December 05, 2025

สำนักงานพัฒนา เศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO นำคณะลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 จัดกิจกรรม  “Experiencing Biodiversity & GI Stories” เวทีที่ตอกย้ำศักยภาพ “ส้มมะปี๊ดจันทบุรี” สินค้าเกษตรท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดสู่การเป็น GI  นอนาคต

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรม “Experiencing Biodiversity & GI Stories” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ศักยภาพของ ส้มมะปี๊ดจันทบุรี ในฐานะสินค้าท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์และมีความพร้อมในการยกระดับสู่การเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์เชิงบวกผ่านประสบการณ์ตรงของผู้เข้าร่วม โดยการลงพื้นที่เรียนรู้กระบวนการเพาะปลูก วิถีชุมชน และการแปรรูปส้มมะปี๊ดเชื่อมโยงสินค้าเกษตรท้องถิ่นกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเศรษฐกิจฐานชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญในการเสริมสร้าง พลังทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย
ให้เข้มแข็ง

การลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรีในครั้งนี้ มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้า ส้มมะปี๊ดจันทบุรี ซึ่งเป็นผลไม้ท้องถิ่นที่มีลักษณะเฉพาะ ทั้งรสชาติเปรี้ยวอมหวาน กลิ่นหอมสดชื่น และคุณค่าจากแหล่งเพาะปลูกที่มีภูมิอากาศและสภาพดินเหมาะสม ทำให้ส้มมะปี๊ดจันทบุรีมีศักยภาพที่จะยกระดับสู่การเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ที่สร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชน

สินค้า GI ถือเป็นหัวใจของการยกระดับอาหารไทยในเวทีโลก เพราะสะท้อนถึงคุณภาพและแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบไทย และผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมอาหาร
เชิงสร้างสรรค์ เช่น การต่อยอด “ส้มมะปี๊ดจันทบุรี” สู่ผลิตภัณฑ์ซอส เครื่องดื่ม หรือขนมไทยแนวใหม่ ที่มีรสชาติและเรื่องราวเชื่อมโยงกับท้องถิ่นอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนพลังสร้างสรรค์จากฐานวัฒนธรรมไทย

นอกจากนี้ BEDO ยังผลักดันแนวคิด Nature Positive Economy “เศรษฐกิจที่เติบโตควบคู่กับการฟื้นฟูธรรมชาติ” โดยส่งเสริมให้การผลิตสินค้าท้องถิ่นและสินค้า GI ใช้วิถีการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมี รักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน เพื่อให้เกิดการผลิตที่ยั่งยืน

การส่งเสริมสินค้า GI ยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากความหลากหลายทางชีวภาพ (Bioeconomy) ที่ BEDO ให้ความสำคัญ โดยการนำความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพในแต่ละ
พื้นที่มาใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์และมีความรับผิดชอบ เพื่อสร้างรายได้ กระจายโอกาส และพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายการผลิตที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอาหาร ท่องเที่ยว และสุขภาพในระดับประเทศและนานาชาติ

ดร.ธนิต กล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงเป็นเวทีประชาสัมพันธ์ส้มมะปี๊ดจันทบุรีเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานชีวภาพที่จับต้องได้ โดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง และธรรมชาติเป็นฐานของการพัฒนา ซึ่งเป็นทิศทางที่ BEDO มุ่งส่งเสริมให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกับความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและความสุขของคนไทย”

                  

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO เผยความสำเร็จของ “โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) โดยชูพื้นที่ปากน้ำปราณบุรี อุทยานแห่งชาติกุยบุรีและอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เป็นต้นแบบของการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ผ่านกิจกรรมพิเศษ “BEDO Reach to Love: เที่ยวให้ลึกเพื่อที่จะรักษ์”

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการ BEDO กล่าวว่า “BEDO มีเป้าหมายหลักในการผลักดันนโยบายตอบสนองต่อเป้าหมายระดับโลกในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและ Nature Positive เพื่อหยุดยั้งและฟื้นฟูการสูญเสียธรรมชาติภายใน ปี 2030 โดยใช้ปี 2020 เป็นปีฐาน และมุ่งให้เกิดการฟื้นฟูธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050 BEDO เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมให้ ‘การอนุรักษ์’ สามารถสร้าง ‘รายได้’ ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนท้องถิ่นได้ ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมกระบวนทัศน์ดั้งเดิมที่มักมองว่าการอนุรักษ์เป็นเพียงภาระหรือต้นทุนที่ชุมชนต้องแบกรับ ให้กลายเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดในสินทรัพย์ทางธรรมชาติที่มีอยู่ การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนในรูปของตัวเงิน แต่ยังสร้างคุณค่าที่ประเมินไม่ได้  ทั้งความภาคภูมิใจในท้องถิ่น การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการเป็นผู้พิทักษ์ทรัพยากรอันล้ำค่าด้วยตนเอง โดยไม่ได้มองพื้นที่เป้าหมายเหล่านี้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่มุ่งเน้นยกระดับให้เป็น ‘พื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต’ ซึ่งแตกต่างกับการท่องเที่ยวทั่วๆไป นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่เป็นผู้มีส่วนร่วมในวงจรแห่งความยั่งยืน การใช้จ่ายของของนักท่องเที่ยวจะถูกส่งตรงกลับไปบำรุงรักษาระบบนิเวศที่พวกเขากำลังชื่นชม และกิจกรรม ‘BEDO Reach to Love’ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นได้และประสบความสำเร็จแล้วอย่างไร การจัดเส้นทางต้นแบบ “กุยบุรี-สามร้อยยอด” นี้จึงเปรียบเสมือนบทสรุปที่มีชีวิตของโครงการทั้งหมด เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยและแผนงานต่างๆ ออกมาจากหน้ากระดาษ มาสู่การสัมผัสจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้อย่างไร โดยแต่ละสถานที่ที่ไปเยือนนั้น ไม่ได้ถูกเลือกมาอย่างบังเอิญ แต่จะสะท้อนผลลัพธ์ของโครงการในมิติต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่โมเดลการจัดปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับ สัตว์ป่าที่กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงนวัตกรรมชุมชนที่เปลี่ยนของเหลือใช้ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่า และการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับคนรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้คือจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันเป็นภาพความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง”

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวถึงบทบาทของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่โอบรับผู้คนและธรรมชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)

“การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทย ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทำงานร่วมกับประเทศไทยเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวนั้นควบคู่ไปกับธรรมชาติ ที่จะช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยประสบการณ์จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเห็นแนวทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมกันได้”

โดยในปีพ.ศ. 2570 ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) UNDP เตรียมร่วมมือกับ BEDO นำ Access and Benefit Sharing (ABS) มาสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถจัดการการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่างครอบคลุม และและทำให้มั่นใจว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือองค์ความรู้ จะถูกแบ่งปันอย่างเป็นธรรม ซึ่งระบบนี้ช่วยปกป้องสิทธิของประเทศและชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยุติธรรมและยั่งยืน

อุทยานแห่งชาติกุยบุรี: จากพื้นที่ขัดแย้งสู่โมเดลการอยู่ร่วมกันและซาฟารีเมืองไทย

ในอดีต ปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้างป่าในพื้นที่กุยบุรีเป็นเรื่องใหญ่ แต่ด้วยเป้าหมายในการสร้างสมดุล ทำให้เกิดการพัฒนาจนกลายเป็นต้นแบบการจัดการที่ได้รับการยอมรับ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือการก่อตั้ง “Kuiburi Ecotourism Club” วิสาหกิจชุมชนที่เปลี่ยนผืนป่าให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศระดับพรีเมียม กิจกรรม “นั่งรถซาฟารีชมช้างป่าและกระทิง” ไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยว แต่คือผลผลิตโดยตรงจากการอนุรักษ์ที่ประสบความสำเร็จ เมื่อป่าสมบูรณ์ สัตว์ป่าปลอดภัย ชุมชนก็สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืนจากการเป็นผู้พิทักษ์และนำเที่ยวได้ด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ที่ ชุมชนบ้านรวมไทย ยังเป็นที่ตั้งของนวัตกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าทึ่ง “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกระดาษจากใบสับปะรดและขี้ช้างป่ากุยบุรี” โดยเปลี่ยน “มูลช้าง” ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษสาที่มีเอกลักษณ์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ขณะที่ “วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงชันโรงและผึ้งโพรงไทย” คือผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาด้วยธรรมชาติ โดยใช้ “ผึ้ง” เป็นแนวป้องกันช้างเข้าพื้นที่เกษตร ซึ่งไม่เพียงลดความเสียหาย แต่ยังสร้างอาชีพเสริมจากการขายน้ำผึ้งคุณภาพสูง เป็นการตอกย้ำเป้าหมายของโครงการในการส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง

อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด: เมื่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศคือผลิตภัณฑ์ล้ำค่า

พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งสามร้อยยอด คือหัวใจของความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศแห่งนี้ให้คงอยู่ และมีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของมัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยชุมชนบ้านหน้าทุ่งสามร้อยยอด” ซึ่งได้เปลี่ยนความงามของทิวทัศน์และระบบนิเวศให้เป็นกิจกรรม “ล่องเรือถ่อ” ที่สร้างรายได้และชื่อเสียง กิจกรรมนี้คือข้อพิสูจน์ว่า เมื่อชุมชนเห็นคุณค่าและร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรนั้นก็จะมอบประโยชน์คืนกลับมาสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน

ที่สำคัญ โครงการยังมุ่งเน้นการสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อสืบสานการอนุรักษ์ ดังจะเห็นได้จาก “วิสาหกิจชุมชนเด็กรักษ์ทุ่งเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนที่ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อสารเรื่องราวของระบบนิเวศบ้านเกิดของตนเอง นี่คือผลลัพธ์ระยะยาวที่สำคัญที่สุด คือการสร้างผู้พิทักษ์รุ่นต่อไปที่เข้าใจและหวงแหนมรดกทางธรรมชาติของตนเอง

เรื่องราวความสำเร็จและผลิตภัณฑ์อันเปี่ยมด้วยนวัตกรรมจากชุมชนต้นแบบเหล่านี้ ถูกนำมารวบรวมและจัดแสดงอย่างเต็มรูปแบบในงาน “BioMart Hua Hin 2025” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า Market Village Hua Hin ซึ่งงานนี้เป็นมากกว่าเวทีให้ผู้ประกอบการชุมชนได้พบกับผู้บริโภคโดยตรง แต่คือบทสรุปที่มีชีวิตและเป็นรูปธรรมที่สุดของความสำเร็จจากโครงการทั้งหมด

เป็นพื้นที่ซึ่งผลลัพธ์ของการอนุรักษ์สามารถจับต้องได้ผ่านผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น และเป็นบทพิสูจน์ว่าการดำเนินงานของโครงการนี้ ได้สร้างโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน ซึ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจฐานราก สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO จับมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) ประกาศจัดงาน “Bio Mart Hua Hin 2025” มหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้าชีวภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 1 - 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า Market Village Hua Hin จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) มีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการ BEDO กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการว่า BEDO มุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ ซึ่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไม่เพียงแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีชื่อเสียง แต่ยังเป็นคลังมหาสมบัติด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของประเทศ งาน BioMart Hua Hin 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงสินค้า แต่เป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ได้นำความหลากหลายทางชีวภาพมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์และบริการ

“เราต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ‘การอนุรักษ์’ สามารถสร้าง ‘รายได้’ ที่มั่นคงให้กับชุมชนได้จริง เป็นการเปลี่ยนต้นทุนทางธรรมชาติให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เราเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่แข็งแกร่งในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศไว้สำหรับคนรุ่นหลังต่อไปในอนาคต”

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวถึงบทบาทของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่โอบรับผู้คนและธรรมชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)

“การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทย ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทำงานร่วมกับประเทศไทยเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวนั้นควบคู่ไปกับธรรมชาติ ที่จะช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยประสบการณ์จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเห็นแนวทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมกันได้”

โดยในปีพ.ศ. 2570 ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) UNDP เตรียมร่วมมือกับ BEDO นำ Access and Benefit Sharing (ABS) มาสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถจัดการการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่างครอบคลุม และทำให้มั่นใจว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือองค์ความรู้ จะถูกแบ่งปันอย่างเป็นธรรม ซึ่งระบบนี้ช่วยปกป้องสิทธิของประเทศและชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยุติธรรมและยั่งยืน

 การจัดงานครั้งนี้ยังถือเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยตรง  คาดว่าจะช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นมีช่องทางการตลาดที่เข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริม ‘เศรษฐกิจชีวภาพ’ (Bio-economy) ตามนโยบายของประเทศที่มุ่งเน้นการนำทรัพยากรชีวภาพมาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งงานนี้จะเป็นการนำเสนอตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในมิติของการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยได้เลือกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดต้นแบบ

นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า “จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก มีทั้งพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ยาวสวยงาม อุทยานแห่งชาติทางบกและทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ มีศักยภาพอันโดดเด่นทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ที่เป็นบ้านของสัตว์ป่านานาชนิด, อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ที่มีระบบนิเวศทั้งทางบกและทางทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำและปากน้ำปราณบุรี ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนทางธรรมชาติที่ประเมินค่ามิได้ จึงเป็นความท้าทายในการพัฒนาโมเดลการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์อย่างจริงจัง เราสามารถเป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมสามารถเดินไปด้วยกันได้”

ภายในงาน “Bio Mart Hua Hin 2025” ผู้เข้าชมจะได้พบกับกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายภายใต้แนวคิด “ความหลากหลายทางชีวภาพที่เราไม่ค่อยรู้” ประกอบด้วย:

  • โซนตลาดชีวภาพ (Bio Market): พบกับการรวมตัวของผู้ประกอบการกว่า 40 ราย ที่จะมานำเสนอผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณภาพสูง อาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อ สินค้าหัตถกรรม และสมุนไพร อาทิ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากว่านหางจระเข้ ชาใบหม่อน สิ่งทอจากเส้นใยธรรมชาติและย้อมสีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลไม้อบแห้ง กาแฟรสเข้ม หอมกรุ่นสดจากไร่ และอื่นๆ อีกมากมาย
  • โซนสาธิตและเวิร์คชอป (Demo & Workshop): เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสกับภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ผ่านกิจกรรมสาธิตสุดสนุก เช่น การสาธิตทำสิ่งประดิษฐ์วัสดุธรรมชาติ ได้แก่ กระเป๋ากระจูด เข็มกลัดผ้าย้อมสีห้อม ลิปบาล์มจากไขผึ้งชัณโรง การทำก้านไม้หอมจากน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกไม้ไทย
  • โซนนิทรรศการและบริการท่องเที่ยว: เรียนรู้ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ผ่านนิทรรศการให้ความรู้ และเลือกซื้อแพ็คเกจบริการการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อมโดยตรงจากผู้ประกอบการในพื้นที่
  • กิจกรรมส่งเสริมการขาย: พิเศษสำหรับผู้ร่วมงาน เพียงร่วมกิจกรรมถ่ายภาพและติดแฮชแท็ก #BioMartHuaHin2025 รับคูปองเงินสดมูลค่า 100 บาท สำหรับใช้จ่ายภายในงานได้ทุกวัน.

นอกจากกิจกรรมในตลาดแล้ว โครงการฯ ยังได้ริเริ่มกิจกรรมนำร่องสุดพิเศษ “BEDO Reach to Love:   เที่ยวให้ลึกเพื่อที่จะรักษ์” ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ แบบ One Day Trip ที่จะนำนักท่องเที่ยวไปสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไป โดยตลอดการเดินทางจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมให้ความรู้ อาทิ คุณเจท-อธิปัตย์ อู่ศิลปกิจ นักวิจัยจากมูลนิธิโลกสีเขียว ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงและแมงมุม และคุณแวนชัย ประมาณ นักถ่ายภาพนกและสัตว์ป่าชื่อดัง เพื่อสร้างความเข้าใจและความผูกพันระหว่างนักท่องเที่ยวกับทรัพยากรท้องถิ่นอย่างแท้จริง และยังมี Influencer ชื่อดัง คุณเคธี เพจ Kethy and George และคุณนิว ชยพล จูเลียน พูพาร์ต ร่วมเดินทางสัมผัสประสบการณ์ที่น่าค้นหาและซาบซึ้งไปกับการท่องเที่ยวอย่างไรให้ยั่งยืน

การจัดงาน ‘Bio Mart Hua Hin 2025’ ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวชีวภาพให้เป็นรูปธรรมและยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยจะเป็นต้นแบบที่พิสูจน์ว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งสามารถอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และตอกย้ำศักยภาพของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในการเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานโยบายการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบและยั่งยืนของประเทศต่อไป

มนุษย์พึ่งพาธรรมชาติในการดำรงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นหน่วยของธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันโลกกำลังสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ จากปัจจัยทั้งจำนวนประชากร เศรษฐกิจและที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หากความหลากหลายทางชีวภาพสูญหาย ธรรมชาติย่อมเสียหาย ดังนั้น การฟื้นฟูธรรมชาติไปสู่ธรรมชาติเชิงบวกจึงเป็นเรื่องที่กำลังได้รับความสนใจและมีความพยายามที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันในการฟื้นฟูและยับยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ สพภ (BEDO) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานที่ให้ความสำคัญการส่งเสริมและประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เชิงเศรษฐกิจควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างมีดุลยภาพ รวมไปถึงมุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ การรวบรวมองค์ความรู้ การวิจัยต่างๆ อย่างมีทิศทาง ตลอดจนการเป็นองค์กรส่งเสริมและประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดภาคีเครือข่ายการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพเป็นไปอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 10-12 มิ.ย.2568 BEDO ได้จัดประชุมวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน “Biodiversity & Bioeconomy Forum 2025 : ธรรมชาติเพื่อชีวิต เศรษฐกิจเพื่อการอนุรักษ์” ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยมี ดร.เกษมสันต์ จิณณวาโส ประธานคณะกรรมการ สพภ. เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะกรรมการ สพภ. คณะผู้บริหาร สพภ. หน่วยงานวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน วิทยากรทุกๆ ท่าน และมีผู้เข้าร่วมที่มีความสนใจ เป็นจำนวนมากกว่า 200 คน โดยภายในงานได้มีนำเสนอผลงานวิชาการที่ทันสมัยโดยเฉพาะการบรรยายพิเศษเรื่อง การยกระดับผลิตภัณพ์ท้องถิ่นด้วยวิจัยและนวัตกรรม และ เรื่อง “เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ” จากผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ซึ่งเป็นทิศทางใหม่ของการผลักดันเครื่องมือ มาสนับสนุนด้านการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ  รวมไปถึงมีการนำเสนอผลความสำเร็จของชุมชนที่ต่อยอดการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ พร้อมโชว์นวัตกรรม - ผลิตภัณฑ์จากความหลากหลายทางชีวภาพ สู่เศรษฐกิจยั่งยืน

นางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ กล่าวว่า ปี 2568 นี้ เบโด้ครบรอบการจัดตั้งมาเป็นเวลา 18 ปี การจัดประชุมวิชาการภายใต้หัวข้อ Biodiversity & Bioeconomy Forum 2025 “ธรรมชาติเพื่อชีวิต เศรษฐกิจเพื่อการอนุรักษ์” เป็นการย้ำว่าความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องร่วมกันหันมาใส่ใจและส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์โดยใช้กลไกทางวิทยาศาสตร์ และกลไกทางการเงินเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดดุลยภาพและนำไปสู่การพัฒนาที่เกื้อหนุนธรรมชาติ หรือ Nature Positive

ตลอดระยะเวลา 18 ปี “สพภ.” ได้ขับเคลื่อนงานตั้งแต่ การสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุมชนและภาคธุรกิจตามหลักการ BEDO-BCG เพื่อยกระดับชุมชนเข้าสู่การเป็นธุรกิจด้วยการส่งเสริมการผลิตการบริโภคและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy) การพัฒนาฐานข้อมูล องค์ความรู้ และนวัตกรรมด้านความหลากหลายชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อปกป้อง คุ้มครอง เผยแพร่ และการใช้ประโยชน์ และการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรม

“การจัดประชุมวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ตลอดระยะเวลาในการจัดการประชุม 3 วัน สพภ. มีการนำเสนอผลความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนในการจัดทำธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพระดับชุมชน หรือ Community Biobank ที่มีกว่า 79 แห่ง ในพื้นที่ 38 จังหวัด มีทรัพยากรชีวภาพในพื้นที่ มากกว่า 100 ชนิด และมีผลการต่อยอดทรัพยากรและ/หรือแปลงธนาคารสู่การใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเป็นแหล่งต้นพันธุ์ การพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ แหล่งท่องเที่ยวชีวภาพ และการขึ้นทะเบียนสินค้า GI เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยสารสำคัญและคุณค่าทางโภชนาการเพื่อเพิ่มศักยภาพทรัพยากรไปสู่การสร้างรายได้แก่ชุมชน กิจกรรมการนำเสนอมีการบูรณาการกับสถานศึกษาเพื่อสร้างการตระหนักรู้และสืบทอดไปยังเยาวชนเครือข่าย Biogang  การแลกเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพ เวทีเสวนาการส่งเสริมการท่องเที่ยวชีวภาพ และ ที่สำคัญ สพภ. ได้มีการพัฒนาเครื่องมือส่งเสริมการอนุรักษ์และรับผิดชอบต่อความหลายหลายทางชีวภาพสำหรับการร่วมมือกับภาคธุรกิจ ภายใต้โครงการ Biodiversity and Business Sustainability Program เพื่อมุ่งเน้นให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟู ความหลากหลายทางชีวภาพมากยิ่งขึ้น

“การประชุมวิชาการดังกล่าว จะเป็นการถ่ายทอดและเผยแพร่ผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรชีวภาพ สู่การยกระดับอย่างยั่งยืนของทรัพยากรและเชื่อมโยงไปสู่พื้นที่การจัดงานมหกรรมทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนเครือข่ายทั่วประเทศมาโชว์และให้คนเมืองได้รู้จักอีกกว่า 50 ชุมชน จึงนับว่าเป็นโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และขยายผลการดำเนินของ สพภ. ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น” นางสุวรรณา กล่าวทิ้งท้าย

บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งค้าปลีก แม็คโคร-โลตัส ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเดินหน้านโยบายสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ “เปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์” โดยนำอาหารส่วนเกินจากสาขาแม็คโครและโลตัสทั่วประเทศ มอบให้เกษตรกรเพื่อนำไปใช้เพาะเลี้ยงแมลงโปรตีน (Black Soldier Fly – BSF) ในการลดขยะอาหารสู่เป้าหมาย Zero Food Waste ภายในปี 2573

โครงการนี้มีความมุ่งมั่นที่จะลดการสูญเสียอาหารและลดปริมาณขยะอาหารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี แอ็กซ์ตร้า กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ซีพี แอ็กซ์ตร้า มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) เราร่วมกับพันธมิตรอย่างมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ BEDO เพื่อนำอาหารส่วนเกินจากสาขากว่า 230 แห่งไปให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงแมลงโปรตีน ซึ่งช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ได้ถึง 50% อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากปุ๋ยที่ได้จากมูลหนอนและซากแมลงอีกด้วย”

นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาขยะอาหารที่ยั่งยืน ช่วยเกษตรกรลดต้นทุน และส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในพิธีมีบุคคลสำคัญจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ BEDO ร่วมงานด้วย

ซีพี แอ็กซ์ตร้าคาดหวังว่าโครงการนี้จะไม่เพียงลดขยะอาหารเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายโอกาสทางธุรกิจและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและเกษตรกรทั่วประเทศอีกด้วย

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click