

Global Business Policy Council ของคาร์นีย์ (Kearney) บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ ได้ประกาศผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประจำปี 2568 (Foreign Direct Investment Confidence Index หรือ ดัชนี FDICI) ซึ่งเป็นผลสำรวจที่สะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่อการไหลเวียนของการลงทุน FDI ในช่วงสามปีข้างหน้า ที่รวมถึงมุมมองของนักลงทุนต่อประเทศไทย
ดัชนี FDICI ประจำปี 2568 ซึ่ง Kearney ได้จัดทำขึ้นเป็นปีที่ 27 นี้ ได้สะท้อนมุมมองของนักลงทุนในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญ แม้ได้มีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบและมีความสำคัญเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการสำรวจในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ใจความสำคัญหลักที่พบจากการศึกษาครั้งนี้ยังคงนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการที่นักลงทุนให้ความสำคัญต่อประสิทธิภาพของกระบวนการทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎระเบียบต่าง ๆ รวมทั้งผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของประเทศ และศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
แปดตลาดจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ติด 25 อันดับแรกของโลกในปีนี้ ซึ่งเท่ากับจำนวนที่ติดอันดับเมื่อปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย ญี่ปุ่น (อันดับ 4), จีน (รวมฮ่องกง) (อันดับ 6), ออสเตรเลีย (อันดับ 10), เกาหลีใต้ (อันดับ 14), สิงคโปร์ (อันดับ 15), นิวซีแลนด์ (อันดับ 16), ไต้หวัน (อันดับ 23) และอินเดีย (อันดับ 24)
ผลการสำรวจดัชนี FDICI ของ Kearney พบว่านักลงทุนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของบางตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ความท้าทายจากสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ซับซ้อนได้ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อตลาดอื่น ๆ ประเทศไทยติดอันดับที่ 10 ในดัชนี FDICI ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่
การสำรวจดัชนี FDICI ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ได้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2566 เพื่อเน้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน FDI ในช่วงสามปีข้างหน้า โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 10 จากกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด นักลงทุนจำนวนมากระบุว่าทักษะและความสามารถของแรงงานไทยเป็นเหตุผลหลักที่มีความน่าดึงดูดมากที่สุดสำหรับการลงทุนในประเทศไทย (34%) ตามมาด้วยเหตุผลด้านความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (24%) และทรัพยากรธรรมชาติ (24%) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็นเหตุผลรองที่มีความน่าสนใจเท่ากัน
ชาญชัย ถนัดค้าตระกูล กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Kearney กล่าวว่า “ประเทศไทยได้แสดงบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมการลงทุนและลดอุปสรรคในการดำเนินงานของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในการดึงดูดเงินลงทุน FDI จากหลายตลาด ทำให้ประเทศจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและเสริมความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะ และสร้างมาตรการดึงดูดการลงทุนที่ตรงจุดสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย”
![]()
คุณชาญชัย กล่าวเสริมว่า “มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและอุปกรณ์อุตสาหกรรมรวมถึงยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันก็ล้วนต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านต้นทุนและข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีความท้าทายอยู่แล้ว”
“แม้จะเผชิญความท้าทายต่างๆ ประเทศไทยยังคงรักษาจุดแข็งที่สามารถดึงดูดนักลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน ทั้งในด้านบุคลากรที่มีศักยภาพ ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยนโยบายเชิงรุกและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม ประเทศไทยจะสามารถปลดล็อกศักยภาพในการสร้างคุณค่าระยะยาว ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่ผันผวนได้” คุณชาญชัยกล่าวสรุป
เทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งหนุนตลาดเอเชียแปซิฟิกให้เติบโต
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพื้นฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ก้าวขึ้นจากอันดับ 7 สู่อันดับ 4 เป็นหนึ่งในตัวอย่างของตลาดในภูมิภาคที่มีความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่คึกคักและการปรับขึ้นค่าจ้างที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ในทำนองเดียวกัน เกาหลีใต้ได้แสดงผลงานที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยทำการสำรวจมา โดยขยับขึ้นจากอันดับที่ 20 มาอยู่อันดับที่ 14 โดย 41% ของนักลงทุนระบุว่าภาคเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเกาหลีใต้คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่น ขณะที่การลงทุนอย่างมีนัยสำคัญของรัฐบาลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของผลการจัดอันดับในครั้งนี้
![]()
ผลการสำรวจยังพบว่านักลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 82% ได้วางแผนเพิ่มการลงทุน FDI ในช่วงสามปีข้างหน้า และ 50% มีมุมมองต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ในเชิงบวกมากกว่าปีที่ผ่านมา
ปัจจัยระดับภูมิภาคสร้างความกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ประมาณ 43% ของนักลงทุนที่ตอบแบบสอบถามจากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มองว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 14% จากปีที่ผ่านมา การคาดการณ์ที่สูงขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทั่วโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน และผลักดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่นักลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2568 อันดับที่สอง คือแนวโน้มการบังคับใช้กฎระเบียบทางธุรกิจที่เข้มงวดมากขึ้นในกลุ่มตลาดที่พัฒนาแล้ว โดยมีนักลงทุนถึง 36% ที่มีมุมมองในลักษณะนี้ โดยเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน ขณะที่ในอันดับสามมีสองประเด็นที่รับได้คะแนนเท่ากันที่ 28% ได้แก่ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
![]()
ประเทศจีนได้ลดอันดับลงจากที่ 3 มาอยู่ในอันดับที่ 6 สะท้อนถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ดี จีนยังคงมีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ดังที่เห็นได้จากการเปิดตัวของ DeepSeek AI ในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การที่ประเทศสิงคโปร์ได้ลดอันดับลงจากอันดับที่ 12 มาอยู่ที่อันดับที่ 15 และอินเดียลดอันดับลงจากที่ 18 มาอยู่ในอันดับที่ 24 สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อความเสี่ยงด้านการค้า และความซับซ้อนของกฎระเบียบ
ประเทศไทยโดดเด่นในด้านความเชื่อมั่นเชิงบวกสุทธิของนักลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ การสำรวจพบว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะมีแรงกดดันจากหลายปัจจัยก็ตาม และตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงก็ใต้ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ติดอันดับอยู่ใน 15 ประเทศแรกด้านความเชื่อมั่นเชิงบวกสุทธิของนักลงทุน (Net Investor Optimism) ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ประเทศไทยยังคงโดดเด่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยรักษาอันดับที่ 5 ด้านความเชื่อมั่นเชิงบวกสุทธิของนักลงทุนในปี 2568
เกี่ยวกับดัชนี FDICI ของ Kearney ประจำปี 2568
ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของ Kearney (Kearney FDI Confidence Index® หรือ ดัชนี FDICI) เป็นผลสำรวจประจำปีที่รวบรวมความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก เพื่อจัดอันดับตลาดที่มีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากที่สุดในช่วงสามปีข้างหน้า ซึ่งแตกต่างจากข้อมูลการลงทุน FDI โดยทั่วไปมักเป็นการมองข้อมูลย้อนหลัง แต่ดัชนี FDICI นี้นำเสนอมุมมองที่แตกต่าง ด้วยการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดที่นักลงทุนมีแผนจะเข้าไปลงทุนในอนาคต นับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนี FDICI ครั้งแรกในปี 2541 ตลาดที่ติดอันดับในดัชนีมักสอดคล้องกับประเทศปลายทางที่มีการลงทุน FDI สูงจริงในเวลาต่อมา
Kearney FDI Confidence Index® ประจำปี 2568 นี้ได้จัดทำขึ้นจากข้อมูลปฐมภูมิจากแบบสำรวจที่เป็นลิขสิทธิ์ของ Kearney โดยเฉพาะ ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวน 536 ราย โดยการสำรวจได้จัดทำขึ้นในเดือนมกราคมปี 2568 กลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ผู้บริหารระดับภูมิภาค และผู้นำองค์กร ทั้งนี้ บริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจทั้งหมดมีรายได้ประจำปีไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ใน 30 ประเทศ และครอบคลุมการดำเนินธุรกิจในทุกภาคส่วน ซึ่งสัดส่วนของผู้ตอบแบบสำรวจแบ่งเป็นบริษัทในภาคบริการ 53% ภาคอุตสาหกรรม 35% และภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ 12%
ดัชนี FDICI คำนวณมาจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของคำตอบที่แบ่งเป็นระดับสูง ปานกลาง และต่ำ โดยพิจารณาจากแนวโน้มการลงทุนโดยตรงในตลาดเป้าหมายในช่วงสามปีข้างหน้า ทั้งนี้ จากข้อมูลของ UNCTAD พบว่าตลาดที่นำมาศึกษาในการสำรวจครั้งนี้มีมูลค่าการลงทุน FDI คิดเป็น 97% ของเงินลงทุนที่ไหลเข้าทั่วโลกในปี 2566
ดัชนีนี้คำนวณจากข้อมูลของบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในการคำนวณค่าดัชนีของสหรัฐอเมริกา จะไม่นำข้อมูลจากนักลงทุนที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ มาร่วมคำนวณ โดยค่าดัชนีที่สูงขึ้นสะท้อนถึงความน่าดึงดูดในการลงทุนที่มากขึ้น
ข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งหมดในรายงานฉบับนี้อ้างอิงจากการประมาณการและการคาดการณ์ล่าสุดจาก Oxford Economics เว้นแต่จะระบุเป็นอย่างอื่น นอกจากนี้ยังมีแหล่งข้อมูลอ้างอิงอื่น ๆ ได้แก่ หน่วยงานที่ส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ ธนาคารกลาง กระทรวงการคลังและการค้าต่าง ๆ สำนักข่าวที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแหล่งข้อมูลหลักอื่น ๆ
อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดตัวโปรแกรม Eco Deals ครั้งที่สี่ในการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Forum) เสริมสร้างความร่วมมือกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล(WWF) ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ป่าและแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญในเอเชีย ภายใต้แนวคิด "ร่วมกันผลักดัน: กำหนดอนาคตการท่องเที่ยวของอาเซียน" โครงการนี้จึงไม่เพียงแต่เสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ยั่งยืน แต่ยังช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย
อโกด้าตั้งเป้าหมายรับบริจาคสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเป้าหมาย 1 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยในปีนี้ได้ขยายโปรแกรมไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี รวมเป็น 10 ประเทศทั่วเอเชีย และเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา อโกด้าจะบริจาค 1 ดอลลาร์ให้กับความพยายามในการอนุรักษ์ของ WWF สำหรับทุกการจองกับโรงแรมที่เข้าร่วม นับเป็นการสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
โครงการ Eco Deals สนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำในญี่ปุ่น
การปกป้องนกปากช้อนในเกาหลี
การอนุรักษ์เสือในมาเลเซีย
การปกป้องฉลามวาฬในฟิลิปปินส์
การอนุรักษ์ช้างในไทย
การปกป้องซาโอล่าในเวียดนาม
การฟื้นฟูระบบนิเวศในอินโดนีเซีย
การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำในสปป. ลาว
หรือการสนับสนุนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในกัมพูชา เป้นต้น
โครงการ Eco Deals นี้จะเปิดให้ทำการจอง ได้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 ถึง 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568 นับเป็นโอกาสในการร่วมมือในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน
สำหรับส่วนหนึ่งของโครงการ Eco Deals ในกรอบการทำงานปี 2568 อโกด้ายังได้เปิดตัวกองทุน Sustainable Tourism Impact Fund ร่วมกับ WWF-Singapore และ UnTours Foundation ซึ่งกองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถมอบเงินลงทุนที่สามารถเข้าถึงง่าย เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านความยั่งยืนในภาคการท่องเที่ยว โดยอโกด้าได้จัดสรรงบประมาณ 100,000 ดอลลาร์ และจะเพิ่มเป็น 150,000 ดอลลาร์ เมื่อยอดบริจาคครบ 1.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้นับเป็นการลงทุนที่มุ่งหวังสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนในวงการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
เรียงจากซ้ายไปขวา นายวีเวค คูมาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WWF ประเทศสิงคโปร์, นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประเทศไทย, นางดารณี พรมมาวงศ์สา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารสนเทศ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ประเทศลาว, นายอัลวิน ทาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศสิงคโปร์, นายโฮ อัน ฟอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ประเทศเวียดนาม, นายเตียง คิง สิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม ประเทศมาเลเซีย, เดเมี่ยน เฟิร์ช, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ อโกด้า, ดร. อับดุล มานัฟ เมตุซิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรขั้นพื้นฐานและการท่องเที่ยว ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม, ฮัก ฮูต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ประเทศกัมพูชา, นางวิดิยานี พุทธรี วาร์ดานา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว อินโดนีเซีย, นางคริสตินา การ์เซีย ฟราสโก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์
![]()
Damien Pfirsch, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าของอโกด้า กล่าวว่า, Eco deals ในปีพ.ศ. 2568 “เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความพยายามในการปกป้องจุดหมายปลายทางต่าง ๆ และสัตว์ป่าในภูมิภาคเอเชียมากยิ่งขึ้น โดยเรามีเป้าหมายร่วมกับ WWF ในการทำให้คนรุ่นต่อไปสามารถสำรวจโลกได้อย่างเข้าถึงได้ ในขณะเดียวกันก็รักษาความงดงามตามธรรมชาติเอาไว้ โปรแกรม Eco Deals เป็นโครงการสำคัญสำหรับพันธมิตรโรงแรมของเรานับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปีพ.ศ. 2565 โดยทำให้พวกเขาสามารถร่วมกันอนุรักษ์และดูแลที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าได้อย่างง่ายขึ้น ในปีนี้เราจะตั้งเป้าเพิ่มการรับบริจาคเป็น 1.5 ล้านดอลลาร์และขยายโครงการไปยัง 10 ประเทศ ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับโรงแรมอีกด้วย นอกจากนี้การเปิดตัวกองทุน Sustainable Tourism Impact Fund จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSMEs) มีส่วนร่วมในอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย”
ในการเข้าร่วมโครงการ Eco Deals พันธมิตรโรงแรมสามารถเสนอราคาลดสูงสุดถึง 15% ให้กับลูกค้า พร้อมทั้งได้รับตรา Eco Deals เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และจะได้รับการโปรโมตบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของอโกด้า
ไม่ว่าจะเป็นบนสื่อออนไลน์ โฆษณาแบนเนอร์ อีเมลที่ส่งถึงลูกค้า และการแจ้งเตือนในแอปพลิเคชัน ซึ่งช่วยเสริมสร้างการมองเห็นให้กับโรงแรมอีด้วย นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถค้นหา Eco Deals ได้ผ่านหน้า Landing Page ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในอโกด้า เพื่อให้การค้นหาบนเดสก์ท็อปและอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นไปอย่างสะดวกและราบรื่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมของมาเลเซีย Dato Sri Tiong King Sing กล่าวว่า “เราสนับสนุนทั้งภาคสาธารณะและภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนทั่วอาเซียน ในฐานะที่เป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีการท่องเที่ยวอาเซียนปีพ.ศ. 2568 เรารู้สึกยินดีที่เห็นความร่วมมือระหว่างอโกด้าและ WWF ในการส่งเสริมการเดินทางที่สามารถมอบประโยชน์ให้กับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ได้ ซึ่งสอดคล้องกันอย่างพอดีกับแนวคิด "เอกภาพในการเคลื่อนไหว: กำหนดอนาคตการท่องเที่ยวของอาเซียน" และเข้ากับเป้าหมายของ Visit Malaysia Year 2026 ในการพัฒนาความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในมาเลเซียและอื่น ๆ อีกด้วย”
Vivek Kumar, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WWF-Singapore กล่าวเสริมว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบนโลก เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดีของเรา ตอนนี้เราก้าวเข้าสู่ปีที่สี่ ของกรอบความร่วมมือที่สำคัญระหว่างอโกด้าและ WWF ซึ่งเราได้มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ทั่วภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการปกป้องประชากรเสือในมาเลเซีย ฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ที่เสื่อมโทรมในอินโดนีเซีย และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับช้าง รวมถึงการลักลอบล่าสัตว์ในไทย ทั้งนี้ด้วยการขยายขอบเขตไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี เรามีโอกาสที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยรายงาน Living Planet Report 2024 ของ WWF เปิดเผยว่าประชากรสัตว์ป่าทั่วโลกลดลงอย่างน่าใจหายถึง 73% ทำให้ความจำเป็นในการดำเนินการมีความเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น เราจะร่วมมือกับอโกด้าเพื่อสร้างอนาคตที่ผู้คนและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน”
กองทุน Sustainable Tourism Impact Fund สร้างขึ้นมาเพื่อมอบเงินลงทุนให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSMEs) ในภาคการท่องเที่ยว โดยครอบคลุมหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและพัฒนาการอนุรักษ์ ช่วยกำหนดอนาคตของการท่องเที่ยวในแนวทางที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
กองทุนนี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSMEs) สามารถเข้าถึงเงินทุน เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในภาคการท่องเที่ยว โดยสามารถขอกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ตั้งแต่ 10,000 ถึง 25,000 ดอลลาร์ ซึ่งกองทุนนี้บริหารจัดการโดย UnTours Foundation มีการดำเนินการและคัดกรองใบสมัครอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันอโกด้าจะมีส่วนร่วมในการจัดหาเงินทุน ตัดสินใจลงทุน และให้คำปรึกษา ทั้งนี้ WWF-Singapore จะสนับสนุนในด้านการให้คำแนะนำด้านสิ่งแวดล้อมและตรวจสอบความเหมาะสม ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถส่งใบสมัครได้ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ทางการของกองทุนที่ https://untoursfoundation.org/sustainable-tourism-impact-fund
ด้วยความร่วมมือกับเครือข่ายระดับโลกที่ให้บริการที่พักและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย อโกด้ามุ่งมั้นที่จะสร้างอนาคตการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น ประกอบกับความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ เช่น WWF และ UnTours Foundation จะช่วยเสริมสร้างความพยายามของอโกด้าในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจสังคม ให้ทุกการเดินทางมีคุณค่าและส่งเสริมการอนุรักษ์ในทุกจุดหมายปลายทาง
บางครั้งเหตุผลหลักในการไปเที่ยวของหลาย ๆ คนไม่ใช่การเดินดูสถานที่ท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่คือการดื่มด่ำกับหลากหลายอาหารอร่อยในประเทศนั้น เหตุนี้เอง อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว จึงได้ทำการสำรวจ พร้อมเผย 5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียของนักท่องเที่ยวสายกิน ซึ่งตั้งใจไปเที่ยวเพื่อเพลิดเพลินกับอาหารเป็นหลัก โดยเกาหลีใต้ครองอันดับ 1 เป็นประเทศสุดฮิตของสายกินทั่วเอเชีย
จากข้อมูลการสำรวจที่อโกด้าจัดทำขึ้น มากกว่า 64% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเกาหลีใต้ระบุว่า อาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ ทั้งนี้เกาหลีใต้ ซึ่งโด่งดังทั้งกิมจิ บาร์บีคิวสไตล์เกาหลี และไก่ทอด เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวสายกิน ตามมาด้วยไต้หวัน (62%) ไทย (55%) ญี่ปุ่น (52%) และมาเลเซีย (49%) การสำรวจครั้งนี้มีผู้ใช้อโกด้ามากกว่า 4,000 ราย ใน 10 ประเทศ ร่วมตอบแบบสอบถามหลังทำการจองที่พักเสร็จสิ้น
![]()
คุณเอนริก คาซาลส์, Associate Vice President, Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า “อาหารไม่ได้เป็นแค่สิ่งหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอีกด้วย นักท่องเที่ยวบางคนหลงใหลในอาหารมากถึงขนาดจองร้านอาหารในต่างประเทศก่อนจองตั๋วเครื่องบินเสียอีก ข้อมูลการสำรวจของอโกด้าแสดงให้เห็นชัดเจนว่านักท่องเที่ยวกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่สามารถไปดื่มด่ำกับอาหาร และประเพณีท้องถิ่นได้ ไม่ใช่แค่ไปเดินชมสถานที่ท่องเที่ยว เรารู้สึกภูมิใจที่ได้นำเสนอดีลที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และกิจกรรมสุดคุ้มให้ทุกคนได้ไปเที่ยวในราคาที่ประหยัดขึ้น นักท่องเที่ยวจึงังมีงบเหลือเอาไว้ใช้จ่ายกับอาหารจานเด็ดในท้องถิ่นนั้นมากขึ้นด้วย”
![]()
5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับสายกินทั่วเอเชีย ประกอบไปด้วย:
1. เกาหลีใต้
อาหารเกาหลีใต้ดึงดูดนักกินจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความนิยมนี้ส่วนหนึ่งมาจากละคร และภาพยนตร์เกาหลีที่มักจะนำเสนอประสบการณ์การกินอาหารที่ชวนให้ผู้ชมรู้สึกอยากลิ้มรสตาม เช่น เมื่ออยู่บนเกาะเชจู ต้องไม่พลาดอาหารทะเลสด และหมูดำปิ้งบนเตาบาร์บีคิวเกาหลีแบบดั้งเดิมที่นุ่มละลายในปาก หรือใครที่ชื่นชอบอาหารแปลกขึ้นมาหน่อย ควรแวะไปลองคันจังเคจัง (ปูสดดองในซอสถั่วเหลือง) ที่เมืองชายฝั่งอย่างอินชอน สำหรับอาหารโซลฟู้ดที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งกินกับครอบครัวที่บ้าน ก็ต้องโชดังซุนดูบู (เต้าหู้เนื้อนุ่มในซุปร้อน) ที่คังนึง ส่วนใครที่ชอบสตรีทฟู้ด ตลาดแบบดั้งเดิมอย่าง ตลาดควังจางในกรุงโซล ก็มีอาหารริมทางอร่อยอยู่มาก เช่น ต็อกโบกี (เค้กข้าวรสเผ็ด) และบินเดต็อก (แพนเค้กถั่วเขียวสไตล์เกาหลี)
2. ไต้หวัน
ไต้หวันเป็นดินแดนแห่งอาหารซึ่งผสมผสานประเพณีโบราณเข้ากับอิทธิพลสมัยใหม่อย่างลงตัว ตลาดกลางคืนยอดฮิตของไทเปอย่าง ซื่อหลินและเหราเหอ เป็นที่ที่สายกินทุกคนต้องแวะไปกินของอร่อยซึ่งมีอยู่ละลานตา เช่น เต้าหู้เหม็นอันเลื่องชื่อ และชาไข่มุกที่โด่งดังไปทั่วโลก หรือที่ไถหนานซึ่งมีอาหารดั้งเดิมอย่าง บะหมี่ตันไซ และซุปปลานวลจันทร์ทะเล แสดงให้เห็นถึงมรดกภูมิปัญญาอาหารอันล้ำค่าของเกาะ นอกจากนี้ไต้หวันยังมีวัฒนธรรมการดื่มชาที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งชาอู่หลงของอาลีซานนั้นถือเป็นชาโปรดของคนรักชาหลาย ๆ คน
3. ไทย
ไทยเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารที่มีวัฒนธรรมอาหารสตรีทฟู้ดที่โดดเด่นไม่เป็นรองใคร แผงขายอาหารแบบดั้งเดิมในเยาวราช หรือที่นิยมเรียกกันว่าไชนาทาวน์ในกรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมอาหารจานเด็ดอย่างหมูสามชั้นทอด ผัดไทย ไข่เจียวหอยนางรม และข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งนอกจากจะอร่อยขึ้นชื่อแล้วยังราคาไม่แพงด้วย ส่วนเมื่อเดินทางไปในภาคเหนือของประเทศอย่าง จังหวัดเชียงใหม่ นักเดินทางก็ต้องไม่พลาดไปรับประทานข้าวซอยรสชาติเข้มข้น ส่วนในภาคใต้ อาหารจานเส้นที่อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่ชาวต่างชาติอย่าง ขนมจีน ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีทั้งแบบเส้นแป้งสดและแป้งหมักให้เลือกทานพร้อมแกงหลากหลายชนิด
4. ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของสายกิน ด้วยอาหารที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น อาหารทานเล่นแบบอิซากายะ และอาหารไคเซกิแบบฟูลคอร์ส หรือเมื่อไปเที่ยวตลาดสึกิจิรอบนอก ของกรุงโตเกียว นักท่องเที่ยวก็มีหลายร้านซูชิ และซาซิมิสด ๆ ให้เลือกรับประทาน หรือลองชิมอาหารท้องถิ่นอย่าง ทาโกะยากิ (ลูกชิ้นปลาหมึก) และยากิโทริ (ไก่เสียบไม้ย่าง) ในย่านยอดนิยมอย่าง ชินจูกุและกินซ่า สำหรับสายอาหารทะเลไม่ควรพลาดการไปเยือนเมืองท่าโอตารุในฮอกไกโด เพื่อลองปูสด อูนิ (ไข่หอยเม่น) และดงบุริทะเลสด ส่วนใครที่โปรดปรานการกินราเม็ง ลองแวะไปที่ย่านช้อปปิ้งเท็นจินในฟุกุโอกะ ที่มีราเม็งทงคัตสึขึ้นชื่อ เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปหมูรสเข้มข้น
5. มาเลเซีย
อาหารมาเลเซียนั้นหลากหลาย เช่นเดียวกับมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ ที่กัวลาลัมเปอร์มีนาซิเลอมักให้เลือกลิ้มลองหลายรูปแบบ เช่น นาซิเลอมักบุงกุส (ข้าวแช่กะทิห่อ เสิร์ฟพร้อมน้ำพริก และผัก) และนาซิเลอมักอายัมโกเร็งเบเรมปาห์ (ไก่รสเผ็ด) ส่วนรัฐปีนังก็พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยอาหารสตรีทฟู้ดคลาสสิกอย่าง ฉ่าก๋วยเตี๋ยว (ก๋วยเตี๋ยวผัด) หมี่ฮกเกี้ยน (เส้นหมี่เหลืองผัด) และเซ็นดอล (น้ำแข็งไสหวานเย็น) ในมาเลเซียตะวันออก โคตาคินาบาลูมีอาหารท้องถิ่นสดใหม่ให้ชิมอยู่มาก เช่น ฮินาวา (สลัดปลาดิบ) และหมี่ตัวรัน หรือ Tuaran Mee ส่วนที่กูชิงก็มีจานเด็ดขึ้นชื่อมานอกปันโซห์ หรือ Manok Pansoh ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวอีบันที่ทำจากไก่ที่ปรุงด้วยสมุนไพรในไม้ไผ่
ทั้งนี้ญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 1 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ระบุว่าอาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางไปเที่ยว ตามมาด้วยเวียดนามและลาว (#2) และจีน (#3) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ระบุว่าอาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางมาเที่ยวไทย ส่วนใหญ่มาจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ตามลำดับ
อโกด้าช่วยให้ทุกคนได้เดินทางไปเที่ยวกินอาหารตามที่วางแผนได้ง่ายขึ้น ด้วยที่พักกว่า 4.5 ล้านแห่ง เส้นทางบินกว่า 130,000 เส้นทาง และกิจกรรมกว่า 300,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ชิมอาหารริมทางในกรุงเทพฯ หรือคลาสเรียนทำซูชิในโตเกียว อโกด้าช่วยให้นักท่องเที่ยวไปสำรวจรสชาติอาหารจากทั่วโลกได้ในราคาที่ประหยัดขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ agoda.com หรือดาวน์โหลดแอป Agoda
ซีบร้า เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น (NASDAQ: ZBRA) ผู้ให้บริการโซลูชันดิจิทัลชั้นนำที่ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อข้อมูล สินทรัพย์ และผู้คนได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น รายงานผลการสำรวจ 2024 Manufacturing Vision Study ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 61% ของผู้ผลิตทั่วโลกคาดหวังว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะผลักดันการเติบโตของธุรกิจมากขึ้นภายในปี 2029 เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี 2024
เมื่อมองลึกลงมาในระดับภูมิภาค 68% ของผู้ผลิตในเอเชีย-แปซิฟิกคาดหวังว่า AI จะผลักดันการเติบโตของธุรกิจมากขึ้นภายในปี 2029 เพิ่มขึ้นจาก 46% ในปี 2024 ทั้งนี้การนำ AI มาปรับใช้ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง 92% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลก และ 87% ของผู้ตอบแบบสำรวจในเอเชีย-แปซิฟิกที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (digital transformation) มากที่สุด ตอกย้ำให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ผลิตที่จะปรับปรุงการจัดการข้อมูล และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เพิ่มทัศนวิสัยในซัพพลายเชน (visibility) รวมถึงคุณภาพ ตลอดกระบวนการผลิต
![]()
แม้ว่า digital transformation จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ผลิต แต่ 30% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลก และ 40% ของผู้ตอบแบบสำรวจในเอเชีย-แปซิฟิกทราบดีว่าเส้นทางสู่ digital transformation นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น ต้นทุนแรงงาน จำนวนแรงงานที่ใช้งานได้ การนำโซลูชันเทคโนโลยีมาปรับใช้ และการรวมเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับเทคโนโลยีด้านการดำเนินงาน (IT/OT convergence)
Visibility เป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง โดยการนำ AI และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อระบุ ตอบสนองต่อ และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา และโครงการได้ดียิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพตลอดกระบวนการผลิต เพื่อที่ผลลัพธ์จะได้ออกมาดีที่สุด
นายศิวัจน์ โรจนเต็มศักดิ์, ผู้จัดการประจำประเทศไทย, ซีบร้า เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า “ผู้ผลิตหลายรายกำลังเผชิญกับปัญหาในการใช้ข้อมูลของตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งพวกเขาทราบดีว่าต้องนำ AI และโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ มาปรับใช้ เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ซีบร้าช่วยให้ผู้ผลิตดำเนินงานได้ง่ายขึ้นด้วยเครื่องมือที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Fixed Industrial Scanning และ Machine Vision FX90 ultra-rugged fixed RFID readers และ ATR7000 RTLS readers ซึ่งจะยกระดับขั้นตอนการทำงานให้มีความเป็นอัตโนมัติมากขึ้น ส่งผลให้แรงงาน และเทคโนโลยีดำเนินงานไปด้วยกันได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น”
ปิดช่องว่างทางทัศนวิสัยในซัพพลายเชน
ถึงแม้ว่าผู้ผลิตส่วนมากบอกว่า digital transformation เป็นเรื่องสำคัญ แต่การทำให้การทำงานในโรงงานเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์นั้นยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย Visibility ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพในกระบวนการผลิต อย่างไรก็ปัญหาช่องว่างทางทัศนวิสัยในซัพพลายเชน (visibility gap) ก็ยังคงมีอยู่ มีเพียง 16% ของผู้นำด้านการผลิตทั่วโลกที่สามารถติดตามการดำเนินงานตลอดกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ได้ ส่วนในเอเชีย-แปซิฟิกมี 25% ของผู้นำด้านการผลิตที่ทำได้
ผู้นำด้านการผลิตเกือบ 6 ใน 10 (57% ทั่วโลก, 63% ในเอเชีย-แปซิฟิก) คาดว่าจะสามารถเพิ่ม visibility ในทุกขั้นตอนการผลิต และในซัพพลายเชนได้ภายในปี 2029 แต่ประมาณ 1 ใน 3 (33% ทั่วโลก, 38% ในเอเชีย-แปซิฟิก) บอกว่าความไม่ลงรอยกันระหว่าง IT และ OT เป็นอุปสรรคที่สำคัญในเส้นทางสู่ digital transformation นอกจากนี้ 86% ของผู้นำการผลิตทั่วโลกยอมรับว่ากำลังเผชิญปัญหาในการตามนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ทัน รวมไปถึงการนำอุปกรณ์ เซ็นเซอร์ และเทคโนโลยีรวมเข้ากับโรงงาน/สำนักงานและซัพพลายเชน ซึ่ง 82% ของผู้นำด้านการผลิตในเอเชีย-แปซิฟิกก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน ทั้งนี้บริษัท และองค์กรต่าง ๆ สามารถนำโซลูชันของซีบร้าไปพัฒนาการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพได้ เพิ่มการรักษาความปลอดภัยและการจัดการให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งนำข้อมูลจากการวิเคราะห์มาใช้ยกระดับธุรกิจต่อ
เสริมทักษะแรงงาน พร้อมยกระดับคุณค่า และประสิทธิภาพ
ผลการสำรวจของซีบร้าเผยให้เห็นว่า ผู้ผลิตกำลังปรับกลยุทธ์สำหรับการเติบโต ด้วยการนำ AI และเทคโนโลยีอื่น ๆ มาปรับใช้ เพื่อปรับโฉมการผลิต พร้อมสร้างเสริมทักษะของแรงงานภายใน 5 ปี ข้างหน้า เกือบ 3 ใน 4 (73%) ของผู้นำด้านการผลิตทั่วโลกวางแผนที่จะฝึกแรงงานใหม่ให้มีทักษะด้านการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ส่วนใน ขณะที่ 7 ใน 10 คาดว่าจะนำเทคโนโลยีที่เน้นความคล้องตัวในการใช้งานเป็นหลักมาช่วยพัฒนาแรงงาน ส่วนในเอเชีย-แปซิฟิกมี 76% ของผู้นำด้านการผลิตที่วางแผน และคาดการณ์เช่นเดียวกัน
![]()
เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ผู้นำด้านการผลิตทั่วโลกกำลังปรับใช้ มีทั้งแท็บเล็ต (51% ทั่วโลก, 52% ในเอเชีย-แปซิฟิก), คอมพิวเตอร์พกพา (55% ทั่วโลก, 53% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และซอฟต์แวร์สำหรับจัดการแรงงาน (56% ทั่วโลก, 62% ในเอเชีย-แปซิฟิก) นอกจากนี้ 6 ใน 10 ของผู้นำการผลิต (61% ทั่วโลก, 65% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ก็วางแผนที่จะนำคอมพิวเตอร์พกพาแบบสวมได้มาใช้เสริมประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานด้วย
ผู้นำด้านการผลิตที่เป็นผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงในสาย IT และ OT ทราบดีว่าการพัฒนาแรงงานต้องทำมากกว่าแค่นำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ 6 ใน 10 ของผู้นำด้านการผลิตทั่วโลก และ 66% ของผู้นำด้านการผลิตในเอเชีย-แปซิฟิก ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานอย่างต่อเนื่อง การสร้างเสริมทักษะใหม่ให้พนักงาน (69% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และการพัฒนาสานอาชีพ (56% ในเอเชีย-แปซิฟิก) เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีความสามารถสูงในอนาคตมากที่สุด
นำ automation มาช่วยเพิ่มคุณภาพให้ถึงขั้นสุด
ปัจจุบันผู้ผลิตในแต่ละภาคส่วนให้ความสำคัญกับจัดการคุณภาพมาก แต่ต้องเผชิญกับปัญหาทรัพยากรที่ลดลง ผลสำรวจของซีบร้าชี้ให้เห็นว่า ปัญหาหลักในด้านการจัดการคุณภาพที่ผู้นำด้านการผลิตต้องเผชิญ ประกอบไปด้วยการติดตามการดำเนินงานในซัพพลายเชนได้แบบเรียลไทม์ (33% ทั่วโลก, 40% ในเอเชีย-แปซิฟิก), การปฏิบัติตามมาตรฐาน และกฎระเบียบใหม่ (29% ทั่วโลก, 30% ในเอเชีย-แปซิฟิก), การผสานรวมข้อมูล (27% ทั่วโลก, 31% ในเอเชีย-แปซิฟิก), และการรักษาสถานะของการตรวจสอบย้อนกลับให้คงที่ (27% ทั่วโลก และในเอเชีย-แปซิฟิก)
ในอีก 5 ปีข้างหน้า แผนการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ของผู้นำด้านการผลิตจะสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ เช่น วิทยาการหุ่นยนต์ (65% ทั่วโลก, 72% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ระบบตรวจสอบคุณภาพการผลิต หรือ machine vision (66% ทั้งทั่วโลก และในเอเชีย-แปซิฟิก) RFID (66% ทั่วโลก, 72% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และ fixed industrial scanners (57% ทั่วโลก, 62% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ผู้นำด้านการผลิตส่วนมากเห็นตรงกันว่าการโซลูชัน automation เหล่านี้มีหลายปัจจัยเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นการมอบหมายงานที่ต้องใช้ทักษะสูงให้กับแรงงาน (70% ทั่วโลก, 75% ในเอเชีย-แปซิฟิก) การบรรลุข้อตกลงด้านระดับการบริการ (69% ทั่วโลก, 70% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และการเพิ่มความยืดหยุ่นพื้นที่ (64% ทั่วโลก, 66% ในเอเชีย-แปซิฟิก)
ผลการสำรวจที่สำคัญของแต่ละภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก (APAC)
ยุโรป, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา (EMEA)
ละตินอเมริกา (LATAM)
อเมริกาเหนือ
GreenNode หนึ่งในธุรกิจของ VNG ผู้เชี่ยวชาญบริการ AI Cloud และเป็นพันธมิตร NVIDIA Cloud Partner (NCP) เปิดตัวคลัสเตอร์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ หรือ large-scale AI Data cluster ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย อย่างเป็นทางการ โดย GreenNode ตั้งเป้าเป็นผู้นำบริการ AI Cloud ในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการเพิ่มทรัพยากร AI ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลขั้นสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพแก่ธุรกิจ AI ในภูมิภาค
ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้เป็นหนึ่งในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลที่รองรับ AI เป็นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งดำเนินการโดยทีม Cloud Operation Excellence ของ GreenNode
มร.เดนนิส แอง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจองค์กร ประจำภูมิภาคอาเซียนและออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ของ NVIDIA ย้ำถึงองค์ประกอบสำคัญสองประการที่ทำให้องค์กรก้าวนำหน้าท่ามกลางกระแส GenAI ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ AI และ โรงงาน AI ซึ่งเป็นสิ่งที่ NVIDIA ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทั้งทีม VNG GreenNode และ ST Telemedia Global Data Centres (STT GDC) "จากความร่วมมือนี้ เราได้ร่วมกันสร้างและส่งมอบองค์ประกอบสำคัญทั้งสองด้านนี้ให้แก่ลูกค้า ผมขอแสดงความยินดีกับ VNG GreenNode กับความสำเร็จนี้ และ NVIDIA พร้อมให้ความร่วมมือเพิ่มเติมในอนาคต"
คลัสเตอร์ AI Cloud ของ GreenNode ในดาต้าเซ็นเตอร์ STT Bangkok 1 ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก โดยได้รับการรับรองมากมาย อาทิ LEED ระดับ Gold, TIA 942 Rating-3 DCDV และมาตรฐาน Uptime Tier III ซึ่ง GreenNode มีเป้าหมายสำคัญในการส่งมอบโซลูชันครบวงจรให้กับทุกธุรกิจที่เดินหน้าสู่เส้นทางของ AI โดยปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AI ที่มีขนาดกำลังไฟสูงถึง 20 เมกะวัตต์ และติดตั้งเครือข่าย InfiniBand ล่าสุด ซึ่งให้แบนด์วิดท์สูงถึง 3.2 เทระไบต์ต่อวินาที สำหรับรันการทำงานเซิร์ฟเวอร์ของ GreenNode รวมถึงมีแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลแบบไฮเปอร์สเกลสำหรับผู้เช่าหลายรายที่แตกต่างกัน พร้อมมอบบริการ AI Cloud ที่แข็งแกร่งและโครงสร้างพื้นฐาน GPU แก่ทุกลูกค้า
ระหว่างการกล่าวบรรยายในช่วงพิธีการของ มร.ลิโอเนล เยียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้า เซ็นเตอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "อีก 4 ปีข้างหน้านี้ การลงทุน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประมาณ 30% ซึ่งในภูมิภาคนี้มีความเคลื่อนไหวไดนามิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ความร่วมมือในวันนี้มีความสำคัญยิ่งขึ้น ผมขอแสดงความยินดีกับ VNG GreenNode กับความสำเร็จที่สามารถนำ AI Cloud มาใช้เชิงพาณิชย์ได้ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน และเชื่อว่าหากเราร่วมมือกัน ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้จะสามารถผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียก้าวขึ้นเป็นผู้นำในกระแสเทคโนโลยีระดับโลก
ผลิตภัณฑ์พอร์ตโฟลิโอของ GreenNode ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กราฟิกการ์ด แบบ Bare Metal ที่มีชิปประมวลผล H100 Tensor Core นับพันตัว, แพลตฟอร์มแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning หรือ ML) และสิทธิ์การเข้าถึงทรัพยากร บริการ หรือ เทคโนโลยีใน NVIDIA AI Factory โดย GreenNode เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกอบรมโมเดลและแพลตฟอร์ม AI ขั้นสูง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพผ่านรูปแบบของตนเอง วิธีการนี้ถือเป็นจุดขายที่ย้ำถึงพันธกิจของ GreenNode ที่มุ่งมั่นสร้างความเป็นเลิศในด้านการดำเนินงาน
GreenNode ยังเป็นผู้บุกเบิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สร้างและนำเสนอแพลตฟอร์มการจัดการพารามิเตอร์ระยะไกล ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจในทุกขนาดทั่วโลกสามารถเข้าถึงและปรับขนาดพารามิเตอร์การฝึกอบรมได้อย่างยืดหยุ่น ประหยัดทั้งเวลาและกำลังคน
“การเปิดตัวคลัสเตอร์ข้อมูล AI ครั้งนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่ให้สัญญาณเชิงบวกทั้งในด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและผลการดำเนินงานทางธุรกิจ เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้จริงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น นี่เป็นเพียงก้าวแรกและเรามุ่งมั่นที่จะลงทุนในระยะยาวเพื่อเป็นผู้ให้บริการ AI Cloud ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มร. เล ฮอง มิน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ VNG กล่าว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ GreenNode ได้บรรลุข้อตกลงมูลค่าหลายล้านดอลลาร์เพื่อมอบโครงสร้างพื้นฐาน AI และโซลูชัน AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าทั่วโลก
"GreenNode ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับลูกค้าทั่วโลกด้วยพลังจากชิป GPU อันนับพันในดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากลของ Nvidia และ STT GDC อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายสิ่งที่เราต้องทำ รวมถึงการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาเพื่อเป็นผู้บุกเบิกด้าน AI ในภูมิภาคนี้" มร. เหงียน ลี ทัน ซีอีโอของ GreenNode และ VNG Digital Business กล่าว
ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี VNG 2024 ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ VNG มร. เล ฮอง มิน ได้เน้นย้ำถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในปีต่อ ๆ ไป 3 ประการ ได้แก่ AI, “Go Global” และแพลตฟอร์ม VNG มีความโดดเด่นในฐานะหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีไม่กี่แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดรับการใช้งาน AI อย่างรวดเร็วและเต็มรูปแบบ ด้วยการลงทุนจำนวนมากในโครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน VNG ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ให้บริการ AI ชั้นนำในเวียดนามและภูมิภาค