ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย จับมือพันธมิตรเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโครงการจัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคม (Inclusive Sourcing Program) เป็นปีที่ 11 มอบโอกาสที่เท่าเทียมทางอาชีพให้แก่ผู้ขาดโอกาสทางสังคม มุ่งเน้นการกระจายโอกาสในการทำงาน การสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้กับกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชน พร้อมจัดงาน “Partnership Day” มอบรางวัลยกย่องพันธมิตรทั้งเก่าและใหม่ ที่ร่วมกันดำเนินโครงการอย่างเต็มกำลัง
และมุ่งขยายโครงการฯ ไปยังพันธมิตรทางธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ผู้ขาดโอกาสเพิ่มขึ้นในประเทศไทย นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการอัปเดตการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายในประเทศ ตามวิสัยทัศน์ L’Oréal For The Future ที่มุ่งเร่งเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้คำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก และร่วมแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วนโดยทีมงานลอรีอัลด้วยเช่นกัน
นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชากล่าวว่า “ในฐานะบริษัทผู้นำด้านความงามระดับโลกที่มีเป้าหมายในการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ลอรีอัล ให้ความสำคัญในการทำงานที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในทุกชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจไปพร้อมๆ กับการเติบโตทางธุรกิจ นอกจากนั้น เรายังตระหนักดีถึงความหนักหนาของปัญหาที่โลกและสังคมกำลังเผชิญ และความจำเป็นที่ทุกๆ ฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนร่วม เราจึงมุ่งส่งเสริมให้พันธมิตรทางธุรกิจของเรา ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสให้กลุ่มคนที่ขาดโอกาสทางสังคมผ่านโครงการจัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคม (Inclusive Sourcing Program) ซึ่งถือเป็นหนึ่งโครงการสำคัญ โดยลอรีอัล กรุ๊ป ได้ตั้งเป้าในการช่วยผู้ขาดโอกาสทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คนภายในปี 2030”
จากเป้าหมายของลอรีอัล กรุ๊ปในการช่วยผู้ขาดโอกาสทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คนภายในปี 2030 นั้น ในปี 2023 ได้ดำเนินโครงการไปแล้วทั้งสิ้น 429 โครงการครอบคลุมพื้นที่ 1,069 แห่งใน 67 ประเทศ และช่วยให้คนกว่า 93,165 คนให้สามารถเข้าถึงงานได้ โดยการทำงานครอบคลุมทั้งในด้าน การจ้างงานผู้ขาดโอกาส และการจัดซื้อวัตถุดิบจากชุมชน ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการ Inclusive Sourcing และการให้โอกาสทางอาชีพผ่านการอบรบทักษะอาชีพเสริมสวยภายใต้โครงการ Beauty for a Better Life
“ในส่วนของลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทยนั้น เริ่มดำเนินโครงการ Inclusive Sourcing จัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคมมาตั้งแต่ปี 2014 จากจุดเริ่มต้นที่มีผู้ขาดโอกาสทางสังคมที่ได้รับประโยชน์ผ่านโครงการนี้ 6 คนในปีแรก มาเป็น 234 คนในปี 2024 และยังมีการขยายโครงการในการสร้างรายได้ให้บริษัทรายเล็กกลุ่ม SMEs และบริษัทสตรีเป็นเจ้าของ เรายังคงมุ่งหน้าผลักดันความร่วมมือกับพันธมิตรของเรา พร้อมกับการมองหาพันธมิตรใหม่ที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการเส้นทางการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ตามพันธกิจเพื่อความยั่งยืนของเรา พันธมิตรทางธุรกิจคือกุญแจความสำเร็จในการดำเนินโครงการนี้ของเรา Partnership Day ถือเป็นวันสำคัญที่ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย จัดขึ้นตั้งแต่ปี 2016 เพื่อเชิดชูเกียรติพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นร่วมกัน ในการขับเคลื่อนสังคมอย่างยั่งยืน” นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา กล่าวเสริม
ในปีนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ได้มอบรางวัลยกย่องพันธมิตรทั้งเก่าและใหม่ ที่ร่วมกันดำเนินโครงการอย่างเต็มกำลัง พันธมิตรประเภท Silver ได้แก่ บริษัท ฟรองค์ อินเตอร์เทรด จำกัด, พันธมิตรประเภท Gold ได้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.ที.รีแพ็ค และพันธมิตรประเภท Platinum ได้แก่ บริษัท พีเอ็มจี อินทิเกรทเต็ด คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด และยังได้ต้อนรับบริษัท SMEs และบริษัทที่มีสตรีเป็นเจ้าของที่ได้รับโอกาสการจ้างงานจากบริษัทฯ และในเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
นอกจากการมอบรางวัลยกย่องพันธมิตรแล้ว ลอรีอัล กรุ๊ปยังอัปเดตการดำเนินการตามวิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืน L’Oréal For The Future ซึ่งมีการดำเนินงานจริงจังในหลากหลายมิติ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกรุ๊ป ครอบคลุมในเรื่องของการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Fighting Climate Change), การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (Manage Water Sustainably), เคารพความหลากหลายทางชีวภาพ (Respecting Biodiversity) และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (Preserving Natural Resources) โดยในส่วนของลอรีอัล ประเทศไทยนั้น มีการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การเริ่มนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) มาใช้สำหรับการขนส่งสินค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการใช้มาตรการเข้มงวดในการลดการขนส่งสินค้าทางอากาศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ อันเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการทำงานในด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
ภายในงาน ลอรีอัล ยังได้เสริมความเข้าใจร่วมกันในเป้าหมายด้านความยั่งยืนภายใต้ L’Oréal For The Future โดยเน้นในการทำงานในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางพันธมิตร เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปตามเป้าหมายด้านความยั่งยืน อาทิ การออกแบบและสร้างจุดวางสินค้าและร้านค้าบนหลักการความยั่งยืนที่คำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลหรือสามารถนำไปรีไซเคิลได้เมื่อสิ้นอายุการใช้งาน การจัดงานอีเว้นท์ที่คำนึงถึงการใช้วัสดุและการลดขยะสิ้นเปลือง การทำการสื่อสารการตลาดบนกล่องบรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
ททท. ร่วมกับเคทีซีส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สนับสนุนโรงแรมและรีสอร์ตที่ผ่านมาตรฐานโครงการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) กว่า 900 แห่งทั่วประเทศไทย ด้วยการออกแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวช่วงกรีนซีซั่น รวมถึงเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวรับรู้ถึงเป้าหมายของภาครัฐเรื่องการยกระดับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Tourism Goals (STGS) และเข้าร่วมใช้งานแพลตฟอร์ม CF-Hotels เพื่อจัดเก็บข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Tourism รองรับเทรนด์โลกที่นักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการสถานประกอบการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย ว่า ททท. ร่วมมือกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางและใช้จ่ายในช่วงกรีน ซีซั่น รวมถึงส่งเสริมการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการที่พักที่ใส่ใจการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ททท. ในฐานะผู้นำด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวมีภารกิจโดยตรงในการส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทย มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน มีความยินดีอย่างยิ่งที่เคทีซี ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชน มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และเห็นความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมจัดแคมเปญนี้ร่วมกัน ถือเป็นการนำเครื่องมือทางการตลาดมาใช้ในการขับเคลื่อนมิติด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมเดินทางท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ รวมถึงการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ากับคนที่คุณรักอย่างทั่วถึง ตามสโลแกน “สุขทันที ที่เที่ยวไทย” ของ ททท.
นางสาวปริม ปัญญาเสรีพร ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีได้กำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจนในเรื่องการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้สมาชิกได้ท่องเที่ยวอย่างมีความหมายและตระหนักถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีเมื่อใช้จ่ายที่โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) กว่า 900 แห่ง ได้แก่ 1) รับส่วนลดสูงสุด 55% โดยไม่ต้องใช้คะแนน สำหรับค่าห้องพัก และค่าอาหาร-เครื่องดื่ม ที่โรงแรมและรีสอร์ตที่เข้าร่วมรายการ และ 2) แลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 13% ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2568 นอกจากนี้ เมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ครบทุก 1,000 บาท ณ โรงแรมที่ร่วมรายการ รับ 1 สิทธิ์ลุ้นรับบัตรกำนัลห้องพัก 10 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 128,000 บาท (จำกัด 10 สิทธิ์ ต่อท่าน ต่อวัน) ลงทะเบียนครั้งเดียวรับสิทธิ์ลุ้นตลอดรายการ ระหว่างวันที่
15 สิงหาคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/hotel-resort/domestic-hotel/greenhotels
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตาม โปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำโดยนางสาววิสาขา จันทกิจ ผู้จัดการฝ่ายการพัฒนาความยั่งยืนและกิจกรรมเพื่อสังคม (คนซ้าย) และนางสาวพรภัสรา เอกกุล ผู้จัดการแผนกฝ่ายการพัฒนาความยั่งยืน (คนขวา) ร่วมงานเปิดตัว Thailand Mangrove Alliance ภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย โดยมี ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (กลาง) ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ไทยยูเนี่ยน เป็นหนึ่งสมาชิกภาคี ที่ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ป่าชายเลนเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่มีคุณค่าทางชีวภาพมากที่สุดในโลก เพื่อตอบโจทย์การเดินหน้าบรรลุเป้าหมายตามพันธกิจการฟื้นฟูระบบนิเวศภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน Seachange® 2030 ของไทยยูเนี่ยนผ่านการร่วมมือในครั้งนี้
มนุษยชาติเผาผลาญทรัพยากรที่โลกผลิตได้ของปีนี้หมดแล้วในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 โดยเครือข่ายรอยเท้านิเวศโลก หรือ Global Footprint Network (GFN) กำหนดวัน Earth Overshoot Day เพื่อสร้างความตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดในแต่ละปี ซึ่งปีนี้ GFN คำนวณว่าต้องใช้โลกถึง 1.75 ใบ เพื่อรองรับความต้องการของประชากรทั่วโลก
ทรู คอร์ปอเรชั่น ชวนคืนสมดุลทรัพยากร เลื่อนวันหนี้นิเวศโลก คืนทรัพยากรในอนาคตที่หยิบยืมจากคนรุ่นหลัง กับ 3 ตัวอย่างใกล้ตัวที่ทำได้ทันที
ที่ผ่านมาทรู คอร์ปอเรชั่น ลดการใช้ถุงพลาสติกไปแล้วกว่า 356,650 ใบ จากการใช้บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ในการให้บริการลูกค้าที่ทรูช้อป ทรูสเฟียร์ และศูนย์บริการดีแทค รวมถึงลดการใช้ขวดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use) ได้ 1,017,673 ขวด เพื่อรักษามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีและร่วมกันลดขยะพลาสติกสำหรับคนทรู
แคมเปญ ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ รวบรวมมือถือและอุปกรณ์ IT ขนาดเล็กมากกว่า 2 ล้านเครื่อง เพื่อนำเข้าสู่ระบบรีไซเคิลตามมาตรฐานสากล ไม่ฝังกลบ 100% นอกจากนี้ ยังรวบรวมมือถืออีก 30,000 เครื่อง จากแคมเปญการตลาดที่เชิญชวนให้ลูกค้านำโทรศัพท์มือถือเก่ามาแลกซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่ เพื่อเพิ่มการใช้งานมือถือเครื่องเก่าด้วยการหมุนเวียนและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100%
ศูนย์บริการลูกค้าทรูและดีแทคเปลี่ยนเอกสารสู่ดิจิทัล “เลิกใช้กระดาษ 100%” และลดกระดาษได้มากกว่า 255 ล้านแผ่นจากการเปลี่ยนมาใช้ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bill, e-Tax) คิดเป็นน้ำหนักราว 1,278,754 กก. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 2,688 tonCO2e
นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องเพียงเล็กน้อยจากการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี การลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนชะลอลงตามการอนุมัติงบประมาณของภาครัฐที่มีความล่าช้าและการส่งออกที่ฟื้นตัวช้า สำหรับเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น การลงทุนภายในประเทศและการลงทุนจากต่างประเทศที่ขยายตัวดีขึ้น
กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังคงให้ความสำคัญกับ Sustainable Banking เพื่อมุ่งสู่ การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการดำเนินงานของธุรกิจธนาคาร รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการปรับตัว สำหรับธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของธนาคารแห่งประเทศไทย และปี 2567 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงาน โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมมาภิบาล (ESG100) เป็นปีที่ 9 รวมทั้งได้รับการคัดเลือกให้อยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 โดยสถาบันไทยพัฒน์
ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีกำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 1,990 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหลักๆ เป็นผลจากเงินปันผลที่ลดลงเนื่องจากกลุ่มธุรกิจทางการเงินยังคงลดพอร์ตการลงทุน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ครึ่งแรกของปี 2567 เติบโตได้ดีผ่านการขยายฐานสินเชื่อลูกค้าทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ ทั้งช่องทางดิจิทัลและพันธมิตรทางธุรกิจ ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 846 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลจากเงินปันผลที่ลดลง สินเชื่อเติบโตร้อยละ 8.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 หลักๆ เป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อธุรกิจและกลุ่มลูกค้าไต้หวัน และสินเชื่อกลุ่มลูกค้าไต้หวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ผ่านเครือข่ายของ CTBC Bank ธนาคารเอกชนอันดับ 1 ของไต้หวัน ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มธุรกิจ และ Trade Finance เติบโตร้อยละ 19 ทั้งนี้ ธนาคารคุม NPL ให้อยู่ที่ร้อยละ 3 รวมทั้งได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญอย่างระมัดระวังโดย NPL Coverage อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 188 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
ด้านเงินฝาก ธนาคารได้ขยายฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผ่านช่องทาง Digital Banking และออกผลิตภัณฑ์เงินฝากต่างๆ เช่น เงินฝากบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัล B-You Wealth ดอกเบี้ยสูงสุด 5.55% แคมเปญผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล รับฟรี บัตรแรบบิท LH Bank Success Infinite Prestige Collection แคมเปญผลิตภัณฑ์เงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) และผลิตภัณฑ์ LH Bank Health Care Saving รวมถึงบัญชีออมทรัพย์เพื่อธุรกิจอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได
ทิศทางธุรกิจครึ่งหลังของปี 2567 ธนาคารยังคงเน้นขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยและขับเคลื่อน การเติบโตกลุ่มลูกค้า SMEs ธนาคารได้พัฒนาระบบ Corporate E-Banking และ Mobile Banking เพื่อให้บริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อให้รวดเร็ว และเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน (Sustainable Banking) ที่ดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม และล่าสุดธนาคารได้จับมือเป็นพันธมิตรกับสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ “EEI” และอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ “MASCI” รวมถึงบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด “ABEAM” บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจชั้นนำระดับโลก เพื่อดำเนินโครงการเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ประกอบการ (Green Transition Advisory Loan) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม SMEs ไทยให้สามารถปรับตัวอย่างยั่งยืน
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทได้ปรับลักษณะการดำเนินการในการบริหารกองทุน โดยเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับเปลี่ยนกองทุนหลัก ( Master Fund ) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดและ เพิ่มโอกาสในการสร้างผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิม ส่วนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องโดยเฉพาะ REIT ประเภทโรงแรมและพื้นที่ค้าปลีก ได้แก่ LHHOTEL, LHSC และ QHHRREIT ที่ได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
กลยุทธ์ครึ่งหลังของปี 2567 บริษัทยังคงขยายฐานลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล รวมทั้งขยายฐานลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การจัดการ รวมถึงให้ความสำคัญในด้าน ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับกองทุนรวมและนักลงทุน สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทได้รับ ความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องส่งผลธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทได้ พัฒนาระบบ Life Path เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนได้แบบอัตโนมัติ
นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) 6 เดือนแรกของปี 2567 ปรับตัวลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 มาอยู่ที่ 1,300.96 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่อง มียอดขายสุทธิ 115,983 ล้านบาท โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,238 ล้านบาท ลดลง 22.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยลบที่กดดันดัชนี เช่น ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศและต่างประเทศ และท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น
ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 158.8 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 หลักๆ มาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงอย่างมากตามปริมาณ การซื้อขายของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงถึง 22.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 3 บริษัทจะเปิดให้บริการธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor : FA) เพื่อต่อยอดการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างครบวงจร รวมทั้งได้พัฒนาบริการด้านระบบเทคโนโลยีผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อสร้าง Engagement ของลูกค้า รวมทั้ง การบริหารต้นทุนอย่างเหมาะสมท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนและมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลง