักษาใหม่ๆ
องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2565 ประมาณร้อยละ 76 ภายใน 25 ปีข้างหน้า สำหรับประเทศไทย ข้อมูลในปี พ.ศ. 2562-2564 จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่าพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เฉลี่ยประมาณ 140,000 ต่อปี และจากรายงานสถิติสาธารณสุขพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งและเนื้องอกทุกชนิดเฉลี่ยประมาณ 84,000 คน ซึ่งโรคมะเร็งไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้ป่วยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังส่งกระทบถึงครอบครัวและสังคมรอบข้าง ทั้งในแง่ของร่างกาย จิตใจ ความสัมพันธ์ ไปจนถึงส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
“ภูมิคุ้มกันบำบัด” ทางเลือกใหม่ในการต่อสู้กับมะเร็ง
ในโลกของการแพทย์ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย การรักษาโรคมะเร็งยังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่นักวิจัยและบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลกมุ่งมั่นที่จะพัฒนา ด้วยความตั้งใจที่จะลดอัตราการเสียชีวิต ลดผลข้างเคียง และป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็งหลายชนิดได้ หนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังเป็นทางเลือกใหม่ คือ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” หรือ Immunotherapy ซึ่งได้กลายมาเป็นแนวทางการรักษาที่พลิกโฉมการรักษามะเร็งในยุคปัจจุบัน
มาทำความรู้จักกับ “ระบบภูมิคุ้มกัน” ในร่างกายกันก่อน เพื่อที่จะเข้าใจวิธีการรักษาตามแนวทาง “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ให้ดียิ่งขึ้น ระบบภูมิคุ้มกัน เกิดจากการทำงานร่วมกันของเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ รวมถึงต่อมน้ำเหลือง ม้าม ต่อมไทมัส ต่อมทอนซิล ไขกระดูก และเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อและต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ เช่น เซลล์มะเร็ง โดยเมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายหรือมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคหรือเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านั้น
“ภูมิคุ้มกันบำบัด” ใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสู้กับมะเร็ง
ผศ.ดร.นพ.ลักษมันต์ ธรรมลิขิตกุลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า “ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นหนึ่งในวิธีการรักษามะเร็ง โดยใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมาเป็น “อาวุธ” ในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายของเรามีเซลล์เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่หลักในการป้องกันสิ่งแปลกปลอม เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้คือ ทีเซลล์ (T-cells) ซึ่งสามารถตรวจจับและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติได้ รวมถึงเซลล์มะเร็งที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ แต่เซลล์มะเร็งมีความซับซ้อนและชาญฉลาด เพราะมันสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มะเร็งสามารถเติบโตและแพร่กระจายในร่างกาย แต่ด้วยการค้นพบกลไกที่เซลล์มะเร็งใช้เพื่อหลบหลีกภูมิคุ้มกัน นักวิจัยจึงสามารถพัฒนาวิธีการรักษาแบบใหม่ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง”
ภูมิคุ้มกันบำบัดแตกต่างจากการรักษาอื่นอย่างไร
สิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบำบัดแตกต่างจากการรักษามะเร็งแบบดั้งเดิม เช่น เคมีบำบัด หรือการฉายรังสี คือ ภูมิคุ้มกันบำบัดไม่ได้มุ่งทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่จะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำหน้าที่นั้นแทน หนึ่งในรูปแบบของภูมิคุ้มกันบำบัดที่ได้รับความสนใจในขณะนี้คือ ยายับยั้งการทำงานของอิมมูนเช็คพอยต์ (Immune Checkpoint Inhibitors) ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ช่วยเปิดทางและเพิ่มศักยภาพให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสามารถโจมตีเซลล์มะเร็งได้
ไขความลับของอิมมูนเช็คพอยต์ กุญแจสำคัญของการรักษา
โดยปกติ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีอิมมูนเช็คพอยต์ (Immune Checkpoint) เป็นกลไกของร่างกายที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันทำงานเกินความจำเป็น เช็คพอยต์ตัวสำคัญตัวหนึ่งชื่อ PD-1 อยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ (T-cells) ซึ่งสามารถจับกับ PD-L1 ที่อยู่บนเซลล์มะเร็ง เมื่อ PD-1 และ PD-L1 จับกันแล้วจะส่งสัญญาณยับยั้งทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดนี้หยุดกำจัดเซลล์มะเร็ง เปรียบเสมือนการเหยียบเบรกทำให้ระบบภูมิคุ้มกันหยุดทำงาน
ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงคิดค้นยายับยั้งการทำงานของอิมมูนเช็คพอยต์ ซึ่งทำหน้าที่ขัดขวางไม่ให้ PD-1 และ PD-L1 จับกันได้ ทำให้เป็นการตัดสัญญาณยับยั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ จึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่กำจัดเซลล์มะเร็งได้
มีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่ายายับยั้งการทำงานของอิมมูนเช็คพอยต์นี้สามารถใช้เป็นยาเดี่ยว หรือใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งรูปแบบอื่น ๆ เช่น ยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า หรือการฉายรังสี ในการรักษามะเร็งหลากหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา มะเร็งเต้านมที่ไม่มีตัวรับฮอร์โมนและไม่มีตัวรับเฮอร์ทู (ทริปเปิลเนกาทีฟ, triple negative) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น ทั้งนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งจะเป็นผู้พิจารณาเลือกชนิดและรูปแบบการของการใช้ยาให้เหมาะสมกับชนิดของมะเร็ง ระยะโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ผลข้างเคียง สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มการรักษา
แม้ว่าภูมิคุ้มกันบำบัดจะเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษามะเร็ง แต่ยานี้อาจมีผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยควรทราบ ผลข้างเคียงเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นมากจนเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ผิวหนังอักเสบทำให้มีผื่น ลำไส้อักเสบทำให้มีอาการท้องเสียหรือปวดท้อง ปอดอักเสบทำให้มีอาการไอหรือเหนื่อย ตับอักเสบทำให้มีค่าเอนไซม์ตับผิดปกติ ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย หรือระบบต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ ทำให้ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง จนเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือภาวะพร่องฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต เป็นต้น ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้มีระดับความรุนแรงได้หลากหลาย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางราย อาจมีอาการรุนแรงทำให้แพทย์ต้องพิจารณาหยุดการรักษาชั่วคราว และให้การรักษาด้วยยากลุ่มสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันเพื่อบรรเทาอาการ
ภูมิคุ้มกันบำบัด อีกทางเลือกที่น่าสนใจ
ภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นการรักษามะเร็งรูปแบบหนึ่งที่ใช้การทำงานของร่างกายในการจัดการกับเซลล์มะเร็ง แม้ว่าจะยังไม่สามารถใช้ในการรักษามะเร็งได้ทุกชนิด และยังมีข้อจำกัดบางประการ แต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในด้านนี้กำลังสร้างทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ท้ายที่สุดแล้ว การรักษาโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการดูแลที่เหมาะสมและการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย เพราะทุกคนมีเส้นทางการรักษาที่แตกต่างกัน และการร่วมมือกันระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์คือกุญแจสำคัญในการเอาชนะโรคร้ายนี้
จากสถิติองค์การอนามัยโลกพบว่ามะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ถึง 2.5 ล้านรายและผู้เสียชีวิตประมาณ 1.8 ล้านรายต่อปี ในประเทศไทย มะเร็งปอดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับสอง โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ถึง 17,222 รายต่อปี หรือเฉลี่ยผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดวันละ 40 คน1
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในงานประชุม European Lung Cancer Congress (ELCC) 2025 ที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส แอสตร้าเซนเนก้าได้เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับมะเร็งปอดภายใต้โครงการ CREATE ที่มีการใช้เครื่องมือ qXR-LNMS ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท Qure.ai เพื่อแสดงประสิทธิภาพในการคัดกรองมะเร็งปอดจากภาพเอกซเรย์ทรวงอกซึ่งอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือช่วย โดยนวัตกรรมนี้ช่วยขยายโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการวินิจฉัยโรคด้วยวิธีที่ทันสมัยและมีความสะดวก
โครงการ CREATE ได้ศึกษาประสิทธิภาพในการคัดกรองมะเร็งปอดใน 5 ประเทศ ได้แก่ อียิปต์ อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และตุรกี โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 700 ราย ผลการศึกษาพบว่าค่าความแม่นยำของ Positive Predictive Value (PPV) อยู่ที่ร้อยละ 54.1 ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นจำนวน 20% ส่วน Negative Predictive Value (NPV) อยู่ที่ร้อยละ 93.5 ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นจำนวน 70% ผลการศึกษามีความสอดคล้องกันทุกกลุ่มประชากร ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่และบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 55 ปี ซึ่งโดยทั่วไปไม่ได้อยู่ในเกณฑ์การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด
นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่แบบจำลองการวิเคราะห์ผลกระทบด้านงบประมาณของโครงการ CREATE โดยอ้างอิงจากการใช้ข้อมูลในประเทศเวียดนามมาเป็นกรณีศึกษาต้นแบบ ซึ่งพบว่าการใช้ AI ร่วมกับการเอกซเรย์ทรวงอก นั้น สามารถนำมาปฏิบัติใช้เป็นขั้นตอนเบื้องต้นก่อนการทำการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ด้วยปริมาณรังสีต่ำ (Low Dose CT : LDCT) ในบริบทของสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรจำกัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมการคัดกรองโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง จากผลการศึกษานี้ยังพบว่าการนำ AI มาใช้ในกระบวนการคัดกรองมะเร็งปอดสามารถช่วยในการตรวจพบมะเร็งปอดได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม นำไปสู่การลดลงของค่าใช้จ่ายในกระบวนการรักษาได้
![]()
พญ. วาสนา ประสิทธิ์สืบสาย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า “แอสตร้าเซนเนก้าได้ร่วมมือกับ Qure.ai ตั้งแต่ปี 2565 ภายใต้โครงการ Lung Ambition Alliance โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ qXR-LNMS มาใช้ในการคัดกรองสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปอด โครงการนี้มีเป้าหมายในการตรวจคัดกรองประชากรกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2569 ปัจจุบัน เราได้ดำเนินการคัดกรองแล้วกว่า 5 แสน คน และมีอัตราการตรวจพบมะเร็งปอดที่ 0.1% ข้อมูลจากการศึกษา CREATE แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้ AI ที่สามารถแพร่หลายได้ง่าย ต้นทุนต่ำ และสามารถประยุกต์ใช้ในระบบสาธารณสุขเพื่อยกระดับการเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
![]()
นพ. ภาสกร วันชัยจิระบุญ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมทางการแพทย์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า เปิดเผยว่า “แม้ว่าแนวทางมาตรฐานในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดจะแนะนำให้ใช้การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบปริมาณรังสีต่ำ แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านต้นทุนสูงและการเข้าถึงที่จำกัด การมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เสริมการตรวจภาพเอกซ์เรย์ทรวงอก สามารถเพิ่มการเข้าถึงการคัดกรองมะเร็งปอดในบริบทของประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดได้ อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้นั้นจำเป็นต้องมาพร้อมกับความเข้าใจจากผู้ใช้ รวมถึงการวิจัยและปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”
การตรวจสุขภาพและการคัดกรองโรคอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ และยังช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชากรไทย การมีนวัตกรรมที่เข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับการวินิจฉัยโรคให้มีความรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรค เช่น มะเร็งปอด ให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล
สถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า ในแต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 คน และพบว่าการเกิดมะเร็งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยซึ่งอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้การรักษามะเร็งมีประสิทธิภาพดีขึ้นทำให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ อย่างไรก็ตามการรักษามะเร็งด้วยวิธีมาตรฐาน เช่น การผ่าตัดอวัยวะสืบพันธุ์ รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด มักส่งผลให้ผู้ป่วยทั้งชายและหญิงสูญเสียความสามารถในการมีบุตรภายหลังจากการรักษามะเร็งหายแล้ว จากการที่รังไข่หรืออัณฑะหยุดทำงานทำให้ไม่สามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้
โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมบุคคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและทีมสหสาขาวิชาชีพที่ดูแลร่วมกันเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ทำให้สามารถก้าวข้ามความกังวลใจของผู้ป่วยมะเร็งไม่เพียงกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมอย่างมีคุณภาพ ยังสามารถวางแผนการมีบุตรในอนาคตได้อีกด้วย
ป่วยมะเร็ง มีบุตรได้ ไม่ยากอย่างที่คิด
แพทย์หญิงกตัญญุตา นาคปลัด แพทย์เฉพาะทางด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งสามารถมีบุตรได้ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเต้านมซึ่งพบมากที่สุดในเพศหญิง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งโพรงมดลูก หรือมะเร็งอัณฑะในเพศชาย โดยผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ก่อนจะเข้ารับการรักษา ควรเข้าพบสูตินรีแพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อเก็บเซลล์สืบพันธุ์ โดยการแช่แข็งเซลล์ไข่ในผู้หญิง และแช่แข็งเซลล์อสุจิในผู้ชาย หรือ้เก็บเซลล์ตัวอ่อนในผู้ป่วยที่มีคู่สมรสตามกฎหมายแล้ว คนส่วนมากเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจะรู้สึกเครียดและกังวล แนะนำว่าอย่าเพิ่งตกใจและหมดหวัง เพราะปัจจุบันสามารถควบคุมตัวโรคได้และสามารถใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากคนที่ไม่เป็นมะเร็ง โดยเฉพาะกลุ่มวัยเจริญพันธุ์และมีแผนที่จะมีลูกในอนาคต ก่อนจะเข้ารับการรักษา สามารถมาพบสูตินรีแพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์เข้าสู่กระบวนการแช่แข็งเซลล์สืบพันธุ์ก่อน ถ้าเป็นฝ่ายหญิงจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ขณะที่ฝ่ายชายระยะเวลาในการเก็บอสุจิเพียง 1-2 วันเท่านั้น
“ฉะนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้การรักษามะเร็งล่าช้า เพราะมีการศึกษามาแล้วว่าการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ก่อนไม่ทำให้โรคมะเร็งลุกลามมากขึ้นเนื่องจากใช้เวลาที่สั้นมาก” ทั้งนี้ ระยะเวลาหลังจากการรักษามะเร็งและตัวโรคสงบแล้วจนถึงเริ่มตั้งครรภ์ได้ จะขึ้นกับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค เช่น มะเร็งเต้านมใช้เวลา 2-5 ปี แต่ถ้ามะเร็งอื่นๆ อาจจะเร็วกว่านั้นได้ ขึ้นอยู่กับการประเมินผู้ป่วยในแต่ละราย
“มะเร็ง” หนึ่งในสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก?
ถามว่า การป่วยเป็นมะเร็งมีความเกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบกับการมีบุตรยากหรือไม่? อย่างไร?
![]()
พญ.กตัญญุตา ขยายความเพิ่มเติมว่า กรณีของภาวะผู้มีบุตรยากเกิดได้จากหลายสาเหตุ ในฝ่ายหญิงเกิดจากการทำงานของรังไข่ไม่ปกติ เช่น ท่อนำไข่ตันไม่สามารถทำให้อสุจิกับไข่พบกันได้ การทำงานของรังไข่ที่ผิดปกติ ไม่ตกไข่ หรือ มีปัญหาเรื่องของโพรงมดลูก ไม่ว่าจะเป็นการพบก้อนเนื้อหรือติ่งเนื้อ ส่วนฝ่ายชายส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานผิดปกติของอสุจิ ตัวอสุจิน้อย หรือไม่แข็งแรง และอีก 30% ไม่ทราบสาเหตุ
“การป่วยมะเร็งสามารถส่งผลกระทบกับการมีบุตรยากได้ใน 2 กรณีที่ 1 เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ในตัวโรคอาจทำให้สุขภาพโดยรวมเสื่อมลง และส่งผลต่อภาวะการเจริญพันธุ์ด้วย กรณีที่ 2 จากการรักษามะเร็ง ไม่ว่าจะโดยการผ่าตัด โดยเฉพาะรายที่เป็นการผ่าตัดในอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งหญิงและชาย และรวมถึงการให้ยาเคมีบำบัดหรือการฉายแสง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฉายแสงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ หรือ ช่วงอุ้งเชิงกราน จะทำลายเซลล์สืบพันธุ์ อาจส่งผลให้เซลล์สืบพันธุ์มีปริมาณลดน้อยลง มีคุณภาพเสื่อมถอยลง หรือไม่สามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้”
การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในผู้ป่วยมีบุตร
การใช้เทคโนโลยีในห้องปฏิบัติการจึงมีส่วนสำคัญในการช่วยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มผู้มีบุตรยากให้ตั้งครรภ์ได้สำเร็จมากขึ้น ได้แก่ “การฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก” (IUI) โดยการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก จากนั้นฉีดน้ำเชื้อของฝ่ายชายที่ผ่านการเตรียมอสุจิ ส่งเข้าไปในโพรงมดลูกจะช่วยอัตราการตั้งครรภ์ได้มากกว่าการตั้งครรภ์ปกติ ในคู่สมรสที่ท่อนำไข่ปกติและอสุจิอยู่ในเกณ์ดี
อีกวิธีหนึ่งคือ “การทำเด็กหลอดแก้ว” (IVF/ICSI) หรือที่เรารู้จักในชื่อ “อิ๊กซี” คือการกระตุ้นไข่ฝ่ายหญิงให้ได้ไข่หลายใบ และใช้เข็มเจาะในช่องคลอดนำมาผสมกับอสุจิในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นจะเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงวันที่ 5 หรือ 6 แล้วแช่แข็งไว้ก่อน เมื่อพร้อมที่จะตั้งครรภ์จะย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก ทำให้อัตราความสำเร็จสูงขึ้นในกลุ่มผู้มีภาวะการมีบุตรยาก ไม่ว่าจะเป็นการทำเด็กหลอดแก้ว หรือการแช่แข็งเซลล์สืบพันธุ์ ทางศูนย์รักษาภาวะการเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ นำมาช่วยในผู้ป่วยมะเร็งให้สามารถมีบุตรได้เช่นกัน เพราะการใช้เทคโนโลยีที่มีมาตรฐานและมีการศึกษาชัดเจนจะช่วยให้ผู้ป่วยตั้งครรภ์ได้สำเร็จเพิ่มขึ้น
ภายใต้การทำงานของแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยทีมแพทย์หลักในการรักษาผู้ป่วยมีบุตรยากจะเป็นสูตินรีแพทย์ด้านเวชศาสตร์เจริญพันธุ์ ที่ทำงานร่วมกันกับแพทย์ในสาขาต่างๆ เช่นกับแพทย์ด้านการรักษามะเร็งต่างๆ ดูแลในส่วนของการรักษากระทั่งประเมินว่าโรคสงบและสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ จะส่งตัวมาที่สูตินรีแพทย์ด้านเวชศาสตร์เจริญพันธุ์ และหลังจากตั้งครรภ์แล้วจะมีสูตินรีแพทย์ด้านมารดาและทารกในครรภ์ช่วยดูแลต่อเนื่องไปกระทั่งคลอดบุตร
ร่วมด้วยช่วยกัน แก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย
![]()
ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาเด็กเกิดน้อยลง ซึ่งในปีที่ผ่านมาพบว่ามีอัตราการเกิดต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นปีแรก ขณะที่ประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
พญ.กตัญญุตา กล่าวอีกว่า ทางโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย ด้วยการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดเชื้อในโพรงมดลูก หรือการทำเด็กหลอดแก้ว เพื่อเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์และเพิ่มอัตราการเกิดให้มากขึ้น ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการรักษาภาวะการมีบุตรยาก โดยปีนี้ให้บริการเป็นปีที่ 3 มีผู้เข้ามารับบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเทียบกับปีแรกเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
นอกจากการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากแล้ว ที่ศูนย์รักษาภาวะการเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ยังให้บริการตั้งแต่ตรวจความพร้อมก่อนแต่งงาน ตรวจความพร้อมก่อนมีลูก รักษาและหาสาเหตุของคู่สมรสที่มีภาวะมีบุตรยากโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ การให้บริการแช่แข็งเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งไม่ได้ให้บริการเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งเท่านั้น แต่รวมถึงในคนไข้ทั่วไปด้วย เช่น ในสตรีที่มีแผนจะมีบุตรในอนาคต หรือกังวลว่าเซลล์ไข่จะลดน้อยลงก็สามารถเข้ามาขอรับคำปรึกษาได้เช่นกัน ติดต่อสอบถามนัดหมายรับคำปรึกษา ศูนย์สุขภาพชั้น 9 อาคารอัครราชกุมารี หรือ ชั้น 2 โซนโถงลิฟต์ A อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โทร 1118 ต่อ 6565 / 5266-7 หรือแอดไลน์โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (LINE Official @chulabhornhospital) เลือกเมนูบริการผู้ป่วย และเลือกทำนัด/เลื่อนนัด แล้วเลือก LINE ศูนย์รักษาภาวะการเจริญพันธุ์ เพื่อแชทปรึกษานัดหมายกับทางศูนย์รักษาภาวะการเจริญพันธุ์
เพราะ “ตับ” เปรียบเสมือนหัวใจที่ 2 ของร่างกาย เป็นศูนย์กลางการทำงานของร่างกายและต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา หากสุขภาพตับไม่ดี สุขภาพของเราก็จะไม่ดีตามไปด้วย
จากกรณีศึกษาขององค์กรด้านการแพทย์และสุขภาพในปัจจุบัน ค้นพบดัชนีด้านสุขภาพและสุขภาวะของคนไทยที่เปลี่ยนไปและอยู่ในเกณฑ์ที่น่ากังวล ข้อมูลจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า “ประชากรไทยกว่า 71 ล้านคน มีผู้ที่ป่วยเป็นไขมันพอกตับโดยไม่รู้ตัว สูงถึง 25-30% หรือราวๆ 1 ใน 3 ของประชากรทั่วประเทศ ส่งผลให้หลายคนต้องเผชิญกับภัยร้ายจากโรคตับ” สอดคล้องกับข้อมูลทางสถิติ โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. พบว่า “มะเร็งตับ กลายเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย และมีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 16,000 คนต่อปี” ซึ่งพบว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่สนใจต่อ “สุขภาพตับ” ปล่อยให้ตับพังขาดการดูแล อันมาจากหลายปัจจัย เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง การกินอาหารที่มีรสหวานและน้ำตาลสูง การกินอาหารที่มากเกินความต้องการของร่างกายจนเกิดภาวะอ้วน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และได้รับควันบุหรี่มือสองอย่างเป็นประจำ จากลักษณะดังกล่าว คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีข้อสรุปจากงานวิจัยพบว่า “ผู้ที่เป็นมะเร็งตับ ส่วนใหญ่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงสูงถึง 2-5 เท่า ซึ่งมาจากการขาดวินัยในการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง”
![]()
พญ.ณัฐธิดา ศรีบัวทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ได้แชร์ความรู้เรื่องของสุขภาพตับและระดับอาการของโรคตับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ “โรคตับเป็นโรคที่พบมากขึ้นกับคนไข้ในปัจจุบัน อาการป่วยที่เกี่ยวกับโรคของตับมีอยู่หลายระดับ ซึ่งผู้ป่วยบางรายแทบไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวช้าในตอนที่ร่างกายทรุดหนักแล้ว ซึ่งบางเคสก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง โดยคนปกติที่มี ‘สุขภาพตับดี’ ตับจะมีผิวเรียบ สีชมพู และไม่มีแผลเป็น ซึ่งเมื่อมีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับ จุดนี้จะถือว่า เข้าสู่ภาวะ ‘ไขมันพอกตับ’ จากนั้น หากยังไม่ดูแลสุขภาพหรือได้รับการรักษา จนมีการอักเสบและก่อให้เกิดพังผืด ไปสู่เนื้อเยื่อตับสูญเสียหน้าที่ถาวร ถือว่าเข้ามาสู่ภาวะ ‘ตับอักเสบ’ และหนักไปกว่านั้น เมื่อตับมีลักษณะขรุขระเต็มไปด้วยปุ่ม เซลล์ตับได้ถูกทำลาย นี่คืออาการของภาวะ ‘ตับแข็ง’ และเคสที่หนักที่สุดคือ ‘มะเร็งตับ’ เซลล์ตับมีการแบ่งตัวและ เพิ่มจำนวนอย่างผิดปกติ ทำให้การรักษาผู้ป่วยนั้นเป็นไปได้ยาก ยิ่งสุขภาพตับพังมากเท่าไหร่ เมื่อได้รับการฟื้นฟูช้า ก็ทำให้การรักษาเป็นสิ่งที่หมอต้องทำการบ้านอย่างหนักมากขึ้น ทางที่ดีอยากให้ผู้ที่มีร่างกายปกติและผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับหันมาดูแลสุขภาพของตนเอง รวมถึงหมั่นตรวจสุขภาพร่างกายและตับอย่างเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อทราบแนวทางดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงยาวนาน”
“นิวทริไลท์” จาก แอมเวย์ ผู้นำตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดูแลผู้คนทั่วโลกมา 90 ปี ตระหนักและพร้อมผลักดันให้ผู้คนได้มีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี ได้เล็งเห็นถึงปัญหาสุขภาพตับของประชากรไทยที่ต้องเผชิญ จึงขอแนะนำวิธีดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคตับภัยร้ายใกล้ตัว มีทั้งหมด 7 ข้อ ดังนี้
1. เลือกรับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและอาหารปรุงแต่ง
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4. หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง รวมถึงอาหารเสริมที่ไม่มีแหล่งที่น่าเชื่อถือมากพอ
5. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารหวาน การกินอาหารที่มากเกินความต้องการของร่างกาย
6. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี โดยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น
7. เลือกกินอาหารหรือสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการดูแลตับ เช่น ‘สารสกัดจากบรอกโคลี’ ‘สารสกัดจาก ชะเอมเทศ’ และ ‘สารสกัดจากเมล็ดองุ่น’ ที่มีส่วนช่วยกำจัดสารพิษ ช่วยลดการอักเสบและการเกิดพังผืด ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินของเซลล์ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเซลล์ตับจากการถูกทำลาย รวมถึง ‘เลซิติน’ ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในไข่แดง ถั่ว ถั่วเหลือง นม เมล็ดทานตะวัน ตับ เนื้อสัตว์ บริวเวอร์ยีสต์ และอื่นๆ มีส่วนช่วยในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต และมีส่วนช่วยในการลดการอักเสบของตับจากไขมันพอกตับได้
![]()
ทั้งนี้ การดูแลสุขภาพและสุขภาวะให้เกิดบาลานซ์ที่ดี เริ่มตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวัน การเคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกาย การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม ควบคู่การทานวิตามินหรือผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารที่มีคุณภาพและจำเป็นต่อร่างกาย จะทำให้ทุกคนมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ห่างไกลจากโรคร้ายอย่างปัญหาไขมันพอกตับและปัญหาที่มาจากโรคของตับได้ไม่ยาก