

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานและอาคารหลายแห่งในประเทศไทยมีอายุใช้งานเกินกว่า 30–50 ปี พร้อมเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ ๆ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ธุรกิจซ่อมแซมและบำรุงรักษาโครงสร้าง จึงไม่ได้เป็นเพียงงานบำรุงปกติอีกต่อไป แต่กลายเป็นหนึ่งใน “แนวป้องกันระดับชาติ” ที่จะช่วยยืดอายุอาคาร ลดการสูญเสีย และป้องกันความเสียหายเชิงเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
แผ่นดินไหว: ความเสี่ยงที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
แม้ว่าไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวรอยเลื่อนหลักของโลก แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เมียนมา เมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย จนทำให้เกิดผลกระทบด้านโครงสร้างอาคารหลายแห่งเสียหาย รวมถึงเหตุแผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ ที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ในปี 2557 แรงสั่นสะเทือนส่งผลถึงตึกสูงในกรุงเทพฯ ด้วยเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างในไทย โดยเฉพาะอาคารเก่า ที่แม้จะมีการออกแบบรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว ควรพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากภัยแผ่นดินไหวด้วย
CPAC บริษัทในเครือเอสซีจี ซึ่งร่วมทุนกับ SB&M ได้นำความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีซ่อมแซมโครงสร้างของ SB&M มาต่อยอดธุรกิจ Lifetime Solution แบบครบวงจร เพื่อให้บริการงานก่อสร้างในไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบ ไปจนถึงซ่อมแซม เสริมกำลัง และป้องกันความเสียหายของโครงสร้างในระดับลึก
“เราไม่ได้มองแค่การซ่อมเมื่อเกิดความเสียหาย แต่คือการยืดอายุ และทำให้อาคาร-โครงสร้างพร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหว” — นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ กล่าว

เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น สู่การประยุกต์ใช้ในไทย
ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีประสบการณ์ในการรับมือแผ่นดินไหวมากที่สุดในโลก และ SB&M ก็ถือกำเนิดจากสองบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ SHO-BOND ซึ่งมีความเชี่ยวชาญวัสดุซ่อมแซมระดับจุลภาค และ Mitsui กลุ่มธุรกิจธุรกิจเทรดดิ้งและการลงทุนระดับโลก ที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในการเสริมความแข็งแรงและซ่อมแซมโครงสร้างขนาดใหญ่หลังเหตุภัยพิบัติ นอกจากความเชี่ยวชาญวัสุดุซ่อมแซมระดับจุลภาค SB&M ยังมีความชำนาญแบบเจาะลึกทั้งด้านเทคโนโลยี วัสดุศาสตร์ และการพัฒนานวัตกรรมซ่อมแซม โดยเฉพาะใน 3 ด้านหลัก:
การร่วมทุนในครั้งนี้ จึงเป็นการนำความรู้และจุดแข็งของทั้ง SB&M และ Mitsui มาต่อยอดผ่านบริการ 5 กลุ่มหลักของ CPAC-SB&M ได้แก่:
- การตรวจประเมินสุขภาพโครงสร้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
- การซ่อมแซมและบำรุงรักษาตามมาตรฐานวิศวกรรม
- การเสริมกำลังโครงสร้างให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้มากขึ้น
- การป้องกันสนิมและการกัดกร่อน เพื่อยืดอายุการใช้งาน
- การจัดหาวัสดุนวัตกรรมที่ออกแบบเฉพาะสำหรับงานซ่อมแซม

กรณีศึกษา: การฟื้นฟูหลังแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น
หากถามว่า หัวใจสำคัญของงานซ่อมแซม ป้องกันอาคารคืออะไร คำตอบที่มาเป็นอันดับแรกเลยคือ การตรวจประเมินความเสียหายอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพราะต้องทราบต้นตอและขอบเขตของความเสียหายก่อน ต่อจากนั้นจึง เลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การสแกนโครงสร้าง (Structural Scanning), การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลอง 3 มิติ (BIM), หรือ AI วิเคราะห์ความผิดปกติวิเคราะห์ว่าโครงสร้างยังปลอดภัยหรือไม่ ควรซ่อมแซมหรือรื้อบางส่วน
ต่อจากนั้นคือ การวางแผนและออกแบบการซ่อมแซมอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างซ่อม, อายุการใช้งานในอนาคต และต้นทุน การเลือกใช้วัสดุและวิธีการซ่อมที่เหมาะกับประเภทความเสียหาย เช่น คอนกรีตร้าว, เหล็กเป็นสนิม, ฐานรากทรุดตัว โดยต้องมีวิศวกรโครงสร้างหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าร่วม
หลังจากนั้นคือ การดำเนินการซ่อมแซมด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ใช้ทีมช่างหรือผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ มีการควบคุมคุณภาพงาน (QC) และความปลอดภัยระหว่างทำงาน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การบำรุงรักษาและติดตามผลระยะยาว ไม่ใช่แค่ซ่อมแล้วจบ แต่ต้องมีแผนบำรุงรักษาระยะยาว เช่น การตรวจสอบประจำปี ติดตั้งระบบติดตามโครงสร้าง เช่น IoT sensor ตรวจจับแรงสั่นสะเทือน ความชื้น การทรุดตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายซ้ำ และยืดอายุอาคาร
หนึ่งในผลงานเด่นของ SB&M คือ การฟื้นฟูสะพานและโครงสร้างริมทางด่วนในเมืองคุมาโมโตะ หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2559 ทีมงานของ SB&M สามารถเร่งตรวจสอบจุดร้าว ปรับปรุงฐานราก และเสริมกำลังสะพานให้กลับมาใช้งานได้ในเวลาอันสั้น พร้อมเพิ่มการป้องกันแรงสั่นในอนาคต
เทคโนโลยีเดียวกันนี้กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้กับโครงสร้างในประเทศไทย เช่น อาคารสูง คอนโดมิเนียม อาคารราชการ โรงพยาบาล สะพานขนาดใหญ่ ไปจนถึงโครงสร้างสาธารณูปโภค

จาก “ซ่อมแซม” สู่ “การลงทุนเพื่อความปลอดภัยระยะยาว”
ในยุคที่โครงสร้างเก่าและภัยธรรมชาติเพิ่มความเสี่ยงให้เมืองไทย การเลือก “ซ่อมแซม” แบบมืออาชีพจึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่คือการวางระบบความปลอดภัยของสิ่งก่อสร้าง โครงการต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
CPAC-SB&M จะนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่มี มายกระดับการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดูแลโครงสร้างสำคัญทั่วประเทศ ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีระดับโลก และวัสดุซ่อมแซมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน
บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตอกย้ำนโยบายการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Go Green” ในการพัฒนา ที่อยู่อาศัย ที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตอุตสาหกรรมก่อสร้างสีเขียว นำ “คอนกรีตคาร์บอนต่ำซีแพค” ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้อย่างน้อย 17 KgCO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์) มาใช้ในกระบวนการผลิตชิ้นส่วนพรีคาสท์เป็นรายแรกของไทย เพื่อส่งมอบบ้านที่ดี มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ลูกบ้าน รวมกว่า 40 โครงการ
นายวิชาญ ศิริเวชวราวุธ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจสู่การเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาอย่าง ไม่หยุดนิ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ เพื่อมอบความสุขให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคน และยังคงเดินหน้าดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Go Green” ซึ่ง 1 ในเป้าหมายสำคัญคือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต ล่าสุดได้ร่วมมือกับ CPAC นำคอนกรีตคาร์บอนต่ำซีแพค มาเป็นวัตถุดิบในกระบวนผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปหรือชิ้นส่วนพรีคาสท์ ในโรงงานพรีคาสท์เพอร์เฟค พรีแฟบ ถือว่าเป็นโรงงานผลิตพรีคาสท์แห่งแรกในประเทศไทย ที่นำ คอนกรีตคาร์บอนต่ำซีแพค มาใช้ในกระบวนการผลิต
![]()
“สำหรับการผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปในโรงงานเพอร์เฟค พรีแฟบ นั้น เราได้ทำงานร่วมกับ CPAC มาเป็นระยะเวลา 12 ปี จุดแข็งคือคอนกรีตมีคุณภาพคงที่ ได้คุณสมบัติตามที่ออกแบบไว้ ทั้งกำลังการรับน้ำหนัก, ความไหลลื่น สามารถเทเข้าแบบหล่อได้ดี (Workability) ส่งมอบได้ทันตามความต้องการ อีกทั้งยังมีทีมงานที่คอยให้คำแนะนำเป็นอย่างดีอีกด้วย ที่สำคัญ CPAC มีการพัฒนาสินค้าอยู่ตลอดเวลาจนมาถึง ‘คอนกรีตคาร์บอนต่ำ’ เป็นสูตรที่ใช้ปูนซีเมนต์งานโครงสร้าง เอสซีจี คาร์บอนต่ำ และการใช้เถ้าลอยถ่านหินมาทดแทนการใช้ปูนซีเมนต์ ทำให้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อย่างน้อย 17 KgCO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์) โดยตั้งแต่บริษัทฯ เริ่มเปลี่ยนมาใช้สูตรนี้ในโรงงานครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2566 - กันยายน 2567 สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 208,993 กิโลกรัม หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 21,999 ต้น
![]()
นายวิชาญ กล่าวต่อไปว่า ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งสู่อุตสาหกรรมก่อสร้างสีเขียว ซึ่งการก่อสร้างบ้านด้วยระบบพรีคาสท์ช่วยให้บ้านมีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรับน้ำหนักแทนเสาได้ ใช้เวลาในการก่อสร้างรวดเร็ว ลดปัญหามลพิษ ลดขยะจากวัสดุเหลือใช้ในการก่อสร้างได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการนำเศษคอนกรีตส่วนที่เหลือมาเททำผลิตภัณฑ์ชิ้นเล็ก เช่น คันหินหรือแผ่นปูทางเท้า ได้อีกด้วย โดยปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างบ้านโครงการแนวราบด้วยระบบพรีคาสท์กว่า 40 โครงการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
นายนพพร กีรติบรรหาร Chief Marketing Officer บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด กล่าวเสริมว่า “CPAC ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Green Product อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระของโลก พร้อมส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่สอดคล้องกับสังคมและชุมชน ซึ่งความร่วมมือกับ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย อันจะเป็นแรงผลักดันให้วงการก่อสร้างไทยเติบโตและมีทิศทางที่ดีต่อไป นับเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยกันขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้แก่คนรุ่นต่อไป”
เอสซีจี โดย บริษัทผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) ร่วมกับกระทรวง มหาดไทย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงนามความร่วมมือ (MOU) ทดลองใช้เทคโนโลยีชีวภัณฑ์ช่วยควบคุมปริมาณผักตบชวาใน 10 จังหวัดที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวาในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่แพร่ขยายพันธุ์รวดเร็ว โดยชีวผลิตภัณฑ์จะช่วยควบคุมการแพร่กระจายและลดปริมาณผักตบชวาในแม่น้ำ ทำให้ใบไหม้ และแห้งตาย ง่ายต่อการจัดเก็บ สามารถลดปริมาณผักตบชวาได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต และพืชอื่น ๆ ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ นี้ เป็นต้นไป
ความร่วมมือกำจัดผักตบชวา เป็น 1 ใน 6 แผนแม่บทข้อเสนอการแก้ไขปัญหาในเชิงภาพรวมของโครงการแม่น้ำเจ้าพระยาน่ามอง ปราศจากขยะ สร้างชีวิตประชาชนดีขึ้น ซึ่ง เอสซีจี โดย CPAC ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพลิกฟื้นชีวิตให้กับแม่น้ำเจ้าพระยา และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่อาศัยบริเวณริมแม่น้ำลำคลองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดย 6 แม่บท ประกอบด้วย

ในภาพ นายชูโชค ศิวะคุณากร Head of Environment Social Governance & Business Stakeholder Engagement, CPAC ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อมกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ผศ.ดร.อาร์ม อันอาตม์งาม รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
CPAC Green Solution โดยบริษัท สยามอุตสาหกรรมวัสดุทนไฟ จำกัด
2 เมษายน 2564, กรุงเทพฯ – ก้าวนำอีกขั้นกับความสำเร็จของ CPAC ที่มุ่งมั่นยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศ สู่ Green Construction ตลอดทั้ง Supply Chain