December 05, 2025

เกาะสมุย ประเทศไทย: ตลาดโรงแรมและการท่องเที่ยวของเกาะสมุยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ขับเคลื่อนด้วยจำนวนผู้โดยสารทางอากาศและเรือสำราญที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวชี้วัดด้านผลประกอบการโรงแรมที่คงที่ และนักเดินทางจากยุโรปที่เดินทางเข้ามายังเกาะสมุย

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 สนามบินนานาชาติสมุยมีจำนวนผู้โดยสารขาเข้ารวมทั้งสิ้น 1,127,832 คน เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยตัวเลขนี้ยังต่อเนื่องจากแนวโน้มเชิงบวกของปี 2567 ซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารทางอากาศรวมตลอดปีสูงถึง 2.78 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 21% และมากกว่าระดับก่อนการเกิดโรคระบาดในปี 2562 ตามรายงาน Samui Hotel & Tourism Market Review 2568 ล่าสุดจาก C9 Hotelworks

ด้านการท่องเที่ยวทางเรือสำราญก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตโดยรวม โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 นี้ เกาะสมุยได้ต้อนรับเรือสำราญจำนวน 35 ลำ และผู้โดยสารรวม 65,792 คน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบปีต่อปี สำหรับปี 2567 ที่ผ่านมา สมุยรองรับเรือสำราญจำนวน 50 ลำ ซึ่งเกือบเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนหน้า

 

Bill Barnett กรรมการผู้จัดการของ C9 Hotelworks กล่าวว่า “เกาะสมุยกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวสายสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กำลังเปลี่ยนโฉมภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวบนเกาะ รีสอร์ตอย่าง Kamalaya ยังคงเป็นผู้นำในการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีนักเดินทาง เดินทางตลอดทั้งปีและมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยที่ยาวนานกว่า นักท่องเที่ยวสายสุขภาพกำลังเป็นกระแสที่เติบโตทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยโดยเฉพาะเกาะสมุย กำลังได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากแนวโน้มนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีมูลค่าสูงในภาคธุรกิจการบริการ”

ภาคธุรกิจโรงแรมยังคงแสดงศักยภาพที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการเข้าพักพุ่งสูงสุดในเดือนมกราคม 2568 เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีการชะลอตัวเล็กน้อยในไตรมาสแรกซึ่งตรงกับช่วงตรุษจีน แต่อัตราการเข้าพักตลอดปี 2567 ยังคงเพิ่มขึ้นถึง 12% เมื่อเทียบกับปี 2566 ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อห้องพักต่อวัน (Average Daily Rate – ADR) ยังคงขยับสูงขึ้น โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบรายปี และในเดือนเมษายน 2568 มีอัตราการเติบโตโดดเด่นถึง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

คุณ Jesper Palmqvist ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ STR กล่าวว่า “ผลประกอบการของโรงแรมในเกาะสมุยช่วงต้นปี 2568 สะท้อนถึงแนวโน้มที่มั่นคงและน่าพอใจ เราเห็นการเติบโตที่มีนัยสำคัญทั้งในด้านอัตราการเข้าพัก และค่าเฉลี่ยรายได้ต่อห้องพักต่อวัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความต้องการที่ต่อเนื่องจากตลาดและสภาพแวดล้อมด้านราคาที่เป็นบวก ตลาดโรงแรมไม่ได้แค่ฟื้นตัวเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงเชิงโครงสร้างที่เริ่มเกิดขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักคือการเติบโตของโรงแรม และการเชื่อมต่อกับตลาดต่างประเทศที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย”

ยุโรปยังคงเป็นภูมิภาคต้นทางหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 56% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2567

นักเดินทางจากเยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญในกลุ่มนี้ โดยการเติบโตของตลาดยุโรปได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงโค้ดแชร์ (Codeshare agreement) ที่ขยายตัวระหว่างสายการบินบางกอกแอร์เวย์สและสายการบินระหว่างประเทศกว่า 30 สายอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มการเดินทางทางอากาศคือบริการของสายการบิน Scoot (ภายใต้เครือ Singapore Airlines) ซึ่งนอกจากจะเชื่อมต่อผู้โดยสารในภูมิภาคแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักเดินทางระยะไกลสามารถต่อเครื่องได้สะดวกผ่าน SQ’s Lion City hub ฮับหลักของ Singapore Airlines ที่สิงคโปร์

Remko Kroesen ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคของบันยันทรี สมุย และบันยันทรี กระบี่ กล่าวว่า “ตลาดการเดินทางระยะไกลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เรามุ่งเน้น และเราดีใจมากที่เห็นความพยายามของเรา ส่งผลลัพธ์ที่ชัดเจน”

แนวโน้มการพัฒนาโรงแรมในเกาะสมุยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงต่อเนื่อง ปัจจุบัน เกาะสมุยมีผู้ประกอบการที่พักจดทะเบียนทั้งหมด 634 แห่ง รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 24,188 ห้อง แม้ว่าอุปทานโดยรวมจะคงที่ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ในช่วง 5 ปีอยู่ที่ 1% แต่ก็มีโรงแรมแบรนด์ระดับสากลหลายแห่งเตรียมเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ Nivata Koh Samui (ภายใต้แบรนด์ Tapestry Collection by Hilton ซึ่งมีกำหนดเปิดไตรมาส 4 ปี 2568) และ SO/ by Sofitel รวมถึง Fivelements Samui ซึ่งคาดว่าจะเปิดในปี 2569

Thansita Sirapastuwanon ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โรงแรม Centara Reserve Samui กล่าวว่า “วิกฤตการแพร่ระบาดทำให้เราต้องนิยามคำว่าหรูหราใหม่ ผ่านมุมมองด้านความปลอดภัย ความยั่งยืน และนวัตกรรม เมื่อการเดินทางกลับมาฟื้นตัว เราเห็นความต้องการจากทั้งตลาดดั้งเดิมและตลาดเกิดใหม่ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เกาะสมุยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับชั้นนำและหรูหรา”

เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มตลอดช่วงที่เหลือของปี คุณ Bill Barnett จาก C9 Hotelworks แสดงความเชื่อมั่นเชิงบวกว่า “หากไม่มีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบ ความต้องการเดินทางที่ยังคงแข็งแกร่งจากทั้งตลาดยุโรปและเอเชีย ผนวกกับจำนวนโรงแรมใหม่ที่ยังมีจำกัด และการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยว อัตราการเข้าพัก และราคาห้องพักในเกาะสมุยเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้”

 

 บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง (Blue Ocean Plastic Recycling) สตาร์ตอัปด้านการจัดเก็บและรีไซเคิลขยะพลาสติกในทะเลเดินหน้าโครงการรีไซเคิลที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนบนเกาะสมุย เพื่อต่อสู้กับขยะพลาสติกในทะเลและตามแนวชายฝั่งควบคู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อประโยชน์ของชุมชนและธุรกิจในท้องถิ่น

โครงการนี้ทำงานร่วมกับพันธมิตร ไทด์ โอเชียน แมทีเรียล (Tide Ocean Material) เพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกที่มีการจัดเก็บมาเป็นพลาสติกรีไซเคิลที่ได้รับการรับรองด้านความยั่งยืน (sustainability-certified recycled plastic) ซึ่งนำไปใช้ผลิตสินค้าได้หลากหลายประเภท และสามารถตรวจสอบย้อนกลับเพื่อติดตามประวัติของผลิตภัณฑ์ได้ทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า เริ่มตั้งแต่คนเก็บขยะ คนรวบรวมขยะ ไปจนถึงบริษัทหรือแบรนด์ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ทั้งนี้ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ระบุว่า กระบวนการทั้งหมดควรได้รับการรับรองและตรวจสอบโดยองค์กรที่เป็นบุคคลที่ 3 เช่นเดียวกับโครงการที่เราได้ดำเนินไปแล้วในจังหวัดระนอง เพื่อให้มั่นใจว่าพลาสติกรีไซเคิลที่ผลิตได้นั้นมาจากการจัดเก็บขยะพลาสติกตามแนวทางที่ยั่งยืนและก่อเกิดเป็นรายได้กลับคืนสู่ชุมชนโดยตรง

ดร. มิเชล พาร์โดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ขึ้นในปี 2565 กล่าวว่า “โครงการรีไซเคิลแบบดั้งเดิมมักมองข้ามประเด็นของชุมชนและความโปร่งใส เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับเพื่อติดตามขยะพลาสติกหลังจากถูกขายให้กับโรงงานรีไซเคิล”

“บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง และพันธมิตรได้ร่วมกันปรับเปลี่ยนกระบวนการ โดยเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดเก็บขยะไปจนถึงการเปลี่ยนเป็นพลาสติก รีไซเคิล ผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชนต้นทาง ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงการรีไซเคิลขยะพลาสติกที่ยั่งยืนในระยะยาว ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการทำงานของโครงการ แสดงความเห็นเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น จุดรวบรวมขยะในโรงเรียนและที่ตั้งของศูนย์รับขยะรอบเกาะ และตระหนักว่า บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง จะส่งมอบประโยชน์เชิงเศรษฐกิจโดยตรงต่อชุมชนได้อย่างไร” ดร. มิเชล กล่าว

บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากความสำเร็จของ โครงการวิสาหกิจชุมชนรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม จังหวัดระนอง (Ranong Recycle for Environment) ที่ได้รับการรับรองด้านขยะพลาสติกในทะเลจาก Ocean Bound Plastic และทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นชาวมอแกนที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับท้องทะเล

เซคเคินด์มิวส์ (SecondMuse) ซึ่งเป็นบริษัทที่ส่งเสริมผลกระทบเชิงบวกและนวัตกรรม ระบุว่า โครงการในจังหวัดระนอง เป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานของ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ในการดำเนินโครงการลักษณะเดียวกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านของชุมชนต่าง ๆ บนเกาะสมุย

นางสาว ซาราห์ ฟาน บูคเคาท์ ผู้จัดการโครงการเซคเคินด์มิวส์ กล่าวว่า “โครงการวิสาหกิจชุมชนรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมจังหวัดระนอง เป็นโมเดลที่แปลกใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางในภาคใต้ของไทย และการลดจำนวนพลาสติกที่รั่วไหลออกไปสู่สิ่งแวดล้อม เราประทับใจมากที่โครงการนี้ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชน โดยสนับสนุนให้ทุกคนเป็นผู้จัดเก็บขยะในห่วงโซ่อุปทานของพลาสติกรีไซเคิลแบบองค์รวม และเมื่อบลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง เสนอแผนงานการขยายโครงการสู่เกาะสมุย เราจึงรู้สึกยินดีและพร้อมให้การสนับสนุน”

ระหว่างปี 2562-2565 สมาชิกเก็บขยะของวิสาหกิจชุมชนรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมจังหวัดระนอง ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งและเกาะต่าง ๆ ได้เก็บขยะในทะเลและนำมารีไซเคิลแล้วเป็นจำนวนกว่า 422 ตัน โดยกว่า

70% ของกำไรจากการดำเนินโครงการได้รับการส่งมอบกลับคืนสู่ชุมชนในรูปแบบของโครงการด้านการศึกษาตามโรงเรียนต่าง ๆ รวมถึงสวัสดิการทางสังคมของคนงาน1

นอกจากนี้ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ยังมุ่งมั่นลดความเชื่อผิด ๆ ทางสังคมเกี่ยวกับคนเก็บขยะนอกระบบ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 750,000 – 1.5 ล้านคนในประเทศไทย “คนเก็บขยะนอกระบบมักถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเนื่องจากเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรกและไม่เป็นที่ต้องการ เราต้องการจะเปลี่ยนมุมมองดังกล่าวและแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและช่วยสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนให้แก่ทุกคนในประเทศไทย” ดร. มิเชล กล่าว

นายอนุศิษย์ ศรีษะย์ อายุ 29 ปี เป็นคนรับซื้อขยะจากโครงการเพื่อนำไปรีไซเคิล กล่าวว่า “เทียบกับโครงการอื่น ๆ ที่เคยเข้าร่วมก่อนหน้านี้ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมากที่สุดและแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทต่อชุมชน”

“หลังจากเข้าร่วมโครงการ ผมมีมุมมองที่กว้างขึ้นต่อสิ่งที่ทำอยู่ ผมอยากเรียนและใช้ภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นและอยากเป็นคนซื้อขายพลาสติกหรือขยะระดับอินเตอร์ฯ”

ทั้งนี้ พลาสติกรีไซเคิลจากโครงการสามารถนำไปผลิตเป็นสินค้าคุณภาพสูง เช่น นาฬิกาข้อมือ รุ่น AIKON #tide ของ Maurice Lacroix ซึ่งสินค้าในลักษณะนี้ยังช่วยลดความเชื่อผิด ๆ ทางสังคมได้เช่นกัน

นางสาวกสิณี มะเย็ง และนายมูฮัมหมัด ผดุง สองสามีภรรยาที่รวบรวมขยะให้กับโครงการ กล่าวถึงศักยภาพของโครงการว่า “ตอนแรกเราขาดทุน เพราะยังไม่มีความรู้เรื่องการแยกขยะ แต่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกครั้งที่ซื้อขยะจากชุมชน หรือเอาขยะมาขายให้ร้านรีไซเคิล สุดท้ายนี่จะกลายเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ของเรา”

บริษัทต่าง ๆ ที่สนใจสามารถสนับสนุนการดำเนินงานของบลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ได้ด้วยการรับซื้อสินค้าจากทางโครงการหรือให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานของคลังเก็บขยะ จุดรวบรวมขยะ และอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยจะได้รับพลาสติกเครดิตเพื่อหักกับปริมาณพลาสติกฟุตปรินท์ของบริษัท

วัตถุประสงค์การดำเนินงานของ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) ของรัฐบาลไทย ซึ่งตั้งเป้ารีไซเคิลหรือเปลี่ยนเส้นทางขยะที่เข้าสู่บ่อฝังกลบให้ได้ 100% และลดปริมาณขยะที่มีโอกาสรั่วไหลลงสู่ทะเลให้ได้ 50% ภายในปี 2570

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง กรุณาติดต่อ ดร.มิเชล พาร์โดส

X

Right Click

No right click